ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เมื่อยึดถือ “ความจริงเพียงหนึ่งเดียว” ก็จะเห็นอาการดิ้นพราด ๆ ของพลพรรคภูมิใจไทยในคดีที่ดินเขากระโดง ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองก็แข็งขันเร่งเร้าในการเพิกถอนโฉนดที่ดินเสียยิ่งกว่าการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เสียอีก
นอกจากการออกมาขู่ฟ่อด ๆ ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีต่ออธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ ซึ่งจะเป็นผู้ลงนามเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงว่า “ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้า เซ็นแล้วผิดกฎหมาย ระวังจะเจอคุก สมัยก่อนมีอธิบดีกรมที่ดิน อดีตปลัดกระทรวง ต้องถูกโทษจำคุก เรื่องแบบนี้เราก็เห็นมาหมดแล้ว”
ล่าสุด พรรคภูมิใจไทยก็ไปขุดเอา นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เคยกำกับดูแลกรมที่ดิน ผู้ที่มีบุญคุณต้องตอบแทนกับ นายเนวิน ชิดชอบ ตัวจริงเสียงจริงแห่งภูมิใจไทย มาโต้กลับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคู่แค้นเก่าอย่าง นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน ในทำนองด้อยค่าว่าอย่ารีบออกมาพูดหรือด่วนสั่งการ ควรไปศึกษาเอกสารข้อมูลให้ชัดเจนเสียก่อน เพราะมีเอกสารข้อมูลจำนวนมาก และไม่ควรตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยอารมณ์
แต่เอาเข้าจริงเนื้อหาสาระและเอกสารหลักฐานที่นายนิพนธ์ รวมถึงพลพรรคภูมิใจไทย งัดออกมาแก้ต่าง เพื่ออ้างความชอบธรรมนั้น ก็เป็นการตัดตอนเอาความจริงเพียงครึ่งเดียวมาโพนทะนา และถ้าย้อนกลับไปดูการออกมาตอบโต้ของพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ต่างไปจากท่วงทำนองของแผ่นเสียงตกร่อง
ดังเช่นประเด็นที่นายนิพนธ์หยิบขึ้นมาเล่าซ้ำด้วยท่วงทำนองยกตนว่า สมัยตนเองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ชี้ประเด็นปัญหาที่ดินเขากระโดงให้เห็นว่า พระราชกฤษฎีกา ไม่ได้กำหนดแนวชัดเจน และที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไม่ได้ชี้แนวชัดเจน กรมที่ดินจึงไม่สามารถดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ได้ มีที่เพิกถอนได้เพียง 35 ราย ที่ศาลฎีกาสั่ง ส่วนอีกประมาณ 900 ราย เพิกถอนไม่ได้ เพราะไม่ได้มีการฟ้องร้อง และ รฟท. ไม่มีการกำหนดแนวเขตที่ชัดเจน
และยังย้ำแล้วย้ำอีกว่า ที่ผ่านมา กรมที่ดินออกโฉนดให้ชาวบ้านตามขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าจะให้เพิกถอนต้องมีคำสั่งศาล ไม่เช่นนั้น อธิบดีกรมที่ดิน จะถูกฟ้อง และที่ผ่านมามีอธิบดีกรมที่ดิน 2 ราย ขอย้ายตัวเองเพราะไม่สามารถดำเนินการตามคำสั่งของฝ่ายการเมืองได้ แถมสอนมวย “บิ๊กอ้วน” ด้วยว่า การดำเนินการแก้ปัญหาที่ดินเขากระโดงมีความซับซ้อน ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะถูกฟ้องร้อง จะทำตามอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้
ในสงครามไอโอที่พรรคภูมิใจไทย เล่นเต็มอัตราศึก ยังหยิบเอาเอกสารสิทธิ์ และแผนที่ รฟท. โชว์บนโลกออนไลน์ให้ดูน่าเชื่อถือ พร้อมกับขมวดปมให้หนักแน่นด้วยชุดข้อมูลที่ว่า คณะกรรมการฯ ตามมาตรา 61 ที่กรมที่ดินตั้งขึ้นเพื่อมาตรวจสอบเรื่องการเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง ระบุเหตุที่เพิกถอนที่ดินเขากระโดงไม่ได้ เพราะ รฟท. ยอมรับเองว่าไม่มีแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา เนื่องจากเวลาล่วงมากว่า 85 ปี ค้นหาไม่เจอ แต่ใช้แผนที่ทหาร ขณะที่ข้อต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา และศาลปกครอง รฟท.ก็ใช้หลักฐานในการรังวัดเขตที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหาของกลุ่มสมัชชาคนจน เมื่อปี 2539 แทน
