"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในสัปดาห์นี้ เราจะขยายความคำถามใหญ่เรื่อง “ดุลอำนาจไทย: เหตุใดจึงเปลี่ยนหน้าแต่ไม่เปลี่ยนราก” ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยพิจารณาอีกสองกลไกที่ทำให้โครงสร้างอำนาจคงรูปแม้ผู้นำผลัดเปลี่ยน
นั่นคือ (1) ความคงทนของสถาบันที่รองรับความต่อเนื่อง—ระบบราชการ กฎหมาย องค์กรอิสระ และศาล—ซึ่งทำหน้าที่เสมือนรางรถไฟคุมทิศทางเชิงสถาบัน และ (2) ความตึงเครียดระหว่างค่านิยมดั้งเดิมกับค่านิยมสมัยใหม่—การทับซ้อนของความชอบธรรมแบบจารีตกับแบบกฎหมายเหตุผล (dual legitimacy) ตลอดจนการเมืองเชิงสัญลักษณ์ (symbolic politics) ที่ผลิตซ้ำลำดับชั้นในชีวิตประจำวัน
ทั้งสองปัจจัยมิได้ทำงานลำพัง หากประสานกับเครือข่ายอุปถัมภ์และการผูกขาดอำนาจแบบหมุนเวียน จนเกิดสภาพ “เปลี่ยนรูปมากกว่ารื้อราก” ของระบอบการเมืองไทย
ควบคู่กับการวิเคราะห์ บทความนี้จะเสนอกรอบยุทธศาสตร์เพื่อ “สร้างดุลอำนาจใหม่” ที่วางประชาชนไว้กึ่งกลางในการปรับโครงสร้างแรงจูงใจให้การเล่นตามกติกาเปิดกว้างมีความคุ้มค่ากว่าการพึ่งพาเครือข่าย ทำให้องค์กรกลางเป็นกลางจริงผ่านกระบวนการสรรหาและการเปิดเผยข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เสริมพลังการกำกับดูแลจากฐานล่างด้วยการกระจายอำนาจอย่างจริงจัง และบ่มเพาะวัฒนธรรมพลเมืองเชิงเหตุผลเพื่อยกระดับมาตรฐานความรับผิดของผู้มีอำนาจ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้การเมืองไทยก้าวพ้นวงจร “ปฏิรูปถาวร” ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ยืนอยู่บนความเสมอภาค หลักนิติธรรม และความรับผิดชอบเชิงสาธารณะอย่างเป็นรูปธรรม
ความคงทนของสถาบันที่รองรับความต่อเนื่องของอำนาจ ซึ่งประกอบด้วย ระบบราชการ กฎหมาย องค์กรอิสระ และศาล สถาบันเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือน “รางรถไฟ” ที่ประคองทิศทางการเคลื่อนของอำนาจรัฐต่อเนื่องยาวนาน แม้ผู้ขับเคลื่อนจะผลัดเปลี่ยนไปตามยุคสมัย รางเหล่านี้จึงเป็นทั้งเครื่องมือรักษาสถานะเดิมของชนชั้นนำ และกลายเป็นสนามแข่งขันที่กลุ่มต่าง ๆ พยายาม “ยึดกฎ” ให้เอื้อตนเอง ผลลัพธ์คือกระบวนการปฏิรูปซึ่งมักไม่แตะฐานคิด แต่ปรับเพียงรูปโฉมโดยการเปลี่ยนชื่อหน่วยงาน ปรับขั้นตอน และเพิ่มมาตรฐานเอกสาร ขณะที่อำนาจจัดสรรยังคงกระจุกในมือผู้ออกแบบกติกาเดิม
สาเหตุหลักของความยืดหยุ่นแบบคงตัวนี้มาจากสามกลไกสำคัญ กลไกแรก “ความแน่นเหนียวของสถาบัน” (institutional stickiness) อธิบายพลังของพฤติกรรมคุ้นชินและเส้นทางประวัติศาสตร์ (path dependence) ที่ตรึงกติกาเก่าให้ยากจะถอนราก เมื่อเกิดข้อเสนอยกเครื่อง มักถูกตีกรอบว่า ‘ใหญ่เกินไป เสี่ยงเกินควร’ จึงย่อมสรุปลงที่การเสริมชั้นระเบียบหรือสร้างคณะกรรมการใหม่โดยไม่รื้อรากเดิม
