ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ศึกภาษีทรัมป์ปิดดีลที่ 19% ถือเป็นจบศึกแค่ยกแรก หลังจากนี้ยังจะมีอีกหลายยกตามมา เรียกได้ว่าชะล่าใจไม่ได้เป็นอันขาด
ผลเจรจาการจัดเก็บภาษีสินค้าส่งออกจากไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ถือว่าเกาะอยู่ในกลุ่ม 19% เช่นเดียวกับหลายชาติในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา และต่ำกว่าเวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ 20%
หลังจากนี้ นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ต้องรอสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศความตกลงอย่างเป็นทางการ และทางไทยต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนจะลงนามข้อตกลงระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ต่อไป
แม้จะยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการชัดเจนว่าไทยเอาอะไรไปแลก แต่ดีลนี้หนีไม่พ้นที่ไทยจะต้องเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และกากข้าวโพด รวมทั้งการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ
การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ด้านหนึ่งแม้จะช่วยลดต้นทุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และปศุสัตว์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีข้อกังวลว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นข้าวโพดจีเอ็มโอ หรือข้าวโพดตัดแต่งพันธุกรรม ใช่หรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าสังคมไทยไม่ยินดีต้อนรับจีเอ็มโอ ส่วนการนำเข้าเนื้อหมูจะส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงสุกรทั้งรายย่อยและรายใหญ่
ฟังจากเสียงของรายใหญ่ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ซึ่งไปพูดในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ว่าการเปิดนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากข้าวโพด กากถั่วเหลือง ทำให้แนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลงชัดเจนเมื่อเทียบกับแหล่งที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งนำเข้าจากเมียนมาและบราซิล
ซีอีโอของ CPF คิดคำนวณจากส่วนต่างของราคาข้าวโพด อาจตกประมาณ 1-2 บาท รวมค่าขนส่งแล้ว เมื่อคิดจากปริมาณนำเข้าข้าวโพดที่คาดว่าสูงถึง 3 ล้านตัน และมูลค่ารวมของกากถั่วเหลือง 48,000 ล้านบาท จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะไก่แปรรูป ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก อีกทั้งการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ปลอดจากการเผาป่า จะช่วยให้ไทยได้แต้มคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย
ส่วนมาตรการปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศนั้น รัฐบาลมีมาตรการภายใต้เงื่อนไข 3 ต่อ 1 กล่าวคือ ซื้อภายในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน ในฤดูกาลเก็บเกี่ยว ส่วนนอกฤดูกาลสามารถนำเข้าจากสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้น
ประเด็นที่น่ากังวลอย่างมากอยู่ที่ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯที่จะต้องนำเข้าเนื้อหมู ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 1% ของปริมาณหมูทั้งหมด หรือประมาณ 10,000 ตัน อาจมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง จะเป็นเรื่องยากมากในการควบคุมและจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค รวมทั้งข้อกังวลหากอนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมู อาจเปิดช่องให้มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเพิ่มขึ้นอีก
ซีอีโอ CPF ประเมินว่า การนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรรายย่อย และเสถียรภาพของอุตสาหกรรมหมูของไทยที่มีมูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท และกระทบต่อ CPF ที่เลี้ยงหมูผ่านเกษตรกรคู่สัญญาถึง 95% ซึ่งการควบคุมมาตรฐานจะทำได้ยากขึ้นหากมีสารเร่งเนื้อแดงเข้ามา
ทางด้าน รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ประเมินผลกระทบสินค้าเกษตรและอาหารที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนี้
ข้าวหอมมะลิไทย ปัจจุบันส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 60,000 ตันต่อเดือน จะเสียเปรียบคู่แข่งเวียดนาม เพราะข้าวหอมมะลิไทยราคาสูงกว่าที่ 900-12,000 ดอลลาร์ ส่วนเวียดนามอยู่ที่ 600-700 ดอลลาร์ อีกทั้งภาษีนำเข้าต่างกันเพียง 1% จึงทำให้ราคาข้าวของเวียดนามยังคงได้เปรียบกว่าไทย
กุ้งและทูน่า จะส่งผลกระทบบริษัทเอกชนไทยรายใหญ่ มีข้อมูลพบว่าพึ่งพาตลาดหลักในสหรัฐฯ มากถึง 39% ของรายได้ทั้งบริษัท
ผลิตภัณฑ์ยาง ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ 31.6% มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ร้อยละ 4.7 ของการส่งออกยางทั้งหมดของไทย แต่หากเทียบเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ไทยยังคงไม่เสียเปรียบมากนัก เพราะถูกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 19% เท่ากัน แต่ยางของมาเลเซียมีคุณภาพที่ดีกว่าไทย
สินค้าที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ ข้าวโพดและกากถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเหลือ 0% จะส่งผลดีต่อไทย จากปัจจุบันไทยนำเข้าข้าวโพดปีละ 3.4 – 4 ล้านตัน และนำเข้ากากถั่วเหลืองปีละ 3.5 ล้านตัน แม้กากถั่วเหลืองสหรัฐฯ จะมีคุณภาพต่ำกว่าบราซิล แต่ราคาจะถูกกว่า เนื่องจากอัตราภาษี 0% ส่วนบราซิล เสียภาษี 2%
การเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู และวัว จะมีต้นทุนถูกลง จากวัตถุดิบอาหารสัตว์ข้าวโพดและกากถั่วเหลืองที่ลดลง ทำให้ราคาเนื้อสัตว์และอาหารถูกลง อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์มีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น และส่งออกได้เพิ่มขึ้น มลพิษจากการเผาเพื่อปลูกข้าวโพดจะลดลง แต่ส่งผลเสียต่อเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดและพ่อค้า จะทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำและการผลิตลดลง
ส่วนเนื้อหมู จากข้อตกลงทางภาษี ไทยต้องนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ประมาณ 10,000 ตัน ภายใต้เงื่อนไขต้องไม่มีสารเร่งเนื้อแดง ถ้าหากมีการนำเข้าจะกระทบผู้เลี้ยงหมูโดยตรงจำนวนมาก จนอาจต้องเลิกกิจการ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะไม่มีข้อตกลงนำเข้าเครื่องในหมูราคาถูก
ผลไม้เมืองหนาวและถั่ว ผู้บริโภคไทยจะได้ประโยชน์จากสินค้านำเข้าที่มีคุณภาพจากสหรัฐฯ เกษตรกรผลไม้ในสหรัฐฯ ประเมินว่าถ้าอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 0% ไทยอาจนำเข้าผลไม้จากสหรัฐฯ ปีละ 25 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 800 ล้านบาท)
ยกสองเล็งสินค้าสวมสิทธิ์ – ข้อกำหนด Local Content
นอกเหนือจากเรื่องใหญ่อย่างภาคเกษตรที่จะได้รับผลกระทบแล้ว ภาคส่วนอุตสาหกรรมก็ต้องถือว่ากระทบหนักไม่แพ้กัน เพราะภาคอุตสาหกรรมของไทย ส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตภายในประเทศ รวมทั้งยังเป็นทางผ่านสินค้า หรือสวมสิทธิ์ หรือใช้วัตถุดิบในประเทศในกระบวนการผลิตแต่เพียงเล็กน้อย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกสหรัฐฯจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย มองว่า อัตราภาษีจากทรัมป์ 19% เป็นแค่จุดเริ่มต้นยกแรกเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะตามมา โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และเรื่องใหญ่ คือ ปัญหา transshipment หรือการลักลอบเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ที่ยังเป็นความเสี่ยงใหญ่ของไทย รวมทั้งการเตรียมออก “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” ที่อาจนำไปสู่การตรวจสอบสินค้าไทยที่เข้มข้นมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะพุ่งเป้าไปยังกลุ่มประเทศ BRICS ที่อาจถูกเก็บภาษีเฉลี่ย10% ขณะที่ไทยซึ่งยังไม่เข้าร่วมเต็มตัวอาจถูกเรียกเก็บเพิ่มที่ระดับ 5%
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้ว่า ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญและต้องมีการเจรจาเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์สูงสุด และสามารถปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบที่รุนแรง เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการคำนวณสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือ Regional Value Content (RVC)
ในประเด็นสินค้าสวมสิทธิ์ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กำชับให้กรมศุลกากรดำเนินการตรวจสอบสินค้าขาเข้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสินค้าที่อาจมาในรูปแบบกึ่งสำเร็จรูป เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีหรือแอบอ้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากแหล่งกำเนิดที่ไม่ถูกต้อง หากจำเป็นต้องลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงาน รวมทั้งในเขตปลอดอากร
เช่นเดียวกับ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งยอมรับว่าสินค้าสวมสิทธิยังเป็นข้อกังวล โดยยังไม่มีความชัดเจนในหลายประเด็น เช่น สินค้าที่นำเข้ามาในลักษณะเพียงผ่านแดน แล้วนำมาติดป้ายแหล่งผลิตใหม่ ซึ่งอาจเข้าข่ายสวมสิทธิ แต่ถ้าเติมวัตถุดิบในท้องถิ่น หรือ Local Content ไปแค่ 10-20% เพื่อส่งออก ยังไม่ชัดเจนเข้าข่ายสวมสิทธิ์หรือไม่
ปลัดกระทรวงการคลัง เผยว่า ขณะนี้ไทยยังอยู่ระหว่างหารือกับสหรัฐ ในการคำนวณ RVC ซึ่งคาดกันว่าจะอยู่ที่ 50-60% โดย RVC จะเป็นการนับส่วนประกอบจากประเทศพันธมิตรในภูมิภาคที่อยู่ในข้อตกลงด้วยกัน ไม่ใช่จากแค่ประเทศไทยเท่านั้น และ RVC มีความสำคัญต่อการพิจารณาว่าสินค้าใดจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี
นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเกษตรไม่น่าจะมีผลกระทบเพราะส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศถึง 80% ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตอื่น ๆ อีก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม แต่ละกลุ่มมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศแตกต่างกัน เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ประมาณ 30-40% หากตกลงปรับสัดส่วนการใช้วัตถุดิบเป็น 40-60% ภาคเอกชนเสนอว่า ปีแรกให้กำหนดที่ 40% และค่อยปรับเป็น 60% ในระยะ 3 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัว หากปรับสัดส่วนในทันทีมีผลกระทบแน่
บทวิเคราะห์เรื่อง Import Influx Trap กับดักเศรษฐกิจไทยในยุคพึ่งพานำเข้าสูง โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระบุว่า สินค้านำเข้ามีบทบาททดแทนสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ทั้งในแง่การบริโภคและส่งออก และพบสัญญาณบ่งชี้ว่า ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมอของไทย เกือบ 3,000 แห่ง อาจดำเนินธุรกิจในลักษณะที่เน้นการซื้อมา-ขายไป ซึ่งมีความเสี่ยงบางส่วนเข้าข่ายสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า อาจไม่มีกระบวนการผลิตจริง หรือแม้จะมีการผลิตก็เป็นเพียงการแปรรูปขั้นต้นเพียงเล็กน้อย โดยธุรกิจที่เข้าข่ายในลักษณะนี้มีมูลค่ารวมกันถึง 1.04 ล้านล้านบาท ในปี 2023 หรือประมาณ 5% ของขนาดตลาดในภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแผงวงจร, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ทั้งนี้ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลระดับมหภาค จากมูลค่าการส่งออก ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และข้อมูลระดับจุลภาคจากฐานข้อมูลงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ครอบคลุมประมาณ 150,000 กิจการในภาคการผลิตทั่วประเทศ
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร เสนอว่า รัฐบาลไทยต้องเร่งจัดการปัญหา Transshipment หรือเป็นทางผ่านสินค้าจากจีนเร่งด่วน โดยในปี 2567 พบว่า สินค้าที่นำเข้าจากจีน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าอยู่ที่ 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 1.3 แสนล้านบาท สอดคล้องกับสินค้าส่งออกชนิดเดียวกันที่ส่งไปสหรัฐฯ ในปี 2567 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 80,000 ล้านบาท
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ซึ่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 เผยว่า สหรัฐฯกำหนดภาษีนำเข้าไทยที่ 19% แทน 36% ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน แต่หลังจากนี้ไทยยังต้องให้ความสำคัญในรายละเอียดโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีสินค้า transshipment และการกำหนดสัดส่วน local content ที่ต้องมีการเจรจาสหรัฐฯต่อไป
ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือการเปลี่ยนผ่าน การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกระทบกลุ่มที่มีมาร์จิ้นต่ำ รวมทั้งต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงภาษี transshipment รวมถึงบังคับใช้กฎหมายศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ทางด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ความสำคัญเรื่องการสวมสิทธิ์ (transshipment) จำเป็นต้องมีข้อมูลอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศหรือ local content เท่าไร และสามารถเพิ่มการใช้ local content ได้เท่าไร ซึ่งแน่นอนสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มสัดส่วน local content สูงเพื่อไม่ให้มีการสวมสิทธิ์
ทาง ส.อ.ท. ทำการสำรวจ 47 กลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสัดส่วน local content ได้รับคำตอบมา 20 กว่ากลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า 17 กลุ่มอุตสาหกรรม มี local content มากกว่า 40% เช่น ไม้อัด/ไม้อัดบาง, ยานยนต์, อัญมณี ฯลฯ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนใช้ local content น้อย ได้แก่ ยา, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์, เหล็ก, โรงกลั่น และปิโตรเคมี เป็นต้น
เห็นได้ชัดเจนว่า หากสหรัฐฯเล่นงานไทยในอุตสาหกรรมที่ใช้ local content น้อย จะส่งผลสะเทือนหนักในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชูโรงในการทำยอดส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า หากกระทบหนักถึงขั้นล้มหายตายจาก จะทำให้มีคนตกงานจำนวนมาก โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนี้ รัฐบาลยังไม่ได้เตรียมวางมาตรการเพื่อเยียวยาผลกระทบแต่อย่างใด
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้มีงบประมาณที่เหลือสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท งบดังกล่าวยังไม่ได้ตัดสินว่าจะไปใช้ในโครงการเยียวยาดูแลกลุ่มสินค้าเกษตรและภาคส่วนที่ยังเปราะบาง ขณะนี้ยังไม่กำหนดกรอบที่ชัดเจน
ยกแรก 19% คล้ายกับลวงให้ดีใจ ยกต่อไปคาดล้มหายตายจากเป็นเบือแน่