สรุปคือ เมื่อ รฟท.ไม่สามารถแสดงความเป็นเจ้าของที่ดินได้ กรมที่ดินจึงไม่อาจเพิกถอนโฉนดได้
ล่าสุด ภูมิใจไทย ยังเผยแพร่เอกสารที่ระบุว่าเป็น “แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)” เลขที่ 1180 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลงวันที่ 27 พ.ค. 2498 โดยนายไสว นิมนวล สบท. ตัวแทนการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งครอบครองพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ รวมเนื้อที่ 5,083 ไร่ ต่อกรมที่ดิน โดยระบุในช่องสาเหตุการได้มาว่า “พระราชกฤษฎีกา” แต่ไม่ปรากฏ วัน เดือน และปี ที่ได้มา และระบุสภาพที่ดินเป็น “ทางรถไฟ” เพื่อจะบ่งบอกว่า ส.ค.1 เป็นเพียงการแจ้งครอบครองเพื่อทำประโยชน์ ไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ การแจ้งดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากกรมที่ดิน ประกาศให้ราษฎรที่ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนวันที่ 14 ธันวาคม 2497 มาจดทะเบียนแจ้งสิทธิ ซึ่งประชาชนจำนวนมาก ในพื้นที่เขากระโดงได้แจ้ง ส.ค.1 ไว้แล้ว ตั้งแต่ปี 2497 ก่อน รฟท.จะมายื่นในปี 2498
ค่ายสีน้ำเงิน ตั้งข้อสังเกตว่า หาก รฟท.มีกรรมสิทธิ์ มาตั้งแต่ปี 2462 ตามอ้าง เหตุไฉนต้องมาขอจด ส.ค.1 และเหตุใดจึงไม่สามารถระบุ วัน เดือน และปี การได้มาของสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาที่อ้างอย่างชัดเจน
ปฏิบัติการไอโอของภูมิใจไทยในเกมการเมืองรอบนี้ ย้อนแย้งกับคำพิพากษาของคดีที่ดินเขากระโดงหลายคดี ที่ล้วนแล้วแต่มีคำพิพากษาว่า ที่ดินของการรถไฟบริเวณเขากระโดงเป็นที่ดินของรัฐ
ที่สำคัญ หากย้อนกลับไปดูว่าช่วงปี 2552 ที่กรมที่ดิน และคณะกรรมการ ตามมาตรา 61 ยืนยันว่า เพิกถอนโฉนดไม่ได้ เพราะการรถไฟฯไม่มีแผนที่แนบท้ายนั้น ต้องดูว่าใครคุมกระทรวงมหาดไทย และใครคุมกระทรวงคมนาคม ในช่วงนั้นก็จะได้คำตอบ
เช็กรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น ชัดเจนคือ นายเชาวรัตน์ ชาญวีรกูล ผู้เป็นบิดาของ “เสี่ยหนู” - นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายของนายเนวิน ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ส่วนกระทรวงคมนาคม ต้นสังกัดกำกับดูแลการรถไฟฯ ก็คือ นายโสภณ ซารัมย์ คนของนายเนวิน ชิดชอบ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องไม่เกินคาดหมายที่กรมที่ดินและการรถไฟฯ จะรับใบสั่งจากการเมืองโยนลูกตอบข้อซักถามกันไปมาในทำนองนั้น
ขบวนการยึดเขากระโดง อาจมีหลักฐานเชิงประจักษ์อีกปรากฏการณ์นั่นคือ ช่วงปี 2554 ขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล นั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นปีที่มีการเร่งรัดการออกโฉนดทั่วประเทศ 29 จังหวัด และบุรีรัมย์ คือหนึ่งในนั้น โดยมีการออกโฉนดกว่า 1,200 ไร่ รวมเอาพื้นที่เขากระโดงของการรถไฟฯ ด้วย แต่ไม่มีเสียงค้านจาก รฟท. เพราะคีย์แมนคนสำคัญของ รฟท.ขณะนั้นอยู่ในกำกับของนายโสภณ ซารัมย์
ส่วนที่มหาดไทย มีตัวละครสำคัญคือ นายสุชาติ เต็งสุวรรณ ผู้รับผิดชอบโครงการเร่งรัดออกโฉนดในฐานะผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการออกหนังสือสำคัญของกรมที่ดิน และเป็นผู้ซึ่งทำหนังสือตอบนายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดิน ขณะนั้น ว่า “ไม่มีแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกา” เพื่อยืนยันการอนุมัติออกโฉนด
