xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (48)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร


“สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค.ศ. 1680” การสถาปนาอำนาจนำของราชาธิปไตย (the Primacy of Monarchy)

ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการปรับปรุงกลไกและระบบราชการที่บริหารปกครองราชอาณาจักรสวีเดน ในตอนนี้จะได้กล่าวถึงด้าน  การต่างประเทศ ของสวีเดนภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน

ปี ค.ศ.1689 เป็นปีแห่งความสำเร็จสำคัญด้านการต่างประเทศของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด จากการที่สวีเดนสามารถผลักดันนโยบายต่างประเทศในจังหวะที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ พร้อมกันนี้ สวีเดนยังได้ประโยชน์จากการไม่เข้าร่วม  สงครามยุโรป (War of the Grand Alliance/War of the League of Augsburg 1688-1697)  ซึ่งนอกจากจะหลีกเลี่ยงความเสียหายจากการทำสงครามและสามารถดำเนินการค้าต่อเนื่องไปได้แล้ว สวีเดนยังอยู่ในสถานะมหาอำนาจที่ทุกฝ่ายไม่ต้องการผลักให้ไปเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม กระนั้น สวีเดนภายหลังปี ค.ศ.1689 มีสถานะการประเทศที่เปราะบาง จากการที่มีความขัดแย้งกันในการกำหนดแนวนโยบายต่างประเทศ เกิดการแบ่งขั้วกันระหว่างแนวคิดของ  Oxenstierna  และแนวคิดของ  Nils Bielke 

 Nils Bielke พยายามบั่นทอนอิทธิพลของ Oxenstierna เพื่อที่จะสนับสนุนให้สวีเดนเป็นมิตรกับเดนมาร์ก และเอื้อประโยชน์ให้กับฝรั่งเศสไปในตัว โดยประเด็นปัญหาที่เร่งด่วนคือ การวางทิศทางความสัมพันธ์กับเดนมาร์กและการปิดล้อมเมืองท่าในฝรั่งเศสโดยอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ที่กระทบต่อการค้าของเดนมาร์ก


อย่างไรก็ดี ท่าทีของผู้นำในสวีเดนและของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด ยังคงคัดค้านกับการกระชับมิตรกับเดนมาร์ก และในการต่อสนธิสัญญาพันธมิตรระหว่างเดนมาร์กกับสวีเดนในปี ค.ศ.1690 ก็ลดระดับความร่วมมือระหว่างสองประเทศลง
ความยากลำบากของสวีเดนในช่วงเวลาดังกล่าวคือ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งสวีเดนทรงมีจุดยืนที่เป็นกลางในสงครามและมุ่งดำเนินการค้าขายกับทุกฝ่ายท่ามกลางสงคราม แต่ในฐานะผู้ปกครองดินแดนในอาณาจักรเยอรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงมีข้อผูกพันธ์ทางกฎหมายในการส่งกองกำลังต่อสู้กับฝรั่งเศส และในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงคลางแคลงใจกับ พระเจ้าวิลเลียม (William of Orange)  ของอังกฤษที่ทรงมีพระราชอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์

ในสถานการณ์ดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงติดสินจากปัจจัยส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศในสวีเดน ซึ่งหนึ่งในปัจจัยนั้นคือ การที่ Nils Bielke พยายามเอื้อประโยชน์ให้แก่ฝรั่งเศส โดยในกรณีเฉพาะหน้านี้คือการโน้มน้าวให้ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงลดจำนวนกองเรือที่ส่งไปสนับสนุนเนเธอร์แลนด์ลง

แต่สำหรับ Oxenstierna แล้ว หลักการที่สวีเดนควรยึดถือคือการรักษาสมดุลอำนาจระหว่างประเทศ (balance of power) โดยพยายามป้องกันไม่ให้ทั้งฝรั่งเศส จักรวรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์หรือเนเธอร์แลนด์-อังกฤษเป็นมีอำนาจเหนือกว่ากันและกัน
ในปี ค.ศ.1690 จากความสำเร็จในการจัดการกรณี  Holstein-Gottorp  ของ Nil Bielke ทำให้เขาเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น เขาพยายามโน้มน้าวให้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงถอนกำลังออกจากการร่วมรบระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าเพื่อนำกองกำลังมาป้องกันภัยจากเดนมาร์ก เมื่อพระองค์ไม่ทรงเห็นภัยคุกคามเฉพาะหน้า พระองค์จึงทรงคล้อยตามการจำกัดบทบาทระหว่างประเทศดังกล่าว แม้ Oxenstierna เองก็ไม่สามารถโน้มน้าวพระองค์ในนโยบายการต่างประเทศได้ แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้สูญเสียอิทธิพลไปอย่างสิ้นเชิง Oxenstierna พยายามโน้มน้าวพระองค์ว่า Bielke ได้เข้าเจรจากับเจ้าปกครองต่างชาติด้วยตนเองโดยไม่ผ่านพระองค์