กลไกที่สอง “ตุลาการภิวัฒน์–ราชการภิวัฒน์” ช่วยย้ายข้อพิพาทสาธารณะเข้าสู่ภาษากฎหมายและขั้นตอนเอกสารซับซ้อน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญอันได้แก่ นักกฎหมายระดับสูง ข้าราชการอาวุโส ผู้ตรวจสอบภายใน ครอบครองอำนาจตีความ ข้อถกเถียงเชิงนโยบายจึงถูกแปลงรูปให้เป็นประเด็นเทคนิคที่ประชาชนทั่วไปยากเข้าถึง ในที่สุด แม้คำวินิจฉัยหรือมติจะสะท้อนความเปลี่ยนปลีกย่อย แต่ก็ยากที่จะเปลี่ยนสมการกำกับดูแลที่ลึกกว่า
กลไกที่สาม “การจับยึดหน่วยงาน” (agency capture) เกิดจากการสรรหาผู้นำและออกข้อบังคับเฉพาะทางให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ชนชั้นนำเดิม โดยใช้ภาษาความเป็นกลางปกปิดความลำเอียงเอาไว้อย่างแนบเนียน โดยเฉพาะคุณสมบัติ “ดำรงตำแหน่งระดับอธิบดี” ในคณะกรรมการองค์กรอิสระหลายชุด ซึ่งคัดกรองผู้ท้าทายกติกาจากภายนอกอย่างเป็นระบบ ปรากฏการณ์ “รูปแบบใหม่ เนื้อหาเก่า” จึงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
สถาบันดูทันสมัย มีระบบ e-service หน้าตาโปร่งใส หรือประกาศมาตรฐานจริยธรรมชุดใหม่ แต่กระบวนการอำนวยผลประโยชน์แก่ขั้วอำนาจเดิมยังดำเนินต่อไป ความแปลกใหม่จึงมักอยู่ในขั้นตอน ไม่ใช่ในโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ภูมิทัศน์อำนาจเริ่มเปลี่ยนเมื่อ “การอภิวัตน์ของการมีส่วนร่วม” ค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปในพื้นที่เชี่ยวชาญปิดเหล่านี้ ผ่านสามเส้นทางหลัก
เส้นทางแรกคือ “การฟ้องคดีสาธารณะ” ที่องค์กรภาคประชาสังคม นักกฎหมายสิทธิ หรือกลุ่มชายขอบผู้ได้รับผลกระทบ เรียนรู้จะใช้กระบวนการศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลยุติธรรมเป็นเวทีท้าทายการใช้อำนาจตามดุลพินิจ
เส้นทางที่สองคือ “เครือข่ายการเปิดข้อมูล” ตั้งแต่กลุ่มตรวจสอบงบฯ ท้องถิ่น ไปจนถึงแพลตฟอร์มติดตามจัดซื้อจัดจ้างที่ทำข้อมูลดิบให้ค้นง่ายและจับผิดได้แบบทั่วถึง
และเส้นทางที่สามคือ “การสังเกตการณ์และประเมินผลจากพลเมือง” เส้นทางนี้คือการที่ “ประชาชนลุกขึ้นเป็นผู้ตรวจการ” ใช้สมาร์ทโฟน กล้องถ่ายรูป และสื่อสังคมออนไลน์ เฝ้าดู บันทึก และเผยแพร่การทำงานของหน่วยงานรัฐแบบเรียลไทม์ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือความไม่ชอบมาพากล ข้อมูลจะถูกส่งต่อในวงกว้างทันที จนเจ้าหน้าที่ไม่อาจละเลยแรงกดดันของสาธารณะ ต้องรีบชี้แจงหรือแก้ไขอย่างรวดเร็ว
กระบวนการแทรกซึมเหล่านี้ยังไม่อาจทำให้องค์กรอิสระ “เป็นกลางจริง” ในทันที แต่ได้ยกระดับต้นทุนของการบิดเบือนกติกาให้สูงขึ้น พร้อมกับบ่มเพาะวัฒนธรรมการใช้เหตุผลสาธารณะภายในหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ระดับกลางเริ่มคุ้นชินกับการต้องอธิบายต่อสื่อออนไลน์ มากกว่าจะอิงแค่คำสั่งเจ้านายหรือจดหมายราชการ
นี่คือรอยร้าวเล็ก ๆ ที่กำลังขยายตนภายใต้เปลือกแข็งของระบบเดิม ความท้าทายต่อไปจึงอยู่ที่การยกระดับ “รางวัล” ของการปรับโครงสร้าง มากกว่าการปรับขั้นตอน ต้องทำให้การยึดหลักหลักการ เช่น ประสิทธิผล ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ ได้ผลประโยชน์ทางอาชีพและทางการเมืองสูงกว่าการคงสภาพสถานะเดิม
นั่นแปลว่า ระบบประเมินผลงานและการเลื่อนตำแหน่งต้องผูกรางวัลกับผลลัพธ์สาธารณะจริง ไม่ใช่เพียงกับความสามารถในการ “เขียนข้อบังคับตรงตามคู่มือ” สภาวิชาชีพต้องเปิดเกณฑ์คุณสมบัติให้หลากหลาย ไม่ใช่คัดเฉพาะเจ้าหน้าที่สายเดียว และ “กฎความโปร่งใส” เช่น การเปิดรายละเอียดคำวินิจฉัย อนุญาตให้แปลผลข้อมูลดิบ ต้องถูกบังคับใช้ในทางปฏิบัติ มิใช่เพียงพิมพ์ไว้ในระเบียบ
หาก “รางรถไฟ” เดิมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ขบวนอำนาจไม่ตกราง การจะปรับเส้นทางสู่ปลายทางใหม่ย่อมต้องวางรางชุดใหม่ขนานชุดเก่า แล้วค่อย ๆ โอนขบวนการเมืองไปวิ่งบนทางที่ตรวจสอบได้ เป็นธรรม และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมออกแบบมากขึ้น เปลี่ยนจากระบบที่ชนชั้นนำขับรถไฟให้สังคมนั่งชม ไปสู่ระบบที่ผู้โดยสารเลือกเส้นทาง ร่วมซ่อมราง และเป็นเจ้าของขบวนร่วมกัน.
ความตึงเครียดระหว่างค่านิยมดั้งเดิมกับสมัยใหม่ หากรีดแก่นวัฒนธรรมการเมืองไทยออกมาให้เหลือเพียงสองคำ อาจได้ “ลำดับชั้น” กับ “ความเสมอภาค” ที่ตั้งฉากต่อกันตลอดประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ฝั่งลำดับชั้นยึดโยงกับจารีตพุทธ–พราหมณ์ มหากษัตริย์แบบราชาธิปไตยเก่า และระบบอุปถัมภ์ซึ่งหล่อเลี้ยงเครือญาติ–ศิษย์–เจ้านายให้แน่นแฟ้น ขณะที่อีกฝั่งคือมโนทัศน์ “ปวงชนคือเจ้าของอำนาจ” ซึ่งเดินทางเข้ามากับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 การขยายการศึกษา และคลื่นโลกาภิวัตน์ทางข้อมูลในศตวรรษที่ 21 ประเทศจึงยืนกึ่งกลางระหว่างความสัมพันธ์แบบ “ลูกหลาน–ผู้ใหญ่” ที่สืบทอดค่านิยมกตัญญูรู้คุณ กับสถานะ “พลเมือง–รัฐ” ที่อ้างสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
การซ้อนทับของสองระบอบคุณค่าเดียวกันนี่เองที่ทำให้ไทยไม่เคยนิ่ง แต่ก็ไม่เคยเคลื่อนผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญไปได้เสียทีเดียว ผู้มีอำนาจในไทยสามารถสลับภาษาความชอบธรรมได้ตามสถานการณ์
เวลาเผชิญแรงต้านจากขบวนการเสรีนิยม จะชู “กฎหมาย–เหตุผล” อ้างอำนาจแห่งรัฐธรรมนูญ
เวลาแสวงหาความศรัทธามวลชนก็หันกลับไปอัญเชิญ “ประเพณีการปกครอง–คุณงามความดี–การปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์” การมีทางเลือกเชิงวาทกรรมสองฟากทำให้โครงสร้างอำนาจยืดหยุ่นสูง เป็นการ “ปรับใบ” ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนลำตัวเรือ แต่ในอีกด้านก็สร้างสภาวะชะงักงันทางหลักการ เพราะข้อเรียกร้องเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือความเป็นธรรมกลายเป็นเพียง “อีกชุดตรรกะหนึ่ง” ที่อาจถูกพักใช้เมื่อขั้วจารีตต้องการพลังระดมชนชั้นกลางอนุรักษ์นิยม
ค่านิยมลำดับชั้นมิได้ถูกนิยามเพียงตามอายุ แต่ผูกกับประสบการณ์ประวัติศาสตร์ร่วม เช่น รุ่นที่โตมากับภาวะสงครามเย็นย่อมเชื่อมโยง ‘เสถียรภาพ–ความมั่นคง’ เข้ากับทหารและการจัดระเบียบเข้ม ตรงข้ามกับคนรุ่นดิจิทัลซึ่งเติบโตกับอินเทอร์เน็ตไร้พรมแดน ยืดหยุ่นต่อความหลากหลายทางเพศและอัตลักษณ์ และคุ้นชินกับ “วัฒนธรรมตอบสนองฉับไว” (on demand culture) ในระยะหลัง ช่องว่างนี้ไม่ใช่เพียงความคิดเห็นแตกต่าง แต่ขยายเป็น “ประสบการณ์ทางอารมณ์” ที่แต่ละฝ่ายไม่เข้าใจเหตุผลความรู้สึกของอีกฝ่าย ผลก็คือ การประท้วงนำโดยคนรุ่นใหม่มักถูกตีตราจากคนรุ่นเก่าว่า “ไร้เดียงสา–ไม่เคารพผู้ใหญ่” ในขณะที่คำสั่งสอนให้ “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ถูกปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าจากคนรุ่นใหม่เพราะถูกมองเป็นเครื่องมือควบคุมเสรีภาพ
ลำดับชั้นของอำนาจสัมผัสได้ผ่าน “พิธีกรรม–เครื่องแบบ–ถ้อยคำ” ที่แทรกซึมในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเครื่องแบบ และเข็มเครื่องประดับที่ติดสูทในกิจกรรมที่เป็นทางการของรัฐ ฝ่ายสืบทอดจารีตใช้สัญลักษณ์เหล่านี้เชื่อมโยงสายใยชาติ–ศาสน์–พระมหากษัตริย์ ขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมตอบโต้ด้วยสัญลักษณ์ใหม่ เช่น การชูสามนิ้ว การปะทะระหว่างสัญลักษณ์เก่า–ใหม่ดังกล่าวมิใช่เรื่อง “แต่งตัว–แสดงท่า” แต่เป็นสนามต่อสู้นิยามความชอบธรรม ใครนิยามชาติ ใครนิยามอนาคต จึงเกิดวัฏจักร “พิธีใหญ่–แฮชแท็กโต้กลับ–กฎหมายความมั่นคง” ที่เร่งให้การเมืองดุเดือดขึ้น
เมื่อค่านิยมแบบจารีตและค่านิยมแบบสิทธิเสรีภาพห้ำหั่นกันโดยไม่มีฝ่ายใดสยบอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ สังคมจึงเข้าโหมด “เปลี่ยนผ่านเชิงวัฏจักร” กลไกสมัยใหม่ถูกวางทับบนฐานวัฒนธรรมลำดับชั้น แล้วขยับไปข้างหน้าทุกครั้งที่เกิดแรงผลัก เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 หรือการประท้วง 2563 ก่อนจะถูกแรงดึงกลับสู่กรอบจารีตด้วยคำอธิบายว่า “บ้านเมืองต้องการความสงบ” ผลคือรัฐธรรมนูญถูกแก้หลายฉบับแต่หลักคิดเรื่องศูนย์กลางอำนาจยังเปลี่ยนเพียงผิว พรรคการเมืองเปิดรับคนรุ่นใหม่แต่ยังผูกงบประมาณและตำแหน่งกับระบบผู้อุปถัมภ์ ศาลรัฐธรรมนูญยืนบนหลักนิติรัฐแต่ตีความกฎหมายตามหลัก “ระเบียบสังคมอันดีงาม” ซึ่งยืดหยุ่นสูงต่อประเพณีเก่า แทนการรื้อจารีตทิ้งทั้งหมด
นักคิดรุ่นใหม่อาจต้องเสนอให้ยกระดับ “คุณค่าดั้งเดิม” ไปเชื่อมกับนวัตกรรมสถาบันร่วมสมัย เช่น เปลี่ยน “ความกตัญญู” ให้เป็นหลักประกันทางสังคมกับผู้สูงอายุที่ออกแบบอย่างถ้วนหน้า มิใช่การพึ่งผู้มีพระคุณรายบุคคล หรือขยับ “ความสงบเรียบร้อย” ให้หมายถึงความเท่าเทียมต่อหน้ากฎหมาย มิใช่เพียงการปราบความเห็นต่าง เมื่อจารีตถูกตีความใหม่เป็นสิทธิสาธารณะมากกว่าความเอื้อเฟื้อเฉพาะกลุ่ม แรงดึงกลับจะค่อย ๆ แปลงสภาพเป็นแรงผลักร่วม นั่นอาจเป็นจุดเริ่มให้การเปลี่ยนผ่านอันยืดยาวนี้ขยับสู่สมดุลใหม่ ที่ความเสมอภาคไม่ต้องต่อสู้กับลำดับชั้น แต่ตั้งอยู่บนฐานจารีตที่ยอมรับความหลากหลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ระเบียบ” อย่างแท้จริง
ผลกระทบต่อพัฒนาการประชาธิปไตยไทยจึงไม่ได้เกิดจากด้านบนลงล่างเพียงมิติเดียว แต่สะท้อน “การเมืองของชีวิตประจำวัน” ที่ประชาชนใช้ต่อรองและกำหนดวาระ นโยบายสาธารณะยังคงเสี่ยงต่อการถูกยึดกุมโดยเครือข่ายผลประโยชน์ ทว่าการตรวจสอบแนวตั้งจากประชาชนเริ่มมีเครื่องมือและภาษาใหม่ ๆ ตั้งแต่การเปิดเผยข้อมูลแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบแบบมวลชน ไปจนถึงการฟ้องคดีเชิงยุทธศาสตร์ต่อหน่วยงานรัฐ
ขณะเดียวกัน พรรคการเมืองจะอ่อนแอต่อไปหากยังคงยึด “พรรค–หัวหน้า–เครือข่าย” แต่ก็เผชิญความกดดันจากฐานสมาชิกที่ต้องการการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงมากขึ้น ตั้งแต่การกำหนดนโยบายภายในพรรคไปจนถึงการคัดเลือกผู้สมัคร ความชอบธรรมแบบแยกฐานยังคงเป็นกับดัก ทว่าความแพร่หลายของภาษาสิทธิและความรอบรู้ด้านนโยบายของสาธารณะกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนเงื่อนไขการอ้างความชอบธรรมจาก “ใครพูด” ไปสู่ “พูดอย่างไรและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์อย่างไร”
หนทางคลี่คลายจึงต้องวางประชาชนไว้ที่ศูนย์กลาง ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้ชมการปฏิรูป” หากเป็น “ผู้ร่วมออกแบบกติกา” การปรับแรงจูงใจของระบบงบประมาณและจัดซื้อจัดจ้างให้ตรวจสอบได้ทันที จะไม่มีพลังหากปราศจากผู้สังเกตและผู้ใช้ข้อมูลตัวจริงในระดับชุมชน การทำให้องค์กรกลางเป็นกลางจริงจะเดินได้ก็เมื่อกระบวนการสรรหาเปิดต่อการมีส่วนร่วมและการคัดค้านเหตุผลได้อย่างปลอดภัย
การทำให้พรรคเป็นสถาบันสาธารณะต้องพึ่งพาพลังสมาชิกและผู้สนับสนุนที่ยืนยัน “สิทธิในการกำหนดทิศทางพรรค” มิใช่เพียงสิทธิในการโหวตเมื่อถึงวันเลือกตั้ง การกระจายอำนาจลงท้องถิ่นจะมีความหมายก็ต่อเมื่อประชาชนท้องถิ่นสามารถเข้าถึงงบประมาณ มีเวทีประชามติ และใช้เครื่องมือดิจิทัลกำกับการใช้ทรัพยากรของตน และการศึกษาพลเมืองไม่อาจเป็นกิจกรรมเสริม แต่ควรเป็นโครงหลักของการสร้าง “ภาษาส่วนรวม” ที่ทำให้การถกเถียงเชิงนโยบายเข้มขึ้นและพ้นจากวาทกรรมผู้มีพระคุณ
ในเชิงวิธีวิทยา การอ่านดุลอำนาจโดยวาง “ประชาชน” ไว้กลางสมการจำเป็นต้องเปลี่ยนจากคำอธิบายนามธรรมไปสู่หลักฐานเชิงประจักษ์ที่วัดซ้ำได้และเปรียบเทียบได้ ข้อมูลที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ตัวชี้วัดการเข้าถึงบริการรัฐแบบจำแนกพื้นที่อย่างละเอียด สัดส่วนคำร้องเรียนของประชาชนที่นำไปสู่การแก้ไขเชิงระบบ ระยะเวลาตอบสนองและอัตราการปฏิบัติตามคำขอข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐ สัดส่วนและความถี่ของ “ทุนบริจาคขนาดเล็ก” ต่อรายรับทางการเมืองของพรรคและผู้สมัคร ทั้งหมดนี้ควรเก็บและเผยแพร่ในรูปแบบที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ และสามารถเชื่อมโยงกันได้เชิงข้อมูล เพื่อให้เห็นทั้งภาพกว้างและกลไกละเอียดในระดับปฏิบัติการ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้แยกแยะได้ว่าอะไรคือการปฏิรูปที่ขยับฐานอำนาจจริง และอะไรคือการจัดฉากที่เพียงเปลี่ยนถ้อยคำโดยเนื้อหาเดิมยังอยู่ครบ
ดุลอำนาจของไทยที่เคยตั้งอยู่บนระบบอุปถัมภ์ที่ยืดหยุ่น คณาธิปไตยที่หมุนเวียน สถาบันที่ค้ำยันความต่อเนื่อง และความตึงเครียดระหว่างค่านิยมดั้งเดิมกับสมัยใหม่ จะถูกจัดการโดยประชาชนในฐานะผู้มีบทบาทในเวทีสาธารณะหลายชุด เมื่อประชาชนเคลื่อนตัวจากบทบาท “ผู้รับส่วยของระบอบ” ไปสู่ “ผู้ถือสิทธิ–ผู้ร่วมกำกับกติกา” อย่างต่อเนื่อง การเมืองเชิงกติกาและเชิงนโยบายจึงจะได้เปรียบกว่าการเมืองเชิงอุปถัมภ์ และเมื่อจุดคานเหล่านี้กระจายตัวทั่วถึงมากพอ ดุลอำนาจแบบเดิมย่อมคลายตัว เปิดโอกาสให้ประชาธิปไตยไทยลงหลักปักฐานได้จริง ไม่ใช่เพียงในเอกสาร หากในชีวิตประจำวันของผู้คน
กล่าวโดยสรุป ความหวังคือการขยับจาก “การเปลี่ยนแปลงแบบต่อกิ่งเติมตา” ไปสู่ “การเปลี่ยนฐานคิดของระบอบ” ความท้าทายอยู่ที่การจัดโครงสร้างแรงจูงใจใหม่ให้การเมืองเชิงกติกาและนโยบายอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าการเมืองเชิงอุปถัมภ์ ทำให้องค์กรอิสระเป็นกลางอย่างแท้จริงและการวินิจฉัยตั้งอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม และทำให้พรรคการเมืองยืนได้ด้วยข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะและการมีฐานสมาชิกที่กว้างขวาง ไม่ใช่เพียงเครือข่ายส่วนบุคคล เมื่อเงื่อนไขเหล่านี้ค่อย ๆ ประกอบเข้าหากัน ดุลอำนาจแบบเดิมก็จะคลายตัว และประชาธิปไตยไทยจึงมีโอกาสลงหลักปักฐานอย่างยั่งยืน