วงในร่ำลือกันว่า นี่คล้ายทำกันเป็นขบวนการเพื่อเป้าหมายทำให้ที่ดินเขากระโดง พ้นจากสถานะที่ดินของรัฐในมือ รฟท. เปลี่ยนมือไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน แปรสภาพเป็นทำเลทองของตระกูลชิดชอบ เป็นการปูทางยึดพื้นที่เขากระโดง ของการรถไฟฯ มาถึงทุกวันนี้นั่นเอง
พลิกปูมคดีเขากระโดง ความจริงเพียงหนึ่งเดียว
ไม่ว่าค่ายสีน้ำเงิน จะเอาสีข้างเข้าถูและแถไถอย่างไร จะสร้างความสับสนให้สาธารณชน มึนงงอย่างไร แต่หากตามไปดูตลอดเส้นทางการต่อสู้คดีของการรถไฟฯ ก็จะเห็น “ความจริงเพียงหนึ่งเดียว” ชัดเจน
ที่ดินเขากระโดงซึ่งตระกูลชิดชอบครอบครองพร้อมกับชาวบ้านอื่น ประมาณ 850 แปลง จำนวน 5,083 ไร่ โดยเป็นของเครือญาติตระกูลชิดชอบ 20 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 288 ไร่ นั้น เรื่องนี้เป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่ ปี 2513 หรือ 54 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมีการนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรม และต่อสู้กันถึงชั้นศาลอุทธรณ์และฎีกา พร้อมกับมีคำพิพากษาที่เป็นที่สุดถึง 3 ฉบับ ประกอบด้วย
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876/2560
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561
และ 3.คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563
ในคำตัดสินของศาลได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้งว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375 + 650 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2462
โดยเฉพาะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 มีการระบุข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยุติว่า “เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 มีประกาศ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตร์สร้างทางหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ให้กรมรถไฟหลวงเริ่มลงมือตรวจและวางแนวรถไฟอันแน่นอนช่วงตั้งแต่นครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ให้แล้วเสร็จใน 2 ปี นับจากประกาศ
“... ที่ดินตามแผนที่ที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดิน สายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375-650 เป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตร์สร้างทางหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 “
เมื่อศาลสูงสุดชี้ขาดข้อพิพาทชัดเจนแล้วว่าเป็นที่ดินของการรถไฟฯ อย่างแน่นอน ทุกอย่างย่อมต้องเป็นที่ยุติและชัดเจน ไม่ควรมีกระบวนการใดมาขัดขวางได้อีก แต่เมื่อเขากระโดงกลายเป็นที่ดินทำเลทองที่ตระกูลชิดชอบเข้าครอบครอง จึงมีการลุยไฟ ไม่สนใจคำพิพากษาของศาลแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ เมื่อปี 2561 หลังศาลฎีกา มีคำพิพากษาที่ดินเป็นของการรถไฟฯ ไม่สามารถออกโฉนดได้ ทาง รฟท. ได้เข้าสำรวจที่ดินบริเวณแยกเขากระโดง พบว่ามีชาวบ้านมาปลูกที่อยู่อาศัย และบางส่วนทำเป็นสนามฟุตบอล สนามแข่งรถ รวมทั้งมีหน่วยงานรัฐได้ขอออกเอกสารสิทธิ์ ซึ่งปัจจุบันกรมที่ดินมีการออกเอกสารสิทธิ์ให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ในที่ดินของ รฟท.เป็นจำนวน 4,150 ไร่ 47 ตารางวา จากที่ดินทั้งหมด 5,083 ไร่ 80 ตารางวา
