xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ฝูงหมา” นำ “ราชสีห์” “ลังกาวี” กอด “MOU”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ณ บัดนี้ เป็นที่แน่ชัดว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มี “ใคร” บางคนปล่อยให้ “กัมพูชาเข้ามารุกล้ำดินแดนทั้งที่เป็นอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย และพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ

หลักฐานอันเป็นประจักษ์พยานสำคัญอยู่ตรงพื้นที่ 2 จุดคือ “ช่องอานม้า” และ “ภูมะเขือ”

ก่อนที่การหยุดยิงจะมีผลเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ทหารไทยเดินหน้ายึดทั้ง 2 พื้นที่อย่างเต็มอัตราศึก และสามารถขับไล่ทหารกัมพูชาออกไปได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งทำให้ “ความลับ” ที่ประชาชนคนไทยไม่เคยรับทราบเปิดเผยความจริงออกมา

เริ่มจาก “ช่องอานม้า” หรือที่ฝ่ายกัมพูชาเรียกว่า “อานแซะ”

สื่อกัมพูชา Kampuchea Thmey Daily ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของ “ฮุน มานา” ลูกสาวคนโตของฮุน เซน เปิดภาพทหารไทยวางกำลัง พร้อมเครื่องมือกู้กับระเบิดที่ตลาดช่องอานม้า และล้อมลวดหนามบริเวณตลาด ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า เป็นดินแดนของตนเอง

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า เหตุที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้างเช่นนั้น เป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ณ บริเวณช่องอานม้า มีการสร้างบ้านเรือนและตลาดถึง 70-80 หลังคาเรือน

พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ไปร้องเพลงและเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหม่บนยอดภูมะเจือ

สภาพบันไดที่ทหารกัมพูชาสร้างขึ้นมาบนยอดภูมะเขือก่อนที่ทหารไทยจะยึดและทำลายทิ้ง


ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ ในสมัยที่ “ฮุน มาเนต” เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก ได้มาสร้าง “อนุสาวรีย์ตาอม(Ta Om Monument)” เอาไว้ในลักษณะของนักรบขี่ม้า ชี้หอกหรือทวนมาทางฝั่งไทย เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ครอบครองดินแดนอ้างสิทธิ์ และว่ากันว่า มีการทำพิธีสายมูฯ ไว้ด้วย

แม้ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยเคยประณามว่าละเมิด MOU43 (ปี 2543) เพราะการสร้างโครงสร้างถาวรในเขตพิพาท ไม่เป็นไปตามข้อตกลง แต่ก็ทำแค่เพียงเท่านั้น และอนุสาวรีย์ตาอมก็ยังคงดำรงอยู่ กระทั่งเกิดข้อพิพาทชายแดนที่ผ่านมา อนุสาวรีย์ตาอมจึงพังพินาศลงมาไม่เหลือชิ้นดีจากกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาที่มุ่งหวังสังหารทหารไทย

ถามว่า “ตาอม” คือใคร?

บ้างก็ว่า เป็นชื่อที่คนเขมรใช้เรียกชายชราท้องถิ่นที่มีบทบาทในการคัดค้านหรือสู้รบเพื่อปกป้องดินแดนตามแนวชายแดนในอดีต โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดข้อพิพาทด้านพรมแดนในหลายทศวรรษที่ผ่านมา คนกัมพูชาบางกลุ่มเชื่อว่า “วิญญาณตาอม” จะปกป้องพื้นที่ชายแดน

บ้างก็ว่าคือ “พระยาละแวก” บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์การสู้รบระหว่างอยุธยาและกัมพูชา โดยในมุมของไทยถือเป็นผู้ทรยศเพราะมักจะคอยแว้งกัดแทงข้างหลังเสมอโดยเฉพาะเวลาที่อยุธยากำลังมีปัญหาภายใน หรือรับศึกก็มักจะส่งกองทัพมาตีหัวเมืองและกวาดต้อนคนไทยไปเสมอๆ จนสุดท้ายถูกสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตัดหัวแล้วเอาเลือดมาล้างเท้า แต่ในมุมของกัมพูชาได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาติ

“พลตรี วินธัย สุวารี” โฆษกกองทัพบก ให้ข้อมูลว่า พื้นที่ช่องอานม้าอยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทย แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ที่กระทำการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย โดยฝ่ายไทยได้มีการยื่นหนังสือประท้วงในทุกระดับมาแล้วหลายครั้ง แต่ทางการกัมพูชายังมิได้ดำเนินการแก้ไขใด ๆ

ดังนั้น หลังจากปฏิบัติการทางทหาร โดยฝ่ายไทยสามารถยึดและควบคุมพื้นที่ได้โดยสมบูรณ์ จึงได้ดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคงและจัดระเบียบพื้นที่ใหม่ โดยมีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและ ใช้เครื่องจักรเข้าดำเนินการเคลียร์พื้นที่ เพื่อขจัดอันตรายจากทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาอาจลักลอบวางไว้และยังตกค้างอยู่ในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถวางกำลังควบคุมพื้นที่และปกป้องอธิปไตย ของไทยได้อย่างมั่นคง ตามแนวเส้นปฏิบัติการของฝ่ายไทย

โฆษกกองทัพบก เปิดเผยด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุการปะทะเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 กำลังทหารฝ่ายไทยไม่เคยสามารถเข้าไปในพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอมได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาวางกำลังตรึงพื้นที่ไว้ฝ่ายเดียวมาตลอดซึ่งผิดหลักธรรมชาติ แต่ปัจจุบันหลังปะทะ และหยุดยิง ฝ่ายไทยสามารถเข้าพื้นที่ได้



ทหารไทยวางลวดหนามที่ตลาดช่องอานม้า
ด้าน “บิ๊กกุ้ง-พลโท บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาค 2 ประกาศชัดว่า “กัมพูชาดำเนินการผิดข้อตกลงมานานแล้ว และจะไม่ให้มีคนเข้ามาอยู่ในตลาด และบ้านเรือนบริเวณนั้นอีกแล้ว”

ขณะที่บริเวณ “ภูมะเขือ” ก็เป็นที่ชัดเจนว่า ตามข้อตกลงเดิมนั้น ไทยอนุญาตให้ทหารกัมพูชาขึ้นมาได้ แต่ห้ามกระทำการใดๆ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ทว่า กัมพูชาก็มีการสร้างบันไดและกระเช้าขึ้นมาบนยอดภูมะเขืออีกต่างหาก

ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อทหารไทยสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกไปและชักธงชาติไทยขึ้นสู่เสาบนยอดภูมะเขือ พร้อมกับร้องเพลง “ชาติไทย” จึงเป็นภาพที่สร้างความยินดีให้กับทหารและกองทัพ เสมือนได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจที่สะสมเอาไว้นานออกไป

อย่างไรก็ดี สัญญาณที่ถือว่าต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ คำประกาศของ “บิ๊กกุ้ง-พลโทบุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ระบุว่า ไม่พียงแค่ที่ภูมะเชือหรือช่องอานม้าเท่านั้น หากแต่ “ทั้ง 11 จุดเราทำแบบเดียวกัน คือการวางรั้วลวดหนาม มีการวางกำลังเพื่อป้องกันการกระทำที่ไม่เรียบร้อยต่อแผ่นดิน และยืนยันว่าเราอยู่ในเขตประเทศไทย ไม่ได้รุกล้ำหรือยึดพื้นที่นอกประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลและกองทัพอยู่แล้ว”

พร้อมบอกด้วยว่า “ทหารไทย ณ ปัจจุบันนี้อยู่ตรงไหน ก็ให้อยู่ตรงนั้น”

นี่เสมือนเป็นคำประกาศ “การจัดระเบียบชายแดนไทย-กัมพูชา” ที่ถูกละเลยมานาน กระทั่งทำให้มีการรุกล้ำเข้ามา ทำให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตย และถูกกัมพูชานำไป “โกหก-บิดเบือน” อย่างที่เห็น

ทว่า สิ่งที่ต้องถามกันก็คือ ทำไมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาถึงไม่มีการผลักดันออกไป จะอ้างว่า ได้ดำเนินการประท้วงไปตามขั้นตอนของ MOU 2543 เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผล

เหตุผลที่มีความเป็นไปได้ประการเดียวก็คือ มีคำสั่งให้นิ่งเฉยเลยผ่านไปเสีย

นี่คือสิ่งที่จะตรวจสอบต่อไปถึง “ความจริง” ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงทีผ่านมา ด้วยเมื่อย้อนกลับไปดูก็จะพบ “ความผิดปกติ” ในหลายประเด็นด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น การรื้อรั้วที่กั้นปราสาทตาเมือนธมออกไป ปล่อยให้มีการสร้างบ่อนสายตะกู ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ทับซ้อนหน้าตาเฉย เป็นต้น

เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดในยุคใดสมัยใด คงหาคำตอบได้ไม่ยาก โดย “หัวเชื้อ” ของเรื่องนี้อยู่ที่แผนที่ 1 ต่อ 200000 ที่นักการเมืองไทยตั้งแต่ยุค “ชวน หลีกภัย” ไปยอมรับและต่อมามีการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาเรื่องการจัดทำเขตแดนทั้งทางบก และทางทะเล หรือ MOU 2543 และ 2544 จากนั้นเรื่อยมาถึงวันนี้ พ.ศ.2568 ผ่านมา 24 ปี 25 ปี กี่รัฐบาลก็ไม่มีใครแก้ปัญหานี้เลย

โดยเฉพาะใน “ยุคลุง” คือ “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจเบ็ดเสร็จหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แต่กลับไม่ใช้ มาตรา 44 แก้ไขปัญหาชายแดน การถูกล้ำแดน และการละเมิดอธิปไตยของชาติโดยกัมพูชานี้แต่อย่างใด จนสุดท้าย “ฝีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา” ก็แตกปะทุออกมาเป็นสงครามในปี 2568

อย่างไรก็ดี “ธนกร วังบุญคงชนะ” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า เป็น “เด็กลุง” ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “10 ปี ลุงไม่เคยให้ทหารเขมรล้ำแดน“

พร้อมอธิบายเอาไว้ว่า “สมัยพลเอกประยุทธ์มีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาบ้างแต่ได้ส่งสัญญาณเตือนกัมพูชาไปอย่างเข้มแข็ง โดยยึดประโยชน์ความสงบสุขของประชาชนของทั้งสองประเทศ เป็นสำคัญเพื่อไม่ให้เกิดการเสียเลือดเนื้ออย่างในวันนี้ ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ทุกฝ่ายจึงไม่ควรมากล่าวโทษ แต่ควรดูเหตุและผลในเชิงยุทธวิธีทางการทหาร ควบคู่แนวทางการบริหารพื้นที่และบริหารคน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติมากกว่า”

คำถามก็คือ การบอกว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาชายแดนไทยกัมพูชามีความสงบนั้น ความสงบที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ “ศัตรูยำเกรง” หรือ “เพิกเฉย” ให้กัมพูชาล้ำอธิบไตยของไทย ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การปล่อยให้ทหารกัมพูชาเข้ามายึดครองช่องอานม้าและภูมะเขือ รวมถึงการรื้อลวดหนามที่ปราสาทตาเมือนธม

ขณะที่ “ลุง” เอง จนบัดนี้ก็ยังไม่ปล่อยวางอำนาจ ไม่เช่นนั้นจะส่ง “พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์” เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลพรรคตเพื่อไทยทำไม เพราะแม้ในทางเปิดจะเป็นโควตาของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าเป็น “โควตาลุง”

แถมวันนี้ ประเทศไทยก็ยังไม่มี “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” และปล่อยให้ “บิ๊กเล็ก” นั่งรักษาการแทนพร้อมทั้งนำทัพของ “คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา” อีกต่างหาก ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลกที่ “ไม่มีนายกรัฐมนตรี” และ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ในยามที่ประเทศเกิดศึกสงคราม

พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์

พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสด์

พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์

 ภูมิธรรม เวชยชัย

ทักษิณ ชินวัตร

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
สิ่งที่ชวนให้สงสัยก็คือ ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น หรือรอเวลาให้ ““บิ๊กแก้ว” พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์” อดีต ผบ.ทสส. ซึ่งติดเงื่อนไขที่ว่าเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา ทำให้ต้องเว้นวรรคไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นเวลา 2 ปี จึงสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามสิ่งที่เรียกขานว่า “ดีลลังกาวี” ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ “บิ๊กแดง-พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์” พร้อม “บิ๊กแก้ว” เดินทางไปที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ในช่วงเวลาเดียวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” กันแน่

เพราะดูทรงแล้วการที่เว้นว่างเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีเปอร์เซ็นต์ที่จะให้อำนาจอยู่ในมือของ “บิ๊กเล็ก” เสียมากกว่า ซึ่งก็คงจะต้องติดตามกันต่อไปว่า เมื่อครบกำหนดเงื่อนไขตามกฎหมาย “บิ๊กแก้ว” จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามข่าวที่ว่าหรือไม่ อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือแม้วันนี้ “บิ๊กแก้ว” จะยังไม่มีตำแหน่งแห่งหนอย่างเป็นทางการ ทว่า ในทางปฏิบัติมีคำยืนยันว่าเข้ามานั่งทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เป็น “บิ๊กแก้ว” เด็ก “บิ๊กแดง” ที่เชื่อมโยงเส้นอำนาจไปถึง “บิ๊กเล็ก” และ “ลุง” ซึ่งถูกสังคมตั้งข้อสงสัยถึงความสัมพันธ์กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่กลับมารับโทษแต่ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว และวันนี้มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็นมือไม้ในการทำงานในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีอย่างไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ แถม “พรรค DNAลุง” อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติก็ยังร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยของทักษิณหลังเกิดกรณีคลิปสนทนา “ฮุน เซน-แพทองธาร ชินวัตร” อีกต่างหาก

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ การที่ “บิ๊กเล็ก-พลเอก ณัฐพงษ์” ที่ต้องย้ำว่าเป็น “สายตรงลุงตู่” แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นคำถาม “ทำไมไทยจึงไม่ยกเลิก “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” หรือ “MOU 2543” ระหว่างที่กำลังมีการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย เอาไว้ว่า “MOU 43 ยังมีประโยชน์ เพราะปัจจุบันที่เรากล่าวหากัมพูชากับนานาประเทศได้ เพราะเขาผิด MOU 43 หากไม่มี MOU 43 ก็ไม่มีกติกาอ้างอิงที่จะไปกล่าวหาเขาได้ ได้แค่กล่าวหา แต่ไม่มีกรอบที่จะอ้าง”

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมในยามที่ “ลุง” มีอำนาจถึงไม่ยกเลิก MOU 2543 เสียที แถมนอกจากไปเลิกแล้วยังเดินหน้าเจรจาต่อเนื่องไปถึงขุมทรัพย์ทางทะเลจาก MOU 2544 อีกต่างหาก

ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แม้ ณ ปัจจุบัน ฝ่ายกองทัพจะมีความชัดเจนในเรื่องอธิปไตยของชาติ แต่ก็มิอาจไว้วางใจ “ฝ่ายการเมือง” ที่เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้แก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพราะยังคงยึดมั่นถือมั่นกับ MOU ทั้งสองฉบับ

นี่นับเป็นอันตรายยิ่งต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะที่ผ่านมาประจักษ์แจ้งกันแล้วว่า MOU 2543 ต่างหากที่ทำให้กัมพูชาลุกล้ำดินแดนไทยมาโดยตลอด ขณะที่ฝ่ายไทยทำได้แค่เพียง “ทำหนังสือประท้วง” ซึ่งฝ่ายกัมพูชามิได้สนใจใยดีแต่ประการใด

เพราะฉะนั้น การลงนามร่วมกันระหว่างคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ของไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซีย ทั้ง 13 ข้อ จึงมิได้มีประโยชน์อะไรต่อประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะปัญหาใหญ่ยังคงเหมือนเหมือนคื กัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ขณะที่ไทย โดยเฉพาะ “กองทัพ” ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000

นอกจากนี้ แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีการตกลงหยุดยิงกัน “ฝ่ายกัมพูชา” ก็ยังคงเปิดปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การปรากฏตัวของ “โดรน” ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่และแทบทุกวัน ไม่นับรวมถึงการจับกุม “สายลับ” อดีตหน่วยทหารองครักษ์ BHQ ของ “ฮุน เซน” ได้

ส่วน “ฝ่ายการเมือง” ที่มีอำนาจสั่งการอยู่ในมือก็เห็นได้ชัดว่า ทำงาน “เชื่องช้า” ยิ่งกรณี “โดรน” ซึ่งจัดเป็นภัยคุกคามอันน่าตื่นตระหนกจากฝ่ายฮุน เซนด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด เพราะแทนที่จะแก้ไขระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างให้ทันกับสถานการณ์ กลับทำตัวประหนึ่งทองไม่รู้ร้อน จนภาคประชาชนต้องระดมสรรพกำลังเพื่อจัดซื้อให้กับหน่วยทหารที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ

เมื่อประมวลสถานการณ์ทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า “ฝูงหมา(ยังคง) นำราชสีห์” และ “ดีลลังกาวี(ยังคง) กอด MOU” อยู่เหมือนเดิม โดยที่ไม่มีหลักรับประกันใดๆว่า นับจากนี้ไปเบื้องหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะดำเนินไปอย่างไร

จะเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดไปจากสิ่งที่ทหารหาญของชาติได้พลีกายถวายชีวิตนำกลับคืนมาสู่ราชอาณาจักรไทยหรือไม่

..ประชาชนคนไทยผู้รักชาติโปรดติดตามอย่างไม่กระพริบตา


กำลังโหลดความคิดเห็น