คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการปรับปรุงกลไกและระบบราชการที่บริหารปกครองราชอาณาจักรสวีเดน ในตอนนี้จะได้กล่าวถึงการบริหารจัดการดินแดนในการปกครองของสวีเดนภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน
ดินแดนในส่วนที่เรียกว่า Estland และ Livland เป็นดินแดนอาณานิคมที่มีอภิชนท้องถิ่นเป็นเยอรมันที่กดขี่ประชากรท้องถิ่นที่เป็น ชาวเอสโตเนียนและชาวเลตติช (Estonian และ Lettish) ดินแดนทั้งสองมีที่ประชุมฐานันดร มีที่ประชุมเจ้าที่ดินที่เรียกว่า Landtag และตัวแทนดินแดนที่ขึ้นกับพระมหากษัตริย์ ที่เรียกว่า Landrat
แม้ว่าดินแดนทั้งสองจะเป็นที่กล่าวขานว่ามีระบบศักดินาที่กดขี่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แต่นโยบายของสวีเดนในดินแดนทั้งสองกลับส่งเสริมการพัฒนาองค์กรปกครองท้องถิ่นโดยชาวสวีเดนร่วมกับชาวเยอรมันได้
พื้นที่ Livland มีความน่าสนใจตรงที่เกิดการต่อสู้และท้าทายอำนาจในการใช้นโยบายการเวนคืนในพื้นที่อย่างชัดเจน ประเด็นปัญหามีเชื้อมูลมาจากเหตุที่ว่า นโยบายการเวนคืนไม่ได้ระบุมาตรการที่ชัดเจนที่ใช้ในดินแดนโพ้นทะเล และมีที่ดินใน Livland ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่ชาวสวีเดนภายหลังปี ค.ศ.1680 คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 80
การผลักดันนโยบายดังกล่าวผ่านผู้ว่าการที่ดูแลพื้นที่ ทำให้ผู้ว่าการถูกต่อต้านอย่างเปิดเผยและต่อเนื่องในพื้นที่ การต่อต้านที่เด่นชัดที่สุดคือการยื่นเอกสารประท้วงต่อพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1692 เป็นการท้าทายพระราชอำนาจและพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์จนถึงกับมีการกล่าวถึงการจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับสวีเดน
ผลคือ การดำเนินการปราบปรามและการจัดตั้งคณะตุลาการไต่สวนกลุ่มแกนนำที่ทำการต่อต้าน ณ กรุงสต๊อกโฮล์มในปี ค.ศ.1694 คำพิพากษาโดยสภาบริหารได้ตัดสินจำคุกเหล่าแกนนำและให้ประหารชีวิตหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ J. R. von Patkul แต่เขาหลบหนีออกไปจากกรุงสต๊อกโฮล์มได้ทัน
กระบวนการไต่สวนที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการยืนยันอำนาจทางการเมืองและเป็นการสื่อสาร-ข่มขู่ประชาชนท้องถิ่นไม่ให้ท้าทายพระราชอำนาจของกษัตริย์สวีเดน ถัดจากนั้น Livland ถูกลดทอนอำนาจทางการเมืองลงด้วยการปฏิรูปองค์กรทางการเมือง มีการยุบ Landrat และให้จัดตั้งคณะกรรมการแบบคณะกรรมาธิการลับ ทั้งยังลดทอนอำนาจของที่ประชุมฐานันดรให้เหลือแต่เพียงการให้การยินยอมต่อการเรียกเก็บภาษีพิเศษและการร้องทุกข์เท่านั้น และในส่วนนโยบายการเวนคืนใน Livland นั้น ก็นำมาซึ่งรายได้จำนวนมาก (5,500,000 dsm)
ในภาพรวม ในกรณี Livland และ Estland พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดไม่ได้ทรงมีนโยบายแบบจักรวรรดินิยมใด ๆ พระองค์มีพระราชประสงค์แต่เพียงการสร้างสมดุลในการคลังในแต่ละดินแดนควบคู่ไปกับการพัฒนากองกำลังป้องกันในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เราสามารถเห็นถึงความพยายามสถาปนาอิทธิพลของสวีเดนในดินแดนดังกล่าวได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งองค์กรเกี่ยวกับการปกครองอย่างศาลสูงหรือศาลเขต การใช้กฎหมายสวีเดน และการตั้งมหาวิทยาลัยในเมือง Dorpat เพื่อปลูกฝังค่านิยมแบบสวีเดน
สำหรับเจ้าหน้าที่การปกครองใน Livland พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงมุ่งทรงส่งเสริมการศึกษาและการศาสนาอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะพระราชประสงค์ที่ให้มีการแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาเอสโตเนียนและภาษาเลตติช กล่าวได้ว่าในรัชสมัยของพระองค์ สวีเดนมีทัศนะต่อประชากรท้องถิ่นดังกล่าวที่ให้ชาวคริสต์มีสิทธิในระดับหนึ่ง แต่ด้วยกรอบกฎหมายและอิทธิพลของชนชั้นนำเยอรมันในดินแดนดังกล่าวนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้พระองค์มอบสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนท้องถิ่นไปได้มากกว่านี้
โดยสรุปแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Livland และ Estland โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายการเวนคืน โดยปราศจากฐานทางกฎหมายแสดงถึงการใช้พระราชอำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดอย่างชัดเจน พระองค์ทรงสามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ที่เป็นไปเพื่อ “ประโยชน์สาธารณะ” แม้จะขัดต่อกฎหมายในรัชสมัยก่อนหน้าหรือขัดกับคำสั่งก่อนหน้าในรัชสมัยของพระองค์ก็ตาม การต่อต้านใด ๆ ถือว่าเป็นกบฏและจะต้องถูกคุกคามและปราบปรามในทันที แต่ถึงอย่างไร ชนชั้นนำเหล่านี้ก็ไม่เคยคิดถึงการจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้ ซึ่งคงเป็นเพราะโลกทัศน์แบบคริสต์สมัยใหม่ช่วงต้นที่ไม่มีแนวคิต่อต้านท้าทายพระมหากษัตริย์ที่สืบราชสันตติวงศ์อย่างชอบธรรมได้
ต่อไปคือ ประการที่แปด เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนานโยบายต่างประเทศของพระเจ้าชาร์ลที่สิบเอ็ด
ต่อเนื่องจากส่วนที่ว่าด้วยการต่างประเทศของสวีเดนระหว่างปี ค.ศ.1679-1686 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงขาดความถนัดในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศ มติของสภาบริหารในปี ค.ศ.1684 แสดงให้เห็นถึงกระบวนการตัดสินใจด้านการต่างประเทศได้เป็นอย่างดี นั่นคือ กระทรวง “Chancery” เป็นผู้จัดทำเอกสารและข้อเสนอเชิงนโยบาย พระมหากษัตริย์ทรงรับเอกสารดังกล่าวมาให้สภาบริหารพิจารณาถกเถียงก่อนที่จะมีพระบรมราชวินิจฉัยสุดท้าย
เมื่อในทางปฏิบัติ Bengt Oxenstierna เป็นผู้จัดเตรียมเอกสารในกระทรวง “Chancery” เป็นหลัก ฉะนั้น เขาจึงเป็นบุคคลหลักในการกำหนดและผลักดันนโยบายการต่างประเทศนั่นเอง ซึ่งประสบผลสำเร็จได้ด้วยดี
ทิศทางและหลักการนโยบายต่างประเทศของสวีเดนที่ระบุไว้ในพระบรมราชโองการปี ค.ศ.1684 อยู่บนฐานของ “Truce of Ratisbon” ที่ยืนยันว่าสวีเดนมุ่งรักษาสันติภาพโดยทั่วไป ไม่มีปัญหาขัดแย้งกับฝรั่งเศสและพร้อมจะฟื้นคืนความสัมพันธ์เป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงไม่เชื่อว่าสนธิสัญญาดังกล่าวจะมั่นคงยืนยาว และพระองค์พร้อมที่จะเข้าสนับสนุนพันธมิตรฝ่ายต่อต้านฝรั่งเศสเสมอ พร้อมกันนี้ สวีเดนยังมุ่งสนับสนุน ดยุคแห่งโฮลสไตน์ (Duke of Holstein) จากการรุกของเดนมาร์ก โดยต้องการให้ปัญหาดังกล่าวค้างคาและบั่นทอนเดนมาร์กต่อไป
สถานการณ์ระหว่างประเทศในช่วงปี ค.ศ.1685-1686 เอื้อประโยชน์ให้กับสวีเดน การขยายอำนาจของฝรั่งเศสก่อให้เกิดการ
รวมตัวพันธมิตร “League of Augsburg” ซึ่งสวีเดนเข้าร่วมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1686 เนเธอร์แลนด์กระชับความสัมพันธ์กับสวีเดนและยินยอมสนับสนุนท่าทีของสวีเดนต่อกรณี Holstein-Gottorp และเดนมาร์กพลาดท่าจากการเข้าปิดล้อมเมือง Hamburg อันนำมาซึ่งการต่อต้านจากกลุ่มเจ้าปกครองในเยอรมัน สวีเดนพยายามฉวยโอกาสดังกล่าวผูกประเด็นปัญหา Hamburg เข้ากับ Holstein-Gottorp แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจจัดประชุม ณ เมือง Altona เพื่อแก้ไขข้อพิพาท Holstein-Gottorp แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาค้างคาต่อไป
เมื่อถึงปี ค.ศ.1688 ประกอบกับแรงตึงเครียดในยุโรปที่จะเกิดสงครามใหญ่ขึ้น จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และเนเธอร์แลนด์จึงพยายามรักษาการสนับสนุนของสวีเดนโดยการเปิดทางให้สวีเดนสามารถใช้กำลังในกรณีปัญหาดังกล่าวได้ สวีเดนจึงฉวยโอกาสดังกล่าวเตรียมการทางทหาร และยืนยันการสนับสนุนจาก Lüneburg เพื่อเตรียมบุกโจมตีเดนมาร์ก
การข่มขู่ด้วยการระดมพลรวมถึงการนำเรือรบออกทะเลในปี ค.ศ.1689 ส่งผลให้เดนมาร์กภายใต้คำแนะนำของฝรั่งเศสยอมคืนที่ดินทั้งหมดให้กับดยุคแห่งโฮลสไตน์ ซึ่งได้รับการยืนยันจากที่ประชุม Altona และจากเนเธอร์แลนด์-อังกฤษโดย พระเจ้าวิลเลียมแหงโอเรนจ์ (King William of Orange)
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไชยันต์ ไชยพร
ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการปรับปรุงกลไกและระบบราชการที่บริหารปกครองราชอาณาจักรสวีเดน ในตอนนี้จะได้กล่าวถึงการบริหารจัดการดินแดนในการปกครองของสวีเดนภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน
ดินแดนในส่วนที่เรียกว่า Estland และ Livland เป็นดินแดนอาณานิคมที่มีอภิชนท้องถิ่นเป็นเยอรมันที่กดขี่ประชากรท้องถิ่นที่เป็น ชาวเอสโตเนียนและชาวเลตติช (Estonian และ Lettish) ดินแดนทั้งสองมีที่ประชุมฐานันดร มีที่ประชุมเจ้าที่ดินที่เรียกว่า Landtag และตัวแทนดินแดนที่ขึ้นกับพระมหากษัตริย์ ที่เรียกว่า Landrat
แม้ว่าดินแดนทั้งสองจะเป็นที่กล่าวขานว่ามีระบบศักดินาที่กดขี่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แต่นโยบายของสวีเดนในดินแดนทั้งสองกลับส่งเสริมการพัฒนาองค์กรปกครองท้องถิ่นโดยชาวสวีเดนร่วมกับชาวเยอรมันได้
พื้นที่ Livland มีความน่าสนใจตรงที่เกิดการต่อสู้และท้าทายอำนาจในการใช้นโยบายการเวนคืนในพื้นที่อย่างชัดเจน ประเด็นปัญหามีเชื้อมูลมาจากเหตุที่ว่า นโยบายการเวนคืนไม่ได้ระบุมาตรการที่ชัดเจนที่ใช้ในดินแดนโพ้นทะเล และมีที่ดินใน Livland ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่ชาวสวีเดนภายหลังปี ค.ศ.1680 คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 80
การผลักดันนโยบายดังกล่าวผ่านผู้ว่าการที่ดูแลพื้นที่ ทำให้ผู้ว่าการถูกต่อต้านอย่างเปิดเผยและต่อเนื่องในพื้นที่ การต่อต้านที่เด่นชัดที่สุดคือการยื่นเอกสารประท้วงต่อพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1692 เป็นการท้าทายพระราชอำนาจและพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์จนถึงกับมีการกล่าวถึงการจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับสวีเดน
ผลคือ การดำเนินการปราบปรามและการจัดตั้งคณะตุลาการไต่สวนกลุ่มแกนนำที่ทำการต่อต้าน ณ กรุงสต๊อกโฮล์มในปี ค.ศ.1694 คำพิพากษาโดยสภาบริหารได้ตัดสินจำคุกเหล่าแกนนำและให้ประหารชีวิตหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ J. R. von Patkul แต่เขาหลบหนีออกไปจากกรุงสต๊อกโฮล์มได้ทัน
กระบวนการไต่สวนที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการยืนยันอำนาจทางการเมืองและเป็นการสื่อสาร-ข่มขู่ประชาชนท้องถิ่นไม่ให้ท้าทายพระราชอำนาจของกษัตริย์สวีเดน ถัดจากนั้น Livland ถูกลดทอนอำนาจทางการเมืองลงด้วยการปฏิรูปองค์กรทางการเมือง มีการยุบ Landrat และให้จัดตั้งคณะกรรมการแบบคณะกรรมาธิการลับ ทั้งยังลดทอนอำนาจของที่ประชุมฐานันดรให้เหลือแต่เพียงการให้การยินยอมต่อการเรียกเก็บภาษีพิเศษและการร้องทุกข์เท่านั้น และในส่วนนโยบายการเวนคืนใน Livland นั้น ก็นำมาซึ่งรายได้จำนวนมาก (5,500,000 dsm)
ในภาพรวม ในกรณี Livland และ Estland พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดไม่ได้ทรงมีนโยบายแบบจักรวรรดินิยมใด ๆ พระองค์มีพระราชประสงค์แต่เพียงการสร้างสมดุลในการคลังในแต่ละดินแดนควบคู่ไปกับการพัฒนากองกำลังป้องกันในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เราสามารถเห็นถึงความพยายามสถาปนาอิทธิพลของสวีเดนในดินแดนดังกล่าวได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งองค์กรเกี่ยวกับการปกครองอย่างศาลสูงหรือศาลเขต การใช้กฎหมายสวีเดน และการตั้งมหาวิทยาลัยในเมือง Dorpat เพื่อปลูกฝังค่านิยมแบบสวีเดน
สำหรับเจ้าหน้าที่การปกครองใน Livland พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงมุ่งทรงส่งเสริมการศึกษาและการศาสนาอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะพระราชประสงค์ที่ให้มีการแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาเอสโตเนียนและภาษาเลตติช กล่าวได้ว่าในรัชสมัยของพระองค์ สวีเดนมีทัศนะต่อประชากรท้องถิ่นดังกล่าวที่ให้ชาวคริสต์มีสิทธิในระดับหนึ่ง แต่ด้วยกรอบกฎหมายและอิทธิพลของชนชั้นนำเยอรมันในดินแดนดังกล่าวนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้พระองค์มอบสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนท้องถิ่นไปได้มากกว่านี้
โดยสรุปแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Livland และ Estland โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายการเวนคืน โดยปราศจากฐานทางกฎหมายแสดงถึงการใช้พระราชอำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดอย่างชัดเจน พระองค์ทรงสามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ที่เป็นไปเพื่อ “ประโยชน์สาธารณะ” แม้จะขัดต่อกฎหมายในรัชสมัยก่อนหน้าหรือขัดกับคำสั่งก่อนหน้าในรัชสมัยของพระองค์ก็ตาม การต่อต้านใด ๆ ถือว่าเป็นกบฏและจะต้องถูกคุกคามและปราบปรามในทันที แต่ถึงอย่างไร ชนชั้นนำเหล่านี้ก็ไม่เคยคิดถึงการจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้ ซึ่งคงเป็นเพราะโลกทัศน์แบบคริสต์สมัยใหม่ช่วงต้นที่ไม่มีแนวคิต่อต้านท้าทายพระมหากษัตริย์ที่สืบราชสันตติวงศ์อย่างชอบธรรมได้
ต่อไปคือ ประการที่แปด เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนานโยบายต่างประเทศของพระเจ้าชาร์ลที่สิบเอ็ด
ต่อเนื่องจากส่วนที่ว่าด้วยการต่างประเทศของสวีเดนระหว่างปี ค.ศ.1679-1686 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงขาดความถนัดในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศ มติของสภาบริหารในปี ค.ศ.1684 แสดงให้เห็นถึงกระบวนการตัดสินใจด้านการต่างประเทศได้เป็นอย่างดี นั่นคือ กระทรวง “Chancery” เป็นผู้จัดทำเอกสารและข้อเสนอเชิงนโยบาย พระมหากษัตริย์ทรงรับเอกสารดังกล่าวมาให้สภาบริหารพิจารณาถกเถียงก่อนที่จะมีพระบรมราชวินิจฉัยสุดท้าย
เมื่อในทางปฏิบัติ Bengt Oxenstierna เป็นผู้จัดเตรียมเอกสารในกระทรวง “Chancery” เป็นหลัก ฉะนั้น เขาจึงเป็นบุคคลหลักในการกำหนดและผลักดันนโยบายการต่างประเทศนั่นเอง ซึ่งประสบผลสำเร็จได้ด้วยดี
ทิศทางและหลักการนโยบายต่างประเทศของสวีเดนที่ระบุไว้ในพระบรมราชโองการปี ค.ศ.1684 อยู่บนฐานของ “Truce of Ratisbon” ที่ยืนยันว่าสวีเดนมุ่งรักษาสันติภาพโดยทั่วไป ไม่มีปัญหาขัดแย้งกับฝรั่งเศสและพร้อมจะฟื้นคืนความสัมพันธ์เป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงไม่เชื่อว่าสนธิสัญญาดังกล่าวจะมั่นคงยืนยาว และพระองค์พร้อมที่จะเข้าสนับสนุนพันธมิตรฝ่ายต่อต้านฝรั่งเศสเสมอ พร้อมกันนี้ สวีเดนยังมุ่งสนับสนุน ดยุคแห่งโฮลสไตน์ (Duke of Holstein) จากการรุกของเดนมาร์ก โดยต้องการให้ปัญหาดังกล่าวค้างคาและบั่นทอนเดนมาร์กต่อไป
สถานการณ์ระหว่างประเทศในช่วงปี ค.ศ.1685-1686 เอื้อประโยชน์ให้กับสวีเดน การขยายอำนาจของฝรั่งเศสก่อให้เกิดการ
รวมตัวพันธมิตร “League of Augsburg” ซึ่งสวีเดนเข้าร่วมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1686 เนเธอร์แลนด์กระชับความสัมพันธ์กับสวีเดนและยินยอมสนับสนุนท่าทีของสวีเดนต่อกรณี Holstein-Gottorp และเดนมาร์กพลาดท่าจากการเข้าปิดล้อมเมือง Hamburg อันนำมาซึ่งการต่อต้านจากกลุ่มเจ้าปกครองในเยอรมัน สวีเดนพยายามฉวยโอกาสดังกล่าวผูกประเด็นปัญหา Hamburg เข้ากับ Holstein-Gottorp แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจจัดประชุม ณ เมือง Altona เพื่อแก้ไขข้อพิพาท Holstein-Gottorp แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาค้างคาต่อไป
เมื่อถึงปี ค.ศ.1688 ประกอบกับแรงตึงเครียดในยุโรปที่จะเกิดสงครามใหญ่ขึ้น จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และเนเธอร์แลนด์จึงพยายามรักษาการสนับสนุนของสวีเดนโดยการเปิดทางให้สวีเดนสามารถใช้กำลังในกรณีปัญหาดังกล่าวได้ สวีเดนจึงฉวยโอกาสดังกล่าวเตรียมการทางทหาร และยืนยันการสนับสนุนจาก Lüneburg เพื่อเตรียมบุกโจมตีเดนมาร์ก
การข่มขู่ด้วยการระดมพลรวมถึงการนำเรือรบออกทะเลในปี ค.ศ.1689 ส่งผลให้เดนมาร์กภายใต้คำแนะนำของฝรั่งเศสยอมคืนที่ดินทั้งหมดให้กับดยุคแห่งโฮลสไตน์ ซึ่งได้รับการยืนยันจากที่ประชุม Altona และจากเนเธอร์แลนด์-อังกฤษโดย พระเจ้าวิลเลียมแหงโอเรนจ์ (King William of Orange)
(โปรดติดตามตอนต่อไป)