ต่อมา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 รฟท.ทำหนังสือถึงกรมที่ดิน ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ดินของ รฟท. แต่กรมที่ดินไม่ดำเนินการใด ๆ ดังนั้น ในเดือนธันวาคม 2564 รฟท.จึงยื่นฟ้องกรมที่ดิน และอธิบดีกรมที่ดิน ต่อศาลปกครองกลาง กรณีไม่ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับที่ดิน รฟท. ที่เขากระโดง
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ศาลปกครองกลางสั่งให้อธิบดีกรมที่ดิน ตั้งคณะกรรมการสอบสวนดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน 772 แปลง ที่ออกทับที่ดิน รฟท. และในเดือนพฤษภาคม 2566 นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน แจ้งศาลปกครองว่า เซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามอำนาจในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อดำเนินการสอบสวนและเพิกถอนโฉนด-เอกสารสิทธิ ที่ออกทับที่ดินการรถไฟฯ แล้ว
ขณะเดียวกัน ทนายความของตระกูลชิดชอบ ยื่นข้อมูลคัดค้านการเพิกถอนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวต่อคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน
แรงกดดันในคดีที่ดินเขากระโดงที่มีต่อนายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน ขณะนั้น ทำให้เขาตัดสินใจลาออกก่อนหมดอายุราชการหนึ่งปีด้วยเหตุผลเพื่อดูแลครอบครัว ทางนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ออกปฏิเสธว่าการลาออกของนายชยาวุธ ไม่เกี่ยวกับคดีเขากระโดง ไม่มีแรงกดดันทางการเมืองหรือมีปัญหาอื่น ๆ แน่นอน ขออย่าไปโยง
แต่หลังจากนั้น นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ทายาท นายพร เพ็ญพาส อดีตผู้ว่าฯบุรีรัมย์ที่ถูกโยกขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมที่ดิน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 แทนนายชยาวุธ ได้ลงนามในหนังสือถึง ผู้ว่าการ การรถไฟฯ แจ้งยุติเรื่องการเพิกถอนที่ดินเขากระโดง 5,000 ไร่
เนื้อความในหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0516.2(2)/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เรื่อง การเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่แจ้งไปยัง รฟท.ระบุว่า “คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดง เนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท.จึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้” พร้อมแจ้งให้การรถไฟฯ ทราบว่า หากการรถไฟฯ เห็นว่ามีสิทธิในที่ดินก็ต้องไปดำเนินการเพื่อพิสูจน์สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางศาลต่อไป
ค่ายสีน้ำเงิน หมายมั่นปิดจ๊อบที่ดินเขากระโดงในขณะที่นายอนุทิน ยังเรืองอำนาจอยู่ในมหาดไทย แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต เมื่อเกมการเมืองพลิกผันจากกรณีคลิปสนทนาลับ “ฮุน เซน - แพทองธาร ชินวัตร” พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล แล้ว “บิ๊กอ้วน” ก็ยึดเก้าอี้รัฐมนตรีมหาดไทย พร้อมกับสั่งการให้กรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดง ตามคำพิพากษาของศาล ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568
แต่อย่างไรก็ดี จนบัดนี้พรรคเพื่อไทยยังเงื้อค้าง พร้อมกับสงครามไอโอจากพรรคภูมิใจไทย ที่เย้ย “บิ๊กอ้วน” ว่าจะเพิกถอนโฉนดเขากระโดงกี่โมง และอย่าลืมเร่งรัดคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่มีคนในตระกูลชินวัตร เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยเร็วเช่นกัน