ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ฮุน เซน” เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2495 ในช่วงวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 73 ปี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 น่าจะทำให้ชายชราผู้มี “เบาหวาน” เป็นโรคประจำตัว มีความร้อนรุ่มกลุ้มใจในชีวิตจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เมื่อเขาตัดสินใจเปิดศึกกับราชอาณาจักรไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศกัมพูชาในทุกมิติ
“ฮุน เซน” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2538 ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศกัมพูชา และเป็น 1 ในนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก โดยเป็นทั้งตำแหน่งรักษาการฯ และนายกรัฐมนตรี กินเวลากว่า 38 ปี 5 เดือน 1 สัปดาห์
ทั้งนี้ แม้เขาจะส่งมอบอำนาจการปกครองกัมพูชาต่อให้กับ “ฮุน มาเนต” ส่วนตัวเองไปนั่งเก้าอี้ประธานวุฒิสภากัมพูชา หัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา สมาชิกรัฐสภากัมพูชา เสนาธิการทหารกองทัพกัมพูช พลเอกอาวุโสด้านการส่งกำลังบำรุงของกองทัพกัมพูชาและประธานองคมนตรีของกษัตริย์กัมพูชา แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า เขายังคงอยู่ “เบื้องหลัง” ความเป็นไปในกัมพูชาแทบจะทุกเรื่อง รวมทั้งการตัดสินใจเปิดศึกกับราชอาณาจักรไทย
สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งบานปลายถึงขั้นปะทะด้วยอาวุธ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า ฮุน เซน ปรากฏตัว “ลงมือควบคุมสถานการณ์” ด้วยตนเอง เสมือนยังเป็นผู้นำรัฐบาลอยู่ เขาเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง ดำเนินการสื่อสารสั่งการแนวหน้าอย่างแข็งขัน พร้อมทั้งโพสต์ข้อความปลุกขวัญประชาชนและวิจารณ์ไทยผ่านเฟซบุ๊กตลอดเวลา สะท้อนว่า ฮุน เซน ยังคงเป็น “ผู้นำตัวจริง”
ตลอดระยะวลาที่ผ่านมา “ฮุน เซน” ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง พรรคฝ่ายค้านสำคัญอย่าง “พรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ถูกศาลสั่งยุบในปี 2560 ภายใต้ข้อกล่าวหาว่าพยายามโค่นล้มรัฐบาล ขณะที่แกนนำอย่าง “สม รังสี” ต้องลี้ภัยไปยังฝรั่งเศส และ “เกิม สุขา” ทุกวันนี้ก็ยังถูกควบคุมตัวอยู่ภายในบ้านพัก จะออกไปไหนก็ต้องขออนุญาตและตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต
แม้กระทั่งกษัตริย์กัมพูชาคือ “พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหมุนี” ก็ต้องอยู่ภายในการควบคุมจาก “ฮุน เซน”
ประจักษ์พยานที่ชัดเจนก็คือ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา “กษัตริย์นโรดม สีหมุนี” ถึงกับต้องมีพระบรมราชโองการมอบอำนาจแก่ “ฮุน เซน” ให้ทำหน้าที่ประสานงานกับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในด้านกิจการกองทัพ การป้องกันประเทศ การปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ
“สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโช ฮุนเซน พลเอกเกษียณ 5 ดาว และประธานคณะที่ปรึกษาสูงสุดเฉพาะพระองค์ ผู้ได้รับความเคารพนับถือและความรักอย่างลึกซึ้งจากสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
ในห้วงเวลาที่ชาติของเรากำลังเผชิญกับการละเมิดและการคุกคามอย่างรุนแรงต่อบูรณภาพแห่งดินแดนโดยกองทัพไทย และโดยอิงตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ข้าพเจ้าขอมอบอำนาจให้แก่สมเด็จเตโช ฮุนเซน เพื่อประสานงานกับสมเด็จฮุน มาเนต ว่าด้วยกิจการกองทัพ การป้องกันประเทศ อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชา”
นั่นคือ เนื้อหาส่วนหนึ่งในพระบรมราชโองการของกษัตริย์เขมร
แปลเขมรเป็นเขมรก็คือ มอบอำนาจในการสั่งการกองทัพอย่างเป็นทางการให้กับ “ฮุน เซน” นั่นเอง
อันที่จริง อำนาจของ ฮุน เซน ในตำแหน่งประธานวุฒิสภา มีบทบาทต่อประมุขของรัฐค่อนข้างมาก กล่าวคือ รัฐธรรมนูญของกัมพูชา บัญญัติว่าประธานวุฒิสภา จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อกษัตริย์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประมุขแห่งรัฐได้ไม่ว่ากรณีเจ็บป่วยร้ายแรง (ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งร่วมกันคัดเลือกโดยประธานวุฒิสภา ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี) ไม่อยู่ในราชอาณาจักรหรือกรณีที่เสียชีวิตลงและยังไม่มีกษัตริย์ใหม่
และในกรณีที่ประเทศตกอยู่ในภาวะอันตรายจนมีเหตุอันควรแก่การประกาศภาวะฉุกเฉิน กษัตริย์จะประกาศได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากประธานวุฒิสภา ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี เท่านั้น
ดังนั้น เมื่อ ฮุน เซน นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานวุฒิสภา เขาจึงมีบทบาทสำคัญที่สามารถทำหน้าที่ประมุขของรัฐได้ในคราวจำเป็น หรือมีส่วนในการให้คำแนะนำและความเห็นชอบในกรณีที่ประมุขของรัฐจำเป็นจะต้องดำเนินการใด ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายของประเทศชาติ การที่ “กษัตริย์นโรดม สีหมุนี” มอบอำนาจให้ ฮุน เซน สั่งการกองทัพ (ร่วมกับ) ฮุน มาเนต เป็นกรณีตัวอย่าง
และไม่ใช่เรื่องเกินเลยนักที่จะบอกว่า อัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน คืออำนาจหนึ่งเดียวในกัมพูชา
ในทางการเมือง พรรคประชาชนกัมพูชา ซึ่ง ฮุน เซน ดำรงตำแหน่งประธานพรรค ถือเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ครอบงำรัฐสภาของกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง โดยพรรคประชาชนกัมพูชา ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 กวาดที่ทั้งหมด 120 จาก 125 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร (พรรคฟุนซินเปก มี 5 ที่นั่งในสภาล่าง)
ส่วนผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากัมพูชา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 ปรากฏว่า พรรคประชาชนกัมพูชา ได้รับชนะอย่างท่วมท้นกวาด 55 จาก 58 ที่นั่งในสภาสูง และ ฮุน เซน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา
ฮุน เซน สถาปนาอำนาจตระกูลฮุนด้วยการฝังรากลึกในระบบพรรคการเมือง ระบบราชการ รัฐสภา ฝ่ายความมั่นคง และเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ โดยสมาชิกในครอบครัวฮุน เซน ครองตำแหน่งสำคัญทั้งในฝ่ายบริหาร ฝ่ายความมั่นคง และเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน
ที่สำคัญสุดเริ่มจาก ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตที่สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทน ฮุน เซน เขาได้รับการฝึกปรือให้มีทักษะทั้งทางทหาร การเมือง และเศรษฐกิจจากสถาบันการศึกษาชั้นสูงในสหรัฐฯ และอังกฤษ
ฮุน มานิต บุตรชายคนรอง ทำงานทางด้านการข่าวในตำแหน่งเจ้ากรมข่าวกรอง สังกัดกระทรวงกลาโหม และเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกด้วย เขาควบคุมกลไกความมั่นคงที่สามารถชี้เป็นชี้ตายคู่แข่งทางการเมือง ภรรยาของเขาคือ ฮก จันเทวี เป็นบุตรสาวของ ฮก ลุนดี อดีตผู้บัญชาการตำรวจผู้ทรงอิทธิพล
ฮุน มานี ลูกชายอีกคน เคยดำรงตำแหน่งประธานสหพันธ์เยาวชนกัมพูชา (Union of Youth Federations of Cambodia – UYFC) ซึ่งเป็นองค์กรเยาวชนที่ทรงอิทธิพล ใช้สร้างเครือข่ายทางการเมืองรุ่นใหม่และจัดกิจกรรมเชิงอุดมการณ์ของพรรคประชาชนกัมพูชา เขามีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในพรรค ปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของฮุน มาเนต ผู้เป็นพี่ชาย
ฮุน มานา บุตรสาวคนโตของฮุน เซน เป็นนักธุรกิจหญิงผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งได้สร้างอาณาจักรธุรกิจขนาดใหญ่ในด้านสื่อและโทรคมนาคม เธอเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุหลายแห่ง สื่อสิ่งพิมพ์ แพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ และหนึ่งในบริษัทโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา
มีรายงานระบุว่า ฮุน มานา จดทะเบียนถือหุ้นในบริษัทจำนวน 22 แห่ง รวมทุนจดทะเบียนทั้งสิ้นกว่า 66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของครอบครัวนี้ เธอยังขยายธุรกิจไปทำเหมืองแร่ ที่ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 600,000 ไร่ สะท้อนว่าครอบครัวผู้นำตระกูลฮุน ได้ผลประโยชน์โดยตรงจากภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
ส่วน ฮุน มะลิ บุตรสาวคนเล็กของฮุนเซน มีส่วนในพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของครอบครัวผ่านการแต่งงานกับ ซก พุทธิวุฒิ นักธุรกิจบุตรชายของ ซก อาน อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ล่วงลับ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของ ฮุน เซน การแต่งงานครั้งนี้เชื่อมโยงครอบครัวฮุนเข้ากับเครือข่ายอำนาจของซก อาน โดย ฮุน มะลิ และสามี มีส่วนร่วมในกลุ่มธุรกิจโซมา (Soma Group) และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทำให้เครือข่ายครอบครัวฝังรากลึกยิ่งขึ้นในภูมิทัศน์ธุรกิจของกัมพูชา
นักวิเคราะห์บางรายเรียกระบบนี้ว่า “เผด็จการสืบตระกูล” เนื่องจากบุคคลในครอบครัวและเครือข่าย ฮุน เซน ได้รับการวางตัวเข้าครองตำแหน่งสำคัญทั่วทั้งโครงสร้างรัฐ ซึ่ง สม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านที่ลี้ภัย กล่าวไว้ว่า “ระบอบนี้ได้กลายเป็นเผด็จการทางสายเลือด” สะท้อนให้เห็นการผูกขาดอำนาจโดยตระกูลและเครือข่ายของ ฮุน เซน อย่างแจ่มชัด
ในขณะที่ตระกูลฮุนควบคุมกลไกรัฐ กลุ่มทุนที่เกี่ยวดองกับพวกเขาก็ขยายตัวไปพร้อมกันในฐานะผู้รับสัมปทาน การผูกขาด และผู้จัดการโครงการของรัฐ ซึ่งนายทุนสำคัญ อา กิต เม้ง ประธานหอการค้ากัมพูชา เจ้าของ Royal Group คุมกิจการโทรคมนาคม, สื่อ CTN, ธนาคาร ANZ Royal, พลังงาน และโรงแรม ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นออกญา และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติหลายแห่งโดยเฉพาะจีน เช่น Huawei, China Southern Power Grid
เจียง โซเพียบ และ เลา เมงคิน เจ้าของ Pheapimex ได้รับสัมปทานป่าไม้และที่ดินขนาดใหญ่ มีสายสัมพันธ์กับภริยาฮุน เซน และลูกหลานแต่งงานเชื่อมโยงกันกับครอบครัวฮุน มีบทบาทอยู่ในเครือข่ายธุรกิจที่ผูกโยงกับตระกูลฮุน โดยเฉพาะในด้านอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างโครงการรัฐ
มง ฤทธี มหาเศรษฐีเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ร่วมทุนกับกลุ่มไทยในโรงงานน้ำตาลและท่าเรือส่งออก เขาได้รับฉายาว่า “เจ้าพ่อปาล์มน้ำมันแห่งกัมพูชา”
ลี ยง พัด หรือ เสี่ยพัด ที่รู้จักกันดีในนาม “ราชาแห่งเกาะกง” เจ้าของ LYP Group ครองกิจการคาสิโน น้ำตาล และโรงแรมในพื้นที่เกาะกง เป็นวุฒิสมาชิกและผู้ทรงอิทธิพลระดับชายแดนที่ขึ้นชื่อที่สุด
ซก กง เป็นนักธุรกิจเชื้อสายเวียดนาม-เขมร ผู้สร้างอาณาจักร Sokimex จากธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนจะขยายไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การก่อสร้าง ยา อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ
ด้วยระบบที่ผูกพันกันแน่นระหว่างรัฐ–ตระกูล–ทุนเช่นนี้ ทำให้ตระกูลฮุน ไม่จำเป็นต้องเรียกหาคะแนนนิยมจากประชาชนสักเท่าใดนัก การเลือกตั้งของกัมพูชา เป็นแต่เพียงพิธีกรรม สนามกำจัดฝ่ายค้าน และรักษาอำนาจของตระกูลฮุน โดยรัฐบาลตระกูลฮุน เลือกสร้างความชอบธรรมผ่านผลงานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง สะพาน ฯลฯ และดึงดูดทุนจีนเข้าไปลงทุน สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ฯลฯ และโครงการประชานิยมที่รัฐควบคุมผ่านกลุ่มทุนพวกพ้อง
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกประหลาดใจ ที่รัฐบาลตระกูลฮุน หลับตาให้ “จีนเทา” เข้ามาทำมาหากินอย่างถูกกฎหมาย แต่เป็นที่รังเกียจของชาวโลก นั่นคือธุรกิจแสกมเมอร์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่นับรวมถึงการทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของกาสิโนเป็นจำนวนมาก กระทั่งกลายเป็นหนึ่งใน “เสาหลัก” ทางเศรษฐกิจของกัมพูชาที่ผู้ได้ประโยชน์คือตระกูลฮุนและทุนบริวารพวกพ้อง
ขณะที่ประชาชนชาวกัมพูชา พึ่งพิงการบริโภคสินค้าซึ่งผูกขาดและการพึ่งพาระบบราชการที่ตระกูลฮุนควบคุม และอาจได้รับผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากเครือข่ายอุปถัมภ์ ประชาชนชาวกัมพูชา ไม่มีปากเสียงใด ๆ ภายใต้การปกครองที่ตระกูลฮุน ผูกขาดควบคุมรัฐ ควบคุมทุน และสร้างเครือข่ายพวกพ้องเพื่อค้ำยันอำนาจตระกูลฮุนให้มั่นคงถาวร
ปี 2024 กัมพูชา มีประชากร 17.8 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจ (GDP) 1,500,000 ล้านบาท และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 5% (ยกเว้นช่วงโควิดระบาด) กัมพูชา มีรายได้เฉลี่ยต่อประชากร (GDP per capita) ราว ๆ 7,500 บาทต่อเดือน โดยสินค้าส่งออก 3 อันดับแรก คือ 1.เสื้อผ้าและเครื่องประดับเครื่องแต่งกาย มูลค่า 320,000 ล้านบาท 2.สินค้าเครื่องหนัง มูลค่า 67,000 ล้านบาท และ 3.รองเท้า มูลค่า 55,000 ล้านบาท ในส่วนของมูลค่าตลาดหุ้นของกัมพูชา (Cambodia Securities Exchange) มีบริษัทในตลาด 11 บริษัท มูลค่ารวมกันราว 156,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 10% ของขนาด GDP ของประเทศ หรือมูลค่าทั้งตลาดเทียบได้กับมูลค่าบริษัทของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในตลาดหุ้นไทยเพียงบริษัทเดียว
เห็นได้ชัดเจนว่า อำนาจทางการเมืองและความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในเครือข่ายตระกูลฮุน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจนหรือมีฐานะด้อยพัฒนาเมื่อเทียบกัน
รายงาน Global Witness ระบุว่า ตระกูลฮุน เซน มีทรัพย์สินรวมกันราว 500 ล้านถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ชาวกัมพูชาราว 40% ยังคงมีชีวิตอยู่ใต้หรือใกล้เส้นความยากจน ช่องว่างความเหลื่อมล้ำนี้เป็นรากฐานให้ ฮุน เซน สามารถรักษาอำนาจ เพราะกลุ่มชนชั้นนำจะพึงพอใจและปกป้องสถานะเดิม ไม่เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่อาจกระทบผลประโยชน์ของพวกตน
แม้ว่า ฮุน เซน จะสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้ ฮุน มาเนต ลูกชายคนโตไปแล้ว แต่โครงสร้างการสืบทอดอำนาจแบบครอบครัว ตำแหน่งหัวหน้าพรรคและประธานวุฒิสภา ตลอดจนเครือข่ายอุปถัมภ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ได้หลอมรวมกันเป็นกลไกหนุนเสริมให้ ฮุน เซน ยังคงควบคุมทิศทางของประเทศอยู่เบื้องหลังในทุกมิติ
แต่กระนั้น ระบบการเมืองที่ตั้งอยู่บนการสืบทอดอำนาจทางสายเลือด ทุน และการผูกขาดนี้อาจเผชิญความท้าทายในอนาคต หากความชอบธรรมทางสังคมและความสมานฉันท์ในพรรคเริ่มสั่นคลอน หรือมีแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจจากภายนอก เช่น ความสัมพันธ์กับจีน หรือการคว่ำบาตรจากตะวันตก
อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ ฮุน เซน ยังมีชีวิตอยู่ และเครือข่ายของเขายังเหนียวแน่นและทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ฮุน เซน จะยังคงเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจและมีอิทธิพลที่สุดภายในกัมพูชา และพร้อมที่จะรักษาสถานะนั้นไว้ตราบนานเท่านาน...ส่วนสุดท้ายเมื่อหมดอายุขัย เขาจะ “ตายตาหลับ” หรือไม่ เป็นเรื่องที่ติดตามกันต่อไป