ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้การหยุดยิงตลอดแนวชายแดน “ไทย-กัมพูชา” จะยุติลงในสายตาของชาวโลกหลังการเจรจาระหว่าง “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย กับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้แรงบีบสำคัญของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามา “สทร.” กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ทว่า ในความเป็นจริง กัมพูชายังคง “ลอบกัด” ไทยไม่หยุด ทั้งการใช้ “อาวุธสงคราม” ยิงเข้ามาตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง และเปิดเกม “การทูต” ในทุกเวทีเพื่อกล่าวหาไทยว่าเป็นผู้เปิดฉากก่อสงครามอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นการที่ “ประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชา” บิดเบือนข้อเท็จจริงและกล่าวหาไทยในระหว่างการประชุมระดับสูงของสหภาพรัฐสภา ณ นครเจนีวา หรือการที่คณะผู้แทนทหารจากประเทศมหาอำนาจและประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงเจ้าหน้าที่จาก 13 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลี ออสเตรเลีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ลาว เวียดนาม และเมียนมาเข้าตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่ช่องอานม้า ภายหลังการหยุดยิง
ขณะที่รัฐบาลไทยที่นอกจาก “ก้าวไม่ทันเกม” แล้ว ยัง “ก้าวช้า” กว่ารัฐบาลกัมพูชาให้เห็นเสมอ จนหลายคนอยากทำหน้าที่ “โฆษกรัฐบาล” แทนกันเลยทีเดียว
ดังนั้น แม้ไทยสามารถยึดพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ได้ถึง 11 จุดด้วยการแลกมาด้วยชีวิตพลเรือนและทหารกล้า แต่ในสมรภูมิ “การทูต” และ “ประชาคมโลก” รัฐบาลไทยที่ขณะนี้มี “อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
จนเกิดคำถามขึ้นว่า “รัฐบาลมีไว้ทำไม รัฐมนตรีมีไว้ทำไมและนักการเมืองมีไว้ทำไม” ด้วยเกิดความรู้สึกว่า “งทร.” ไปเสียทุกเรื่อง
ประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไปก็คือ ประเทศไทยจะชนะ “ศึกพระยาละแวก ภาค 2” ได้อย่างไร ในสถานการณ์ที่ “เหมือนจะชนะแต่ทำท่าจะเสียเปรียบในหลายประดู” โดยเฉพาะในห้วงยามที่พันธมิตรอย่าง “สหรัฐอเมริกา” โน้มเอียงไปทางฝ่ายกัมพูชามากกว่าฝ่ายไทย หรือแม้แต่ “จีน” ก็มีคำถามจากท่าทีอันแปร่งป่าด้วยเช่นกัน
กล่าวสำหรับ “สหรัฐอเมริกา” การที่ทรัมป์ตัดสินใจเข้ามา “สทร.” ก็เพื่อต้านทานอิทธิพลของจีนในกัมพูชา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่ากัมพูชาเป็นรัฐบริวารของจีน โดยครั้งนี้ ทรัมป์งัดเอาเรื่องการจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ไทยและกัมพูชาเจอเท่ากันคือ 36% มาเป็นเงื่อนไขสำคัญ หากไม่หยุดยิง สหรัฐฯจะไม่คุยเรื่องภาษีกับทั้งสองชาติ
แน่นอน สหรัฐฯ มีผลประโยชน์สำคัญที่จะต้องรักษาไว้ให้ได้หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางทหารในฐานะที่ไทยเป็นพันธมิตรหลักนอกนาโต มีความร่วมมือทางทหารอย่างใกล้ชิด เช่น การฝึกร่วมคอบร้าโกลด์ ซึ่งหากปล่อยให้ไทยเข้าสู่ความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจกระทบความสามารถของไทยในการเป็นฐานยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ในภูมิภาค
ดังจะเห็นได้จากการที่สหรัฐฯ ขอตั้ง “ฐานทัพเรือที่จังหวัดพังงา” เพื่อเอาไว้รับมือกับ “ฐานทัพเรือจีนที่เมืองเรียม” ซึ่งถูกเปิดประเด็นออกมาก่อนหน้านี้ในช่วงที่ไทยกำลังเจรจาเพื่อขอลดอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยสุดโหดที่ 36%
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานของสหรัฐฯเคยมีบทบาทสูงในการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในอ่าวไทย ถ้าหากความขัดแย้งทางชายแดนทางบกยืดเยื้อบานปลายจนถึงขั้นที่ลุกลามไปสู่การปะทะรอบด้าน จะกระทบกระเทือนธุรกิจของบริษัทอเมริกัน และที่สำคัญจะทำให้แผนการที่จะร่วมกับกัมพูชาในการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยตามบันทึกความเข้าใจปี 2001 (MOU 2544) พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สอดรับกับท่าทีของ “ฌอน โอนีลล์' (Sean O'Neill)” ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า การเข้ามา “สทร.ของสหรัฐฯ นั้น มีเป้าประสงค์แอบแฝงร้อยเปอร์เซ็นต์
ว่าที่ท่านทูตฯ ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “การปะทะกันบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ได้ช่วยอะไรประชาชนชาวไทยหรือพันธมิตรของไทยกับสหรัฐฯ เลย ผมคิดว่าสิ่งแรกที่ผมจะทำคือการชี้ให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสนธิสัญญาเพียงไม่กี่ประเทศในเอเชีย เห็นว่าสงครามเช่นนี้ ความขัดแย้งเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยประชาชนของพวกเขาเลย พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อเสริมสร้างพันธมิตรของเรา พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาที่ประเทศของเราทั้งสองกำลังเผชิญอยู่ พวกเขาเป็นเพียงการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น”
หนักไปกว่านั้นคือเขายังฟาดไปยังท่าทีของไทยที่มีต่อรัฐบาลทหารเมียนมาร์ด้วยว่า “ประเทศไทยไม่ควรให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาลทหารในเมียนมาประเทศเพื่อนบ้าน จุดยืนของกระทรวงการต่างประเทศคือไม่สนับสนุนให้เมียนมาจัดการเลือกตั้งหลอกลวง ซึ่งกองทัพกำลังวางแผนที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ หากได้รับการยืนยันตำแหน่ง ผมขอสนับสนุนให้ประเทศไทยไม่รับรองการเลือกตั้งที่ไม่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 50% ของประเทศ ในขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านส่วนใหญ่ถูกจำคุก”
ขณะที่หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ก็พบว่า สหรัฐฯ และกัมพูชาในยุค “ฮุน มาเนต” เป็นนายกรัฐมนตรี เพิ่งจะมีการลงนามในการฟื้นความสัมพันธ์ทางทหาร ฟื้นการฝึกร่วมที่มีชื่อว่า “Angkor Sentenel” หลังถูกระงับไปตามคำสั่งของ “ฮุนเซน” เมื่อปี 2560
ที่ผิดสังเกตก็คือ การลงนามดังกล่าวเพิ่งจะเกิดขึ้นก่อนหน้าที่กัมพูชาตัดสินใจเปิดฉากสงครามกับไทย โดยมีพลตรี จอร์จ โรเวลล์ นาวิกโยธินสหรัฐฯ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และนโยบาย (J5) ของ USINDOPACOM จรดปากการเซ็นร่วมกับ พลโท ซวน สัมนัง กัมพูชา ประธานกลุ่มประสานงานความร่วมมือทางทหาร ณ สำนักงานใหญ่ USINDOPACOM ณ ค่ายทหาร HM Smith เมืองโฮโนลูลู
หรือนี่คือความมั่นใจที่ทำให้กัมพูชาเดินหน้าโจมตีประเทศไทย
นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้ พลเรือเอก ซามูเอล เจ. ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการกองทัพเรืออเมริกา (USINDOPACOM) ก็เดินทางเยือนกัมพูชาในเดือนธันวาคม 2024 เพื่อต้อนรับการเยือนของเรืออเมริกาครั้งแรกในรอบ 8 ปี ขณะที่พลเรือตรีเมย์ ดีนา ผู้บัญชาการฐานทัพเรือเรียม และนายมัง ซิเนธ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระสีหนุ เดินทางไปเยี่ยมชมเรือยูเอสเอส ซาวันนาห์ ณ ท่าเรือปกครองตนเองสีหนุวิลล์ กัมพูชา
ล่าสุด ลอยด์ ออสติน (Lloyd Austin) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้เดินทางไปเยือนกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ ออสติน เยือนกัมพูชาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2565 เมื่อคราวไปร่วมประชุมกับรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
ในครั้งนี้ ออสติน ใช้เวลาแค่วันเดียวเพื่อพบผู้นำกัมพูชาแบบเรียงตัว ทั้ง นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต, รัฐมนตรีกลาโหม เตีย เซ็ยฮา, และประธานวุฒิสภา ฮุน เซน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศ ที่ดูจะห่างเหินกันนานนับสิบปีนับแต่กัมพูชาโน้มเอียงเข้าหาจีน
ทั้งนี้ ออสตินเป็นรุ่นพี่ของ ฮุน มาเนต ที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์ปอยส์ (West Point) ที่เรียนจบห่างกัน 24 ปี โดยออสตินจบก่อนในปี 1975 ในขณะที่ ฮุน มาเนต ทหารคนแรกของกัมพูชาที่เรียนจบโรงเรียนนายร้อยเวสปอยส์ ในปี 1999
ขณะที่ “พี่ใหญ่จีน” นั้น ก็เกิดคำถามด้วยเช่นกันว่า จุดยืนเป็นอย่างไร ด้วยในระยะหลังผู้นำระดับสูงของทั้งจีนและกัมพูชาต่างเดินทางไปเยือนและพบปะกันอย่างสม่ำเสมอ โดยเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ได้เดินทางถึงกรุงพนมเปญโดยเครื่องบินเฉพาะกิจ ตามคำเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีนโรดม สีหมุนี อย่างเป็นทางการ
ปี 2553 จีนและกัมพูชาได้สถาปนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ต่อมาปีทั้งสองประเทศได้ลงนามใน “แผนปฏิบัติการร่วมสร้างอนาคตร่วมกันระหว่างประชาคมจีน-กัมพูชา ปี 2562–2566” ซึ่งกัมพูชาเป็นประเทศแรกที่ลงนามในแผนดังกล่าวกับจีน ตามต่อด้วยการลงนามใน “แผนปฏิบัติการร่วมฉบับใหม่ในการสร้างอนาคตร่วมกันระหว่างประชาคมจีน-กัมพูชายุคใหม่ ปี 2567–2571” อีกครั้ง
นั่นเท่ากับว่ามีการลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมนี้กันติดต่อกันถึง 10 ปีเลยทีเดียว
นอกจากนั้น กองทัพจีนและกองทัพกัมพูชาของ “ตระกูลฮุน” ยังมีความร่วมมือเข้าขั้น “พิเศษ” อาทิ การจัดการฝึกร่วมทางทหาร(มังกรทอง) จำนวน 6 ครั้ง และการฝึกร่วมด้านแพทย์ทหาร ความร่วมมือในด้านสถาบันการศึกษา การเก็บกู้ทุ่นระเบิด ตลอดจนการแลกเปลี่ยนด้านข่าวสารระหว่างกันอย่างใกล้ชิด เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่นานมานี้ กองทัพกัมพูชา เพิ่งจะเสร็จสิ้นการซ้อมรบร่วมกับกองทัพปลดแอกประชาชนจีน หรือ Golden Dragon ซึ่งเป็นการซ้อมรบร่วมประจำปีที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2016 มีว่างเว้นเฉพาะแต่ในช่วงโควิดระบาดในปี 2021 และ 2022 เท่านั้น ในปีนี้เป็นการฝึกที่ใหญ่ที่สุดนับแต่เคยมีมา โดยมีทหารกัมพูชา 1,300 นาย และทหารจีน 700 นายเข้าร่วม ทั้งทางบกและทางน้ำ มีเรือรบของจีน 3 ลำ ของกัมพูชา 11 ลำเข้าร่วม
เช่นเดียวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยก็ล้วนแล้วแต่มาจากจีนทั้งสิ้น แถมไม่ใช่ของเก่า แต่เป็น “ของใหม่” ที่มีรายงานว่า เพิ่งเข้าประจำการ และเกิดคำถามว่า จีนส่งอาวุธให้กัมพูชาใช้โจมตีไทย
ถ้าจะกล่าวว่า “กัมพูชาเป็นพันธมิตรทางการเมืองและการทหารที่มั่นคงที่สุดของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ก็คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
“MaxDefense Philippines” บล็อกเกอร์การทหารฟิลิปปินส์ รายงานคลิปมาจากกัมพูชาซึ่งแสดงให้เห็นระบบอาวุธเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง ปืนใหญ่ เมดอินไชน่าของใหม่และยานยนต์ทางยุทธวิธีที่ล้วนมาจากจีนยาวเป็นตับโชว์เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสังเกตว่าสำหรับกัมพูชาประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กคิดเป็นแค่ 1 ใน 3 ของเขตเมโทร มะนิลา แต่อาวุธตามคลิปที่ได้เห็นหากเป็นเรื่องจริงถือว่าระบบคลังแสงปืนใหญ่และปืนของกัมพูชานั้นช่างน่าประทับใจ
CNN และสำนักข่าวตะวันตกต่างรายงานความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชาในลักษณะที่ว่า ไทยเป็นพันธมิตรนอกนาโต้กับสหรัฐฯ มานาน ส่วนกัมพูชาได้รับการหนุนหลังจากจีนที่ได้ไปสร้าง “ฐานทัพเรือที่เมืองเรียม” และมีการร่วมซ้อมรบกันอย่างแข็งขัน อาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ของเขมรก็ได้มาจากจีน
ทั้งนี้ แม้สื่อตะวันตกพร้อมใจรายงานว่า รัฐบาลกัมพูชาได้รับการสนับสนุนจากจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดรนที่มีมากกว่า 10,000ตัว แต่ก็มีข้อสังเกตเช่นกันว่า อาจไม่ได้เป็นรัฐบาลจีน หากแต่คือ “ทุนจีนเทา” หรือบรรดาแก๊งสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เข้าไปทำมาหากินในกัมพูชา เป็นผู้จัดสรรมาให้ในลักษณะการจัดซื้อใต้ดิน รวมกระทั่งถึงอาวุธอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
มีรายงานในสื่อจีนระบุว่าก่อนเหตุการณ์ทุ่นระเบิดและการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยและกัมพูชาจะเกิดขึ้น จีนได้เข้ามาแทรกแซงล่วงหน้าแล้ว โดยเมื่อวันที่ 10 ของเดือนกรกฎาคมนี้ “นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน” ได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และมีการพบหารืออย่างใกล้ชิดกับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา ในขณะนั้น นายหวัง อี้ ได้เรียกร้องอย่างชัดเจนให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันอย่างเป็นมิตร พร้อมย้ำว่าจีนจะยึดมั่นในจุดยืนเป็นกลางและยุติธรรม ผลักดันให้ทั้งสองประเทศอยู่ร่วมกันอย่างสันติและลดความตึงเครียดลง
ทว่า ก็มีรายงานยืนยันเช่นกันว่า “ฮุน มาเนต” โทรศัพท์ไปหาโดนัลด์ ทรัมป์เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งกับไทย ซึ่งทำให้ถูกตีความว่า นี่คือ “หมากกลศึกของกัมพูชา” ที่ต้องการบีบไทย เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่า ตนเองมีจีนยืนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กอยู่ข้างหลัง ดังนั้น จึงเปิดเกมรุกไปที่สหรัฐฯ เพื่อให้ช่วยบีบไทยในอีกทางหนึ่ง
หลังจากนั้นทรัมป์ก็โทรหา “ภูมิธรรม เวชยชัย” แล้วเขียนออกใน Truth Social ทันทีว่า ไทยกับกัมพูชาต้องหาทางเจรจาหยุดยิง แล้วยุติสงครามโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นทั้งไทยและกัมพูชาที่โดนกำแพงภาษีของทรัมป์36% และ49%ตามลำดับจะมีปัญหาในการเจรจากับสหรัฐฯ ในการปรับลดกำแพงภาษีก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมที่อัตรานี้จะมีผลบังคับใช้
สรุปก็คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดย “ตระกูลชิน” ที่วันนี้มีสมญานามใหม่ว่า “งทร.” เพลี่ยงพล้ำต่อหมากกลศึกของ “ตระกูลฮุน” ที่เดินเกมการเมืองเข้าหามหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ และจีนด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราว
ดังนั้น ถ้าต้องการทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากความเสี่ยงในทุกมิติ หนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ การยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 ทันที...ขึ้นอยู่กับว่า “รัฐบาล งทร.” จะกล้าทำหรือไม่ ก็เท่านั้น.