พอถึงปี ค.ศ.1692 Oxenstierna ก็สามารถฟื้นคืนบทบาทกลับมาได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็ด้วยเนื้อหาและหลักการเดิมของเขาเองที่ตั้งอยู่บนหลักการสมดุลอำนาจระหว่างประเทศที่มุ่งรักษาเสถียรภาพและสันติภาพระหว่างประเทศ ในขณะที่ Bielke ก็สูญเสียความไว้วางใจจากพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดไปมาก

ต่อมาในประเด็นด้านการค้า Oxenstierna ก็สามารถเจรจาทวิภาคีกับเนเธอร์แลนด์เพื่อให้เรือของสวีเดนสามารถเดินทางค้าขายได้สำเร็จโดยไม่ต้องเข้าร่วมกับเดนมาร์ก ส่วนประเด็น Holstein-Gottorp  เจ้าชายเฟรเดอริค ดยุคองค์ใหม่แห่งโฮลสไตน์-กอททอร์พ ก็มีท่าทีเป็นมิตรกับสวีเดนมากยิ่งขึ้น กระนั้น เป็นที่สังเกตได้ว่าพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงสนับสนุน Holstein-Gottorp อย่างหนักแน่นจนอาจขัดกับผลประโยชน์กับจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หรือกับ Brandenburg ได้โดยที่พระองค์ไม่ทรงตระหนักรับรู้ถึงความตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้น

ที่ประชุมสภาฐานันดรปี ค.ศ.1693 มีการแถลงนโยบายด้านการต่างประเทศของสวีเดนในขณะนั้น ซึ่งยึดอยู่บนแนวทางของ Oxenstierna นั่นคือ ให้สวีเดนมุ่งออกห่างจากความขัดแย้งในยุโรป สนับสนุนสันติภาพและความเป็นกลาง ยืนยันในนโยบายเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และยึดมั่นในหลักการสมดุลอำนาจระหว่างประเทศ ซึ่งการเตรียมกองกำลังของสวีเดนให้พร้อมในขณะนั้นก็ดูจะส่งสัญญาณว่าสวีเดนพร้อมมีบทบาทในความขัดแย้งขณะนั้น แม้ว่าพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดจะทรงมุ่งคำนึงแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าของสวีเดนโดย  “ไม่สามารถ”  เห็นภาพของการเมืองระดับกว้างของยุโรปได้ก็ตาม นอกจากนี้ ยังเห็นได้ว่า พระองค์ยังทรงมีโลกทัศน์ในแบบต้นสมัยใหม่ที่มองว่าการรักษาสนธิสัญญาเวสท์ฟาเลีย (Westphalia) หมายถึงการรักษาพันธะที่พระองค์มีในการพิทักษ์สมดุลระหว่างคริสตนิกายต่าง ๆ ต่างกับโลกความเป็นจริงที่การเมืองยุโรปในช่วงทศวรรษ 1690 ได้กลายเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ไปแล้ว
 
ต่อมาในปี ค.ศ.1696 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงยอมส่งกองกำลังในฐานะเจ้าปกครองดินแดนเยอรมันเพื่อสนับสนุนผู้ปกครองของ Palatine ในต่อต้านการรุกรานของฝรั่งเศส ทั้งนี้ เพื่อแลกกับการสนับสนุนในประเด็น Holstein-Gottorp ในช่วงดังกล่าวนี้ Nils Bielke ได้ฟื้นคืนความไว้วางใจของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดกลับมาได้บ้าง และกลับเข้าร่วมประชุมสภาบริหารในปี ค.ศ.1696 แต่ก็ไม่สามารถกลับมามีบทบาทสำคัญเช่นเดิมได้ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น หลักฐานชี้ว่า Bielke เป็นสายสืบส่งข่าวให้กับทูตฝรั่งเศสอีกด้วย

ในช่วงสุดท้ายของรัชสมัย นโยบายการต่างประเทศก็อยู่ในทิศทางการนำของ Oxenstierna อย่างต่อเนื่อง นโยบายไกล่เกลี่ยของสวีเดนก็เป็นแต่เพียงฉากหน้า เพราะแต่ละฝ่ายต่างตกลงทวิภาคีเห็นชอบกันก่อนแล้วถึงจะขอให้สวีเดนจัดการประชุมที่เมือง Rijswick เพื่อยืนยันสันติภาพในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1697 สองเดือนต่อมา พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเสด็จฯสวรรคตก่อนที่จะได้ทรงชื่นชมกับสถานะดังกล่าวของสวีเดน

ทั้งนี้ แน่นอนว่า สวีเดนไม่สามารถอ้างตัวเป็นมหาอำนาจในทางการทหารได้จริง กระนั้น การเดินหมากทางการเมืองในมิติของภาพลักษณ์และชื่อเสียงดังกล่าวก็ดูจะสอดคล้องไปกับเงื่อนไขบริบทสมัยนั้น หากสวีเดนไม่สร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งแล้ว ก็คงจะถูกรุกรานอย่างที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1675 หรือในสงครามมหาสงครามทางเหนือ (The Great Northern War) ภายหลังปี ค.ศ.1700 อย่างแน่นอน

 ฉะนั้น ตลอดระยะเวลา 18 ปี พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดและ Oxenstierna ได้สถาปนา “สันติภาพอันเปราะบาง” (precarious peace) ให้แก่ราชอาณาจักรผ่านการสร้างระบบพันธมิตรและกองกำลังทางทหารภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจของสวีเดนเอง  

ต่อไปจะได้กล่าวถึงเรื่องราวในช่วงปลายรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด
 
ปี ค.ศ.1693 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด เพราะในปีนี้เป็นปีที่มีการประชุมฐานันดรเป็นครั้งสุดท้ายในรัชสมัย ซึ่งเนื้อหาการประชุมก็ได้ยืนยันถึงความสำเร็จของแนวนโยบายและการปฏิรูปในรัชสมัยของพระองค์ เป็นที่ชัดเจนว่าพระราชประสงค์ของพระองค์ในช่วงปี ค.ศ.1693 จนถึงการสวรรคตของพระองค์ในเดือนเมษายน ค.ศ.1697 คือ การคงแนวนโยบายและการปฏิรูปเดิมต่อไปโดยไม่มีนโยบายใหม่เพิ่มเติม

ความเห็นสาธารณะชนในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นไปในทางบวก แม้ว่าจะมีเอกสารวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชนชั้นนำเก่าที่สูญเสียอำนาจอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติในยุโรปสมัยใหม่ช่วงต้น บทวิพากษ์ที่สมเหตุสมผลที่สุดคือข้อเขียนของ  Claes Rålamb  ดังที่ได้เคยกล่าวถึงไปในตอนก่อนๆแล้ว โดยเฉพาะการวิพากษ์การประชุมสภาฐานันดรในปี ค.ศ.1680 ของเขาที่เผยว่าระบอบการปกครองภายใต้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดดำเนินไปในแบบของมาคีอาเวลเลียน

นอกจากนี้ ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองแบบสมบูรณาญาสิทธิ์อย่างอ้อมอยู่ด้วย แต่กระนั้น ก็ไม่มีหลักฐานใดที่สนับสนุนว่ามีฝ่ายตรงข้ามที่มุ่งต่อต้านการทำงานรัฐบาลของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดและไม่มีการท้าทายต่อพระราชสิทธิและพระราชอำนาจและความชอบธรรมของพระองค์ พร้อมกับนี้ ยังมีลัทธิบูชาตัวบุคคลเริ่มต่อตัวขึ้นในทศวรรษ 1690s อีกด้วย เห็นได้ว่ารัฐบาลของพระองค์มีความอ่อนไหวต่อภาพลักษณ์และเสียงวิพากษ์วิจารณ์พอสมควร ดังเมื่อพระองค์สวรรคต Jakob Gyllenborg ได้เขียนบันทึกสรรเสริญพระบารมีของพระองค์และตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ซึ่งบันทึกดังกล่าวอธิบายทัศนะวิธีคิดของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ความสุขเดียวของพระองค์คือการทำหน้าที่พระมหากษัตริย์ผู้ปกป้องดูแลพสกนิกรที่จงรักภักดีของพระองค์และหวังให้พระผู้เป็นเจ้าเห็นตามและประทานพระพรให้แก่พระองค์

ความเคร่งครัดในศรัทธาของพระองค์สะท้อนให้เห็นได้ในพระราชกิจวัตรประจำวัน ในการอ่านพระคัมภีร์และการเข้าร่วมพิธีศาสนาอย่างสม่ำเสมอ และสะท้อนผ่านบันทึกของพระองค์ที่ทรงมองตนเองเป็น  “คนบาปที่น่าเวทนา” (poor sinner)  อยู่บ่อยครั้ง
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น