ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่เพียงความสูญเสีย 31 ชีวิตอันประเมินค่ามิได้ทั้งกำลังพลและพลเรือนจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากิน ก็หนักหน่วงไม่น้อย
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่จะมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน โดยรัฐบาลประเมินเบื้องต้นนับตั้งแต่เริ่มอพยพประชาชนในพื้นที่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ต่อเนื่องกันมานานกว่าสัปดาห์ โดยไม่นับรวมผลกระทบทางการค้าคาดว่า น่าจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับมาตรการเยียวยา รัฐบาลประเมินจากตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบ มีการอพยพประมาณ 160,000 คน โดยกำลังดูว่าจะเยียวยาอย่างไร ในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน รายได้แต่ละวันจะหายไป รวมทั้งทรัพย์สินที่อยู่อาศัยที่บางคนได้รับผลกระทบจะช่วยเหลืออย่างไร
ส่วนมาตรการทางการเงิน ผู้ต้องยื่นภาษีในวงรอบที่จะถึงนี้ รัฐบาลจะยืดเวลาให้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินภาครัฐ ได้ยื่นข้อเสนอยืดหนี้ และคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น
การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบครั้งนี้ หากรัฐบาลคำนวณบนพื้นฐานตัวเลขผู้อพยพที่ลงทะเบียนตามศูนย์อพยพต่าง ๆ ที่ทางหน่วยงานรัฐจัดไว้เป็นหลัก ถือว่าไม่ครอบคลุมผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนที่บางส่วนอพยพไปอาศัยอยู่บ้านญาติพี่น้อง และประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไม่ยอมออกนอกพื้นที่ โดยรวมกลุ่มอาศัยตามหลุมหลบภัยที่มีอยู่ตามหมู่บ้าน เพราะห่วงทรัพย์สินและสัตว์เลี้ยง
นอกจากนั้น การคิดคำนวณการขาดรายได้ของประชาชนที่หนีภัย ไม่ได้ทำงาน ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะจ่ายชดเชยเยียวยาเช่นใด โดยต้องไม่ลืมว่าความสูญเสียรายได้ที่ประชาชนทำมาหาได้ในยามปกตินั้นมีมากมาย และมีความแตกต่างกัน คนที่ทำมาค้าขายในตัวอำเภอ ซึ่งต้องอพยพออกจากพื้นที่ ปิดร้านรวงนานกว่าสัปดาห์ สูญเสียรายได้ในแต่ละวันไม่ใช่น้อย
ขณะเดียวกัน เกษตรกรเจ้าของสวนทุเรียน เจ้าของสวนยางพารา ผักผลไม้อื่น ๆ ที่เก็บผลผลิตไม่ได้ หรือนำผลผลิตที่เก็บแล้วออกมาจำหน่ายไม่ได้ เน่าเสีย ล้วนแต่เป็นความเสียหายที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะได้รับเยียวยาจากทางรัฐบาลเช่นใด โดยเฉพาะในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พื้นที่เพาะปลูก “ทุเรียนภูเขาไฟ” ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเก็บผลผลิตออกมาจำหน่าย
นางสาววันเพ็ญ สีดำ เจ้าของ “สวนทุเรียนแสวงสุข” ในพื้นที่ชายแดน หมู่บ้านหนองอุดม ตำบลรุง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่า เพิ่งตัดเก็บทุเรียนประมาณ 300 ลูก ออกมาจากสวนเพื่อมาจำหน่าย แต่การยิงปืนใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีทำให้ต้องอพยพออกจากพื้นที่โดยด่วน มาอาศัยอยู่บ้านญาติพี่น้อง และหลังจากนั้นทางการสั่งห้ามเข้าพื้นที่นานกว่าสัปดาห์แม้จะมีคำสั่งหยุดยิงแล้วก็ตาม ทำให้ทุเรียนที่ตัดมารอจำหน่ายเน่าเสีย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายหลายหมื่นบาท เป็นการเจอสองเด้งคือ ปีนี้ราคาทุเรียนตกต่ำแล้วยังมาเจอเหตุปะทะไทย-กัมพูชาอีก
เช่นเดียวกันกับ นางแพงศรี ชาวบ้านหนองอุดม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เจ้าของสวนและผู้กรีดยาง บอกว่า วันที่เกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นวันครบรอบเก็บยางพาราเพื่อนำไปขายพอดี แต่เมื่อมีการระดมยิงลูกปืนใหญ่จากทั้งสองฝั่งจึงต้องทิ้งถังเก็บยางก้อนถ้วย หนีตายออกมาจากสวนยาง และยังทำให้ว่างเว้นจากการกรีดยางมาแล้ว 7 วัน เกิดการสูญเสียรายได้ ขณะที่มีภาระรายจ่ายส่งลูกเรียนหนังสือ
สำหรับ “ไร่วันยังขำ” สวนปลูกกระบองเพชรและทุเรียน แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่า 1-2 พันคน และในวันธรรมดา ไม่ต่ำกว่า 500 คน ที่ต้องปิดชั่วคราวนับตั้งแต่วันเกิดเหตุสู้รบ 24 กรกฎาคม 2568 จนกระทั่งถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 รวม 8 วันแล้ว ก็ยังไม่มีกำหนดเปิดบริการ เนื่องจากยังต้องรอให้สถานการณ์ชายแดนสงบ ทำให้ขาดรายได้ในแต่ละวันนับแสนบาท ขณะที่ภาระดอกเบี้ยจากการกู้ยืมธนาคารพาณิชย์เพื่อมาลงทุนเดินทุกวันไม่มีหยุด รวมถึงค่าจ้างแรงงานประจำอีกด้วย ตามคำบอกเล่าของ “แม่ภา” นางสุภาวดี นิยมวงศ์ เจ้าของไร่วันขำ
การประเมินผลกระทบโดยภาพรวมและมาตรการจ่ายเยียวยาของรัฐบาล จึงอาจไม่สอดคล้องกับการทำมาหาได้ของประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ ไม่นับผลกระทบจากการดำรงชีวิตที่นับจากนี้คงอยู่กันอย่างขวัญผวา เพราะการเจรจาหาข้อยุติจากข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ยังหาข้อตกลงอันใดมิได้ ฝ่ายไทย ยืนยันขอเจรจาทวิภาคี แต่ฝั่งกัมพูชา อยากเอาเรื่องขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ยิ่งยืดเยื้อ เศรษฐกิจยิ่งเสียหายหนัก
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจหากการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ยิ่งยืดเยื้อยาวนานยิ่งเสียหายหนัก ไม่เพียงกระทบการส่งออกชายแดนผ่านด่านต่าง ๆ ที่เป็นช่องทางการค้าหลักระหว่างไทย-กัมพูชา เท่านั้น แต่ธุรกิจจังหวัดชายแดนของไทย จะได้รับผลกระทบและเสียหายหนักมากกว่าการส่งออกชายแดน ขณะที่ในภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะได้รับผลกระทบมากกว่ากัมพูชาหลายเท่า
จากการประเมินโดยจำลองฉากทัศน์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกัมพูชาและไทย ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน พบว่า หากการปะทะยืดเยื้อ 1 เดือน, 2 เดือน และ 3 เดือน ฝั่งไทย จะกระทบต่อการส่งออกชายแดน มูลค่า 20,267 ล้านบาท, 41,135 ล้านบาท และ 61,701 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนธุรกิจจังหวัดชายแดน ได้รับผลกระทบ 24,657 ล้านบาท, 49,315 ล้านบาท และ 73,971 ล้านบาท ตามลำดับ
ตัวเลขการจ้างงานคนไทยจังหวัดชายแดน กระทบ 7,980 คน, 15,960 คน และ 23,940 คน ตามลำดับ
สรุป ประเมินผลกระทบรวมของฝั่งไทย เสียหาย 45,225 ล้านบาท, 90,450 ล้านบาท และหากยืดเยื้อถึง 3 เดือน จะกระทบหนักสุดประมาณ 135,672 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี 0.25%, 0.50% และ 0.75% ตามลำดับ
สำหรับฝั่งกัมพูชา หากระยะเวลาการปะทะยืดเยื้อ 1 เดือน, 2 เดือน และ 3 เดือน จะกระทบต่อรายได้รวมลดลง 12,337 ล้านบาท, 30,674 ล้านบาท และ 46,013 ล้านบาท (จากการว่างงาน, รายได้ธุรกิจท่องเที่ยว และเงินลงทุนที่ลดลง) ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี 1.1%, 2.2% และ 3.3% ตามลำดับ
จากคาดการณ์ผลกระทบข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทางฝั่งไทย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจของประเทศและขนาดเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนที่ใหญ่กว่ากัมพูชาหลายเท่าตัว รวมทั้งไทยยังได้เปรียบดุลการค้ากัมพูชา จะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบและมีความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่ากัมพูชา
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ได้ย้ำถึงฉากทัศน์ผลกระทบโดยรวมต่อตัวเลขเศรษฐกิจของไทยและกัมพูชารวมกัน หากการปะทะยืดเยื้อ 1 เดือน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเสียหายรวมกัน ประมาณ 60,562 ล้านบาท (ผลกระทบการค้าชายแดน, ธุรกิจจังหวัดชายแดน การจ้างงานคนไทย, ชาวกัมพูชาว่างงาน กระทบรายได้แรงงาน, กระทบรายได้ธุรกิจท่องเที่ยว และการลงทุน) หากนาน 2 เดือน จะเสียหายรวมกันราว 121,124 ล้านบาท และหากยืดเยื้อนาน 3 เดือน จะตกประมาณ 181,685 ล้านบาท แต่หากทั้งสองฝ่ายหยุดยิงได้จริง และการเปิดด่านชายแดนกลับมาเป็นปกติ มูลค่าความเสียหายดังกล่าวจะลดลง
ทางด้าน รศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า ยิ่งความขัดแย้งยืดเยื้อยาวนาน ความเสียหายจะยิ่งยากต่อการเยียวยามากขึ้น สร้างบาดแผลและปัญหาติดตามมามากมาย หากสงครามชายแดนยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบเศรษฐกิจและการลงทุนไทยรุนแรง เฉพาะหน้าการค้าชายแดนหยุดสิ้นเชิง เสียหายหนัก เมื่อประเมินจากปี 2567 ที่ผ่านมา การค้าชายแดนระหว่างสองประเทศมีมูลค่าสูงถึง 174,530 ล้านบาท
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินไปในทิศทางเดียวกันว่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่าน 5 ด่านหลักที่ปิดลง ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว, ด่านคลองใหญ่ จังหวัดตราด, ด่านจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี และด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ และด่านช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ คาดว่าสร้างความเสียหาย 1.1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน และหากยืดเยื้อถึงสิ้นปี 2568 อาจสูญเสียถึง 5.5 หมื่นล้านบาท
ศูนย์พยากรณ์ฯ ประเมิน 3 สถานการณ์ กล่าวคือ หากคลี่คลายใน 1 เดือน สูญเสีย 1.16 หมื่นล้านบาท และหากยืดเยื้อ 3 เดือน สูญเสีย 3.4 หมื่นล้านบาท ส่วนกรณีเลวร้ายสุด คือ ปิดด่านทั้งปี จะสูญเสีย 5.5 หมื่นล้านบาท
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า 6 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกชายแดนไทยไปกัมพูชา มีมูลค่า 5,123 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.4% รองจากมาเลเซียที่ 6,434 ล้านดอลลาร์
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2568 (มกราคม – เมษายน) มีมูลค่ารวม 64,612 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 12.31 แบ่งเป็น มูลค่าการส่งออก 50,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.73 และมูลค่าการนำเข้า 14,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.38 โดยไทยยังคงเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 35,838 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเกินดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 5.39
ในปี 2567 กัมพูชาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 17 ของไทยจากประเทศทั้งหมดทั่วโลก และในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4 การค้าระหว่างไทย-กัมพูชา ในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 366,729 ล้านบาท และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า มีมูลค่ากว่า 280,000 ล้านบาท โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการค้าชายแดนของทั้งสองประเทศ
ส่วนการค้าชายแดน กัมพูชาเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับที่ 4 ของไทย รองจากมาเลเซีย สปป.ลาว และเมียนมา การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ในปี 2567 มีมูลค่ารวม 174,531 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 7.91 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 141,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.47 และมูลค่าการนำเข้า 32,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.84 โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 109,163 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเกินดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6.79
ทั้งนี้ ด่านศุลกากรชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีมูลค่าการค้ามากที่สุดคือ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตามด้วยด่านคลองใหญ่ จังหวัดตราด ด่านจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี และด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ตามลำดับ โดยจะพบว่ามูลค่าการค้ากว่าร้อยละ 60 ของชายแดนไทย-กัมพูชา มาจากด่านอรัญประเทศ
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญที่ส่งออกจากชายแดนไทย ได้แก่ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ น้ำอัดลม, รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ, รถยนต์และอุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า, ยานพาหนะอื่น ๆ และส่วนประกอบ, ผ้าผืนและด้าย, เครื่องสำอาง, เครื่องหอมและสบู่, สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ
สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ ผักและของปรุงแต่งจากผัก, เศษอะลูมิเนียม, ลวดและสายเคเบิล, ที่หุ้มฉนวนทองแดง, อุปกรณ์โครงรถและตัวถัง, ผลิตภัณฑ์โลหะทำด้วยเหล็ก, เสื้อผ้าสำเร็จรูป, ผลไม้และของปรุงแต่งจากผลไม้, มอเตอร์ไฟฟ้า และชุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและส่วนประกอบ
ทางออกขัดแย้งมืดมน ย้ายฐานหนีความเสี่ยง
ถึงแม้การประเมินจะทำให้เห็นภาพว่าความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจหนักหน่วง แต่การแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งยังคงริบหรี่
รศ.ดร.อัทธ์ คาดการณ์ว่า การหยุดยิงแล้วกลับมายิงใหม่ มีโอกาสความน่าจะเป็นไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นดังคาด และยังมีโอกาสปะทะกันได้อีก ดังตัวอย่างในปี 2544 ที่มีข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร ที่เจรจาหยุดยิงแล้วกลับมายิงกันใหม่ รวมถึงกรณี อินเดีย-ปากีสถาน และอิสราเอล-ฮามาส ก็มีประกาศหยุดยิงแล้ว แต่ก็มายิงกันใหม่ เนื่องจากประเด็นปัญหาของทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่
ส่วนการเจรจาแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนหลังการหยุดยิง มีโอกาสสำเร็จและล้มเหลว 50:50 เพราะสองฝ่ายเห็นไม่ตรงกัน เช่น ในการปักปันเขตแดน ไทยใช้อัตราส่วนของแผนที่ 1 ต่อ 50,000 กัมพูชา ใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 และกัมพูชาทำหนังสือเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นผู้พิจารณาตัดสิน ส่วนฝ่ายไทยมุ่งใช้กลไกทวิภาคีเจรจาแก้ไขปัญหา
นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา มองว่า ประเด็นสำคัญแรกสุดคือเรื่องดินแดน ต้องดำเนินการให้มีความชัดเจนและแล้วเสร็จก่อน โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน มีกลไกในการเจรจาให้ยอมรับเงื่อนไขเดียวกัน จากนั้นการเปิดด่านการค้าจะตามมา
ด้าน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ชี้ว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้มูลค่าเศรษฐกิจชายแดนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ ส่งผลกระทบระยะยาวทั้งด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและประชาชน ซึ่งอาจนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตและธุรกิจออกจากพื้นที่ชายแดน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ส่วนผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยนั้น นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) คาดว่า หลังการหยุดยิงหากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในหนึ่งเดือน จะส่งผลกระทบต่อไฮซีซั่นเพียงเล็กน้อย แต่หากใช้เวลากลับสู่ภาวะปกติภายใน 3 เดือน จะกระทบไฮซั่นปลายปีนี้ และกระทบตลาดภาพใหญ่ นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจต่ำกว่า 33-34 ล้านคน และหากใช้เวลากลับสู่ภาวะปกตินานถึง 6 เดือน จะกระทบการท่องเที่ยวรุนแรงยาวถึงเมษายนปี 2569
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตผู้คนประชาชนทั้งสองประเทศมากมายมหาศาล จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องเร่งหาทางยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด