ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
นโยบายสันติภาพของพม่าเกิดขึ้นโดยผู้นำที่ชื่อ ขิ่น ยุนต์ (ค.ศ.1939- ในตอนนั้นเขามีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสำนักข่าวกรองแห่งชาติพม่า โดยเขาอาศัยข้อมูลข่าวกรองที่เขามีอยู่มาใช้ประโยชน์ด้วยการสร้างนโยบายสันติภาพขึ้นมา ภายใต้นโยบายนี้ก็ได้นำไปสู่เจรจาสงบศึกกับชนชาติต่างๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กับพม่า
จะเห็นได้ว่า หากนโยบายนี้ประสบความสำเร็จก็จะทำให้พม่าลดงบประมาณในด้านความมั่นคงได้มาก ด้วยจะได้ไม่ต้องนำเงินมาทำศึกกับชนชาติเหล่านี้อีกต่อไป ทั้งยังมิต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อที่เป็นทรัพยากรมนุษย์อีกด้วย และเมื่อนโยบายนี้เริ่มขึ้นพม่าก็เล็งไปที่ โลซิงฮัน ในฐานะตัวเลือกที่พึงใช้เป็นคนกลางในการเจรจาสันติภาพกับโกกั้งและว้าแดง
ซึ่งในสายตาของพม่าขณะนั้นทั้งสองต่างก็คือ กบฏ
แต่ทว่านโยบายดังกล่าวก็ใช่ว่าจะสำเร็จได้โดยง่าย เพราะหลายสิบปีก่อนหน้านั้นได้ปรากฏว่า พคพ. สามารถยึดพื้นที่ทางภาคเหนือของพม่าเอาไว้ได้มากและมั่นคง ซึ่งกล่าวเฉพาะพื้นที่ในส่วนของโกกั้งแล้วผู้ที่ยึดพื้นที่เอาไว้ก็คือ โกกั้งคอมมิวนิสต์หรือโกกั้งซ้าย
ส่วนโกกั้งที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์หรือโกกั้งขวาได้เคลื่อนย้ายกองกำลังของตนไปพื้นที่อื่น และเมื่อย้ายไปตั้งมั่นจนมั่นใจได้ว่าปลอดภัยแล้ว โกกั้งขวากลุ่มนี้ก็ใช้ฐานที่มั่นของตนทำการปลูกฝิ่นเป็นการใหญ่ เพื่อใช้เป็นแหล่งทุนมาหล่อเลี้ยงการต่อสู้ของกลุ่มตน
ที่สำคัญ โกกั้งขวาเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากพม่าในฐานะแนวร่วม เพื่อให้มาต่อสู้กับ พคพ. ด้วยกัน
การได้รับการสนับสนุนจากพม่าดังกล่าว ทำให้ชนชาติคะฉิ่นที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาแต่เดิมไม่กล้าที่จะต่อต้านโกกั้งพวกนี้ มิหนำซ้ำยังมีชาวคะฉิ่นจำนวนไม่น้อยไปร่วมกับโกกั้งขวาเหล่านี้อีกด้วย และเมื่อโกกั้งขวาปลูกฝิ่นเลี้ยงตน คะฉิ่นกลุ่มนี้ก็ปลูกฝิ่นเลี้ยงตนไปด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ฝิ่นจึงยิ่งขยายตัวมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีการแย่งตลาดระหว่างกัน เพราะอย่างไรเสียฝิ่นก็เป็นที่ต้องการของพวกอาชญากรข้ามชาติอยู่เสมอ ตราบใดที่มันรอดเงื้อมมือจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปได้
ที่สำคัญ ยิ่งฝิ่นมีความเสี่ยงสูงก็ยิ่งมีความต้องการสูง ยิ่งมีความต้องการสูงราคาฝิ่นก็ยิ่งสูงตามไปด้วย
ส่วนคะฉิ่นอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นชอบกับการเข้ามายึดพื้นที่ของตนของโกกั้งขวา ก็ทำการต่อต้านโกกั้งขวาด้วยกำลังอาวุธ จนเมื่อคะฉิ่นกลุ่มนี้ตั้งหลักได้พอสมแล้ว การต่อสู้กับโกกั้งขวาก็เป็นไปด้วยความตึงเครียด เพราะคะฉิ่นกลุ่มนี้ใช้วิธีการต่อสู้แบบกองโจร และมักเป็นการซุ่มโจมตีฝ่ายโกกั้งเป็นส่วนใหญ่
การต่อสู้ระหว่างโกกั้งขวากับคะฉิ่นกลุ่มนี้ กล่าวกันว่า ได้สร้างความสูญเสียให้ทั้งสองฝ่ายพอๆ กัน แต่สิ่งที่สร้างความหวาดผวาให้แก่โกกั้งขวาก็คือ การที่คะฉิ่นกลุ่มนี้มีเป้าหมายการทำลายล้างพื้นที่ปลูกฝิ่นเป็นหลัก ด้วยการจับโกกั้งที่ปลูกฝิ่นมาฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด จนทำลายขวัญและกำลังใจของกองกำลังโกกั้งกลุ่มนี้ได้ไม่น้อย
ที่สำคัญ ตลอดเวลาที่โกกั้งขวาสู้รบกับคะฉิ่นอยู่นี้จะมีโลซิงฮันร่วมอยู่ด้วยเสมอ
อย่างไรก็ตาม แม้โกกั้งขวาจะช่วยรัฐบาลพม่าต่อสู้รบกับ พคพ. ก็จริง แต่ก็ยากที่จะเอาชนะ พคพ. ได้โดยง่าย ซึ่งในด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ช่วงนั้นถึงแม้ พคพ. จะไม่มีจีนมาให้การสนับสนุนแล้วก็ตาม แต่การที่ยังยืนหยัดอยู่ก็ได้แสดงว่า หลายสิบปีที่ผ่านมา พคพ. ได้สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง จนสามารถพึ่งตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
ตราบจนพม่าภายใต้นโยบายของขิ่น ยุนต์ จากที่กล่าวไปแล้ว การเจรจาสงบศึกจึงได้เกิดขึ้นกับชนชาติที่ต่อต้านพม่าในขณะนั้น นโยบายนี้มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ และที่สำเร็จก็คือ การยอมยุติการสู้รบของโกกั้งและว้า
ส่วนที่ไม่สำเร็จก็คือ ขบวนการของชนชาติอื่นที่ยังคงสู้รบกับพม่าต่อไป โดยสู้รบหนักมากขึ้นหลังการรัฐประหารในพม่าเมื่อ ค.ศ.2021
การเจรจาสงบศึกระหว่างรัฐบาลพม่ากับโกกั้งบรรลุผลเมื่อ ค.ศ.1989 โดยผู้นำโกกั้งที่เจรจากับพม่าคือ เผิงเจียเซิง ส่วนผลการเจรจายุติลงด้วยข้อตกลงที่ว่า พม่าจะให้โกกั้งตั้งเขตปกครองของตนขึ้นมาโดยมีชื่อว่า เขตพิเศษ 1 แห่งรัฐฉาน (First Special Region of Shan State)
ขณะที่มีการเจรจากันนั้น เผิงเจียเซิงมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังพันธมิตรประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army, MNDAA) โดยในปี ค.ศ.1989 ที่มีการเจรจากันนั้น พม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศของตนจากพม่ามาเป็นเมียนมา และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ดูไปแล้วการเจรจายุติการสู้รบดังกล่าวน่าจะมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย แต่สิ่งที่พม่ามิอาจยุติได้ก็คือ การทำให้โกกั้งหยุดการผลิตยาเสพติด เช่นเดียวกับที่มิอาจหยุดว้าในเรื่องนี้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อรัฐบาลได้ขอให้โกกั้งนำกองกำลังของตนมาช่วยป้องกันชายแดน ก็ถูกปฏิเสธจากโกกั้งด้วยเช่นกัน
เรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า โกกั้งยังคงมีอิสระจากพม่าจนแทบจะเป็นอีกประเทศหนึ่งก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพม่าได้เพิ่มมาตรการกดดันต่างๆ จนโกกั้งก็ยอมที่ยุติการผลิตยาเสพติดในที่สุด แต่ประเด็นที่ควรกล่าวด้วยก็คือ การยอมยุติการผลิตและค้ายาเสพติดของโกกั้งนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ขบวนการค้ายาฯ ของโกกั้งถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
เรื่องนี้มีที่มาจาก ค.ศ.2008 สหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการกดดันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในพม่า ด้วยการประกาศคว่ำบาตรธุรกิจของครอบครัวโลชิงฮัน โดยให้เหตุผลว่า ครอบครัวนี้ให้การสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการพม่า
การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ในครั้งนั้นทำให้ชาวโลกรู้ว่า โลซิงฮันได้ตั้งบริษัทธุรกิจขึ้นมาเพื่อทำการฟอกเงินจากการค้ายาฯ ซึ่งมีอยู่หลายบริษัท แต่โดยหลักแล้วก็คือ บริษัทเอเชียเวิร์ลด์ ที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ที่ทำให้รู้มากขึ้นก็คือ โลซิงฮันย้งมีเครือข่ายธุรกิจอื่นที่สยายปีกออกไปอีกจำนวนไม่น้อย
ในขณะที่องค์กรที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ คือ สำนักงานควบคุมสินทรัพย์ของต่างประเทศ (the Office of Foreign Assets Control, OFAC) ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2008 องค์กรนี้ได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัทและสมาชิกครอบครัวโลชิงฮันเป็นการประเดิม
โดยผู้ที่เป็นเป้าหมายแรกก็คือ สตีเว่น ลอว์ ลูกชายของโลซิงฮัน และลูกสะใภ้ของเขาที่มีชื่อว่า ซีซิเลีย เอ็ง