คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ในตอนนี้จะได้กล่าวถึง “การบริหารจัดการดินแดนในการปกครองของสวีเดนภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน”*
ในปี ค.ศ.1660 นอกเหนือจากสวีเดนและฟินแลนด์แล้ว สวีเดนยังมีดินแดนในปกครองจำนวนมากที่ได้มาจากการทำสงครามในช่วงหนึ่งร้อยปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ดินแดนในการปกครองรอบอาณาจักรเหล่านี้ไม่ได้เป็นพื้นที่ติดต่อกัน อันนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ๆ สองประการ ได้แก่
1) ความท้าทายในการรักษาอำนาจการปกครองเหนือดินแดนดังกล่าว และ 2) การปฏิรูปให้ดินแดนดังกล่าวมีรายได้ในการบริหารกิจการในพื้นที่โดยไม่เป็นภาระทางการคลังแก่ราชอาณาจักร
การบริหารจัดการและความท้าทายในการบริหารปกครองดินแดนรอบนอกเหล่านี้สามารถแบ่งพิจารณาได้ตามประเภทดินแดนเป็นจำนวน 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
1)จังหวัดชายแดนที่ยึดได้มาจากเดนมาร์กในสงครามปี ค.ศ.1643-1645 และ ค.ศ.1657-1660
รัฐบาลกลางมีความพยายามที่ชัดเจนในการผนวกรวมประชากรท้องถิ่นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร และสร้างความกลมกลืนทรงวัฒนธรรมกับประชากรท้องถิ่น
อนึ่ง ประชากรเหล่านี้มีภาษา วัฒนธรรม โครงสร้างสังคม และศาสนาลูเธอรันที่แทบจะไม่แตกต่างจากสวีเดนเลย แต่ในอีกด้านหนึ่ง การผนวกดินแดนใหม่เกิดขึ้นพร้อมกับสนธิสัญญาสันติภาพที่รับรองสิทธิ อภิสิทธิและเสรีภาพของประชากรท้องถิ่น ในขณะที่สวีเดนสามารถบริหารจัดการจังหวัดชายแดน Härjedelen และ Jamtland ในนอร์เวย์รวมถึงเกาะ Gotland ได้ไม่ยากนัก
ความท้าทายอยู่ที่การบริหารปกครองจังหวัด Skåne, Halland, Bohuslän และ Blekinge โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัด Skåne และ Halland เนื่องจากเป็นที่ราบที่เหมาะสมในการทำเกษตรขนาดใหญ่ อันหมายถึงการมีกลุ่มอภิชนท้องถิ่นชาวเดนิชที่มีบทบาทสำคัญในพื้นที่
การบริหารจัดการจังหวัด Skåne ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด นับแต่ปี ค.ศ.1660 รัฐบาลภายใต้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้พยายามสนับสนุนให้ชาวสวีดิชย้ายถิ่นฐานเข้าไปในจังหวัด Skåne โดยการยกเว้นภาษีซื้อขายที่ดินแก่ชาวสวีดิช (รวมถึงการตั้งมหาวิทยาลัยแห่งลุนด์เพื่อดึงดูดชาวสวีดิช)
กระนั้น ความพยายามในช่วงดังกล่าวไม่ได้ประสบผลสำเร็จนัก เมื่อเกิดสงครามปี ค.ศ.1675-1679 ประชากรในจังหวัดกลับให้ความสนับสนุนกองทัพเดนมาร์ก ทั้งยังมีการจัดตั้งกองกำลังกองโจรขัดขวางกองทัพสวีเดนอันนำมาซึ่งการปราบปรามและความรุนแรงต่อประชากรในพื้นที่ ด้วยประสบการณ์ส่วนพระองค์ดังกล่าว พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดจึงขาดความไว้วางใจจากชาวเดนิชในพื้นที่ดังกล่าว
ภายหลังสงคราม พระองค์และ Gyllenstierna (ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการทั่วไปในจังหวัดต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเดนมาร์ก) มีแผนนโยบายร่วมกันในการบังคับผลักดันการผนวกกลืนประชากรท้องถิ่นอย่างจริงจัง สงครามทำให้พื้นที่ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก และประชากรเดนิชได้หนีออกจากพื้นที่กว่า 10,000 คนตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาสันติภาพและการชักชวนของพระมหากษัตริย์เดนมาร์ก
ภายหลังการเสียชีวิตของ Gyllenstierna ในปี ค.ศ.1681 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงแต่งตั้งให้ Ascheberg ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าการทั่วไปจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ.1693 Ascheberg คัดค้านแนวนโยบายของ Gyllenstierna ที่เขามองว่าเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ (ethnic cleansing) ประชากรท้องถิ่นในทันที เขามีท่าทีที่ในเชิงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกับประชากรท้องถิ่นมากกว่าการบีบบังคับ อย่างการสนับสนุนให้มีการจ้างงานประชากรท้องถิ่นที่แสดงความจงรักภักดีกับสวีเดนและสนับสนุนการแต่งงานระหว่างคนในพื้นที่กับชาวเดนมาร์กที่เข้ามาใหม่ ซึ่งพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดก็ทรงเปิดทางให้ Ascheberg ดำเนินการบริหารปกครองตามแนวทางของเขาพอสมควร
กระบวนการบริหารจัดการจังหวัด Skåne ที่เกิดขึ้นนั้นเน้นใช้ฝ่ายศาสนจักรนำการผนวกกลืนประชาชนในพื้นที่ ดังบทบาทของ สังฆราชา Knut Hahn ชาวสวีเดน ที่มีส่วนผลักดันให้คณะนักบวชท้องถิ่นถวายฎีกาเพื่อเข้าร่วมเป็นประชากรชาวสวีเดนอย่างสมบูรณ์ (petition for incorporation) ทั้งยังให้จัดการศึกษาแบบสวีเดนแก่เด็กในพื้นที่เพื่อผนวกกลืนวัฒนธรรมควบคู่กันไป ทำให้กลุ่มชาวเมืองและกลุ่มชาวนาถวายฎีกาต่อพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็โเพื่อเข้าร่วมเป็นชาวสวีเดนในลำดับถัดมา ซึ่งหมายถึงการสละอภิสิทธิท้องถิ่นเฉพาะที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาสันติภาพแลกกับการได้เป็นพลเมืองชาวสวีเดนอย่างเต็มตัว
สำหรับการผนวกกลืนอภิชนในจังหวัด Skåne นั้น Hahn ก็ได้มุ่งลดทอนอภิสิทธิต่าง ๆ ของเหล่าอภิชนในพื้นที่ แต่กระบวนการผนวกกลืนเหล่าอภิชนก็เผชิญความท้าทายจากแนวนโยบายที่ขัดกันระหว่าง Ascheberg ที่มุ่งเกลี่ยเกลี่ยและโน้มน้าวกลุ่มอภิชน กับรัฐบาลกลางและพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดที่มีพระราชประสงค์ให้ใช้นโยบายการเวนคืนและการเรียกคืนภาษีที่ยกเว้นไปในช่วงรัฐบาลคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามคำแนะนำของ Adlersten
ท้ายที่สุดแล้ว Ascheberg โน้มน้าวให้มีการผ่อนปรนนโยบายหลายประการได้สำเร็จ กลุ่มอภิชนถวายฎีกาขอเข้าร่วมเป็นประชากรสวีเดนอย่างเต็มตัวในปี ค.ศ.1683 ซึ่งทำให้การผนวกกลืนประชากรท้องถิ่นในจังหวัด Skåne อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นด้วยการแสดงความยินยอมร้องขอจากคนภายในพื้นที่เอง โดยถือได้ว่าเป็นผลงานของ Ascheberg และ Hahn ที่ใช้วิธีการโน้มน้าวและบริหารจัดวางเป็นแนวทางนำ อีกทั้งการเว้นว่างจากสงครามกับเดนมาร์กอีกกว่าสามสิบปียังเปิดทางให้มีการบั่นทอนชนชั้นนำชาวเดนมาร์กในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเปิดทางให้สามารถกล่อมเกลาประชากรรุ่นใหม่ให้ยอมรับอำนาจของสวีเดนได้โดยดี
2) ดินแดนเยอรมนีในปกครอง อันได้แก่ Bremen-Verden, Wismar และ Pomerania ซึ่งสวีเดนได้มาในสมัยสงครามสามสิบปี ในทางกฎหมายแล้ว ดินแดนในปกครองเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิโดยมีพระมหากษัตริย์สวีเดนเป็นเจ้าปกครอง สถานะพิเศษของดินแดนเหล่านี้ตั้งอยู่บนกฎหมายและอภิสิทธิของดินแดนโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เหล่าฐานันดรท้องถิ่นยังคงมีอำนาจในการปกครองตนเองพอสมควร
การครอบครองดินแดนเยอรมนีถือเป็นการยืนยันสถานะระหว่างประเทศของสวีเดน ในฐานะเจ้าปกครองดินแดนในเยอรมนีและในฐานะผู้พิทักษ์สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Westphalia) กระนั้น ดินแดนเหล่านี้กลับสร้างภาระทางการเงินให้แก่สวีเดน ฉะนั้น นโยบายหลักของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดต่อดินแดนเหล่านี้ คือ การปฏิรูปให้สามารถมีรายได้ดูแลกิจการและรักษากองกำลังในพื้นที่ได้อย่างพอเพียง
ส่วนการปกครอง Bremen-Verden และ Wismar ดำเนินไปได้ไม่ยากลำบากนัก โดยเฉพาะเมื่อ Bremen-Verden สามารถมีรายรับเกินดุลจนสามารถรองรับรายจ่ายของ Wismar ที่เป็นพื้นที่โดดเดี่ยว ได้ สำหรับ Pomerania นั้น การปกครองเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ประสบความเสียหายจากสงคราม และเนื่องจากเหล่าฐานันดรท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือกับนโยบายของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด โดยอาศัยข้อจำกัดของกฎหมายของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับผู้ปกครองท้องถิ่น เป็นอย่างมาก พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงไม่ยอมรับการยืนยันสิทธิของเหล่าฐานันดรท้องถิ่น และในปี ค.ศ.1692 ทรงให้ดำเนินการนโยบายทางการเงินรวมถึงนโยบายการเวนคืนในพื้นที่อย่างแข็งขัน ซึ่งทำให้ทั้งเหล่าฐานันดรและผู้ปกครองท้องถิ่นต้องยอมให้มีดำเนินการต่อไป
3) ดินแดนในปกครองทางคาบสมุทรบอลติก อันประกอบไปด้วยดินแดนที่มีที่มาและสถานะทางกฎหมายแตกต่างกันไปสามประเภทหลัก ได้แก่ Kexholm และ Ingermanland ที่ยึดได้จากรัสเซีย, Estland ที่ อภิชนขุนนางในพื้นที่เข้าสวามิภักดิ์ต่อราชอาณาจักรสวีเดนโดยสมัครใจ, และ Livland ที่จะตีความว่าสวีเดนยึดมาจากโปแลนด์ หรือโปแลนด์ได้โอนสิทธิ์ให้แก่สวีเดนก็ได้
สำหรับ Kexholm และ Ingermanland นั้น ประเด็นปัญหาหลักคือ 1) การบำรุงรักษาและเสริมกำลังในฐานะป้อมปราการโพ้นทะเล ซึ่งทุเลาลงไปเมื่อรัสเซียลดท่าทีคุกคามลงไป และ 2) การบังคับใช้นโยบายเวนคืน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงรับข้อเสนอแนะของผู้ว่าการในพื้นที่ ให้เก็บภาษีชาวนาและปล่อยเช่าที่ดินแทน เพื่อลดภาระด้านการบริหารจัดการที่ดิน และการใช้นโยบายการส่งเสริมการย้ายถิ่นฐานชาวสวีดิชเข้าไปในดินแดนดังกล่าว ยังผลให้ชาวสวีดิชเข้ามีอิทธิพลในองค์กรการบริหารท้องถิ่น อันเป็นผลให้ดินแดนทั้งสองกลายเป็นดินแดนอาณานิคมของสวีเดน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไชยันต์ ไชยพร
ในตอนนี้จะได้กล่าวถึง “การบริหารจัดการดินแดนในการปกครองของสวีเดนภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน”*
ในปี ค.ศ.1660 นอกเหนือจากสวีเดนและฟินแลนด์แล้ว สวีเดนยังมีดินแดนในปกครองจำนวนมากที่ได้มาจากการทำสงครามในช่วงหนึ่งร้อยปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ดินแดนในการปกครองรอบอาณาจักรเหล่านี้ไม่ได้เป็นพื้นที่ติดต่อกัน อันนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ๆ สองประการ ได้แก่
1) ความท้าทายในการรักษาอำนาจการปกครองเหนือดินแดนดังกล่าว และ 2) การปฏิรูปให้ดินแดนดังกล่าวมีรายได้ในการบริหารกิจการในพื้นที่โดยไม่เป็นภาระทางการคลังแก่ราชอาณาจักร
การบริหารจัดการและความท้าทายในการบริหารปกครองดินแดนรอบนอกเหล่านี้สามารถแบ่งพิจารณาได้ตามประเภทดินแดนเป็นจำนวน 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
1)จังหวัดชายแดนที่ยึดได้มาจากเดนมาร์กในสงครามปี ค.ศ.1643-1645 และ ค.ศ.1657-1660
รัฐบาลกลางมีความพยายามที่ชัดเจนในการผนวกรวมประชากรท้องถิ่นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร และสร้างความกลมกลืนทรงวัฒนธรรมกับประชากรท้องถิ่น
อนึ่ง ประชากรเหล่านี้มีภาษา วัฒนธรรม โครงสร้างสังคม และศาสนาลูเธอรันที่แทบจะไม่แตกต่างจากสวีเดนเลย แต่ในอีกด้านหนึ่ง การผนวกดินแดนใหม่เกิดขึ้นพร้อมกับสนธิสัญญาสันติภาพที่รับรองสิทธิ อภิสิทธิและเสรีภาพของประชากรท้องถิ่น ในขณะที่สวีเดนสามารถบริหารจัดการจังหวัดชายแดน Härjedelen และ Jamtland ในนอร์เวย์รวมถึงเกาะ Gotland ได้ไม่ยากนัก
ความท้าทายอยู่ที่การบริหารปกครองจังหวัด Skåne, Halland, Bohuslän และ Blekinge โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัด Skåne และ Halland เนื่องจากเป็นที่ราบที่เหมาะสมในการทำเกษตรขนาดใหญ่ อันหมายถึงการมีกลุ่มอภิชนท้องถิ่นชาวเดนิชที่มีบทบาทสำคัญในพื้นที่
การบริหารจัดการจังหวัด Skåne ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด นับแต่ปี ค.ศ.1660 รัฐบาลภายใต้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้พยายามสนับสนุนให้ชาวสวีดิชย้ายถิ่นฐานเข้าไปในจังหวัด Skåne โดยการยกเว้นภาษีซื้อขายที่ดินแก่ชาวสวีดิช (รวมถึงการตั้งมหาวิทยาลัยแห่งลุนด์เพื่อดึงดูดชาวสวีดิช)
กระนั้น ความพยายามในช่วงดังกล่าวไม่ได้ประสบผลสำเร็จนัก เมื่อเกิดสงครามปี ค.ศ.1675-1679 ประชากรในจังหวัดกลับให้ความสนับสนุนกองทัพเดนมาร์ก ทั้งยังมีการจัดตั้งกองกำลังกองโจรขัดขวางกองทัพสวีเดนอันนำมาซึ่งการปราบปรามและความรุนแรงต่อประชากรในพื้นที่ ด้วยประสบการณ์ส่วนพระองค์ดังกล่าว พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดจึงขาดความไว้วางใจจากชาวเดนิชในพื้นที่ดังกล่าว
ภายหลังสงคราม พระองค์และ Gyllenstierna (ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการทั่วไปในจังหวัดต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเดนมาร์ก) มีแผนนโยบายร่วมกันในการบังคับผลักดันการผนวกกลืนประชากรท้องถิ่นอย่างจริงจัง สงครามทำให้พื้นที่ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก และประชากรเดนิชได้หนีออกจากพื้นที่กว่า 10,000 คนตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาสันติภาพและการชักชวนของพระมหากษัตริย์เดนมาร์ก
ภายหลังการเสียชีวิตของ Gyllenstierna ในปี ค.ศ.1681 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงแต่งตั้งให้ Ascheberg ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าการทั่วไปจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ.1693 Ascheberg คัดค้านแนวนโยบายของ Gyllenstierna ที่เขามองว่าเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ (ethnic cleansing) ประชากรท้องถิ่นในทันที เขามีท่าทีที่ในเชิงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกับประชากรท้องถิ่นมากกว่าการบีบบังคับ อย่างการสนับสนุนให้มีการจ้างงานประชากรท้องถิ่นที่แสดงความจงรักภักดีกับสวีเดนและสนับสนุนการแต่งงานระหว่างคนในพื้นที่กับชาวเดนมาร์กที่เข้ามาใหม่ ซึ่งพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดก็ทรงเปิดทางให้ Ascheberg ดำเนินการบริหารปกครองตามแนวทางของเขาพอสมควร
กระบวนการบริหารจัดการจังหวัด Skåne ที่เกิดขึ้นนั้นเน้นใช้ฝ่ายศาสนจักรนำการผนวกกลืนประชาชนในพื้นที่ ดังบทบาทของ สังฆราชา Knut Hahn ชาวสวีเดน ที่มีส่วนผลักดันให้คณะนักบวชท้องถิ่นถวายฎีกาเพื่อเข้าร่วมเป็นประชากรชาวสวีเดนอย่างสมบูรณ์ (petition for incorporation) ทั้งยังให้จัดการศึกษาแบบสวีเดนแก่เด็กในพื้นที่เพื่อผนวกกลืนวัฒนธรรมควบคู่กันไป ทำให้กลุ่มชาวเมืองและกลุ่มชาวนาถวายฎีกาต่อพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็โเพื่อเข้าร่วมเป็นชาวสวีเดนในลำดับถัดมา ซึ่งหมายถึงการสละอภิสิทธิท้องถิ่นเฉพาะที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาสันติภาพแลกกับการได้เป็นพลเมืองชาวสวีเดนอย่างเต็มตัว
สำหรับการผนวกกลืนอภิชนในจังหวัด Skåne นั้น Hahn ก็ได้มุ่งลดทอนอภิสิทธิต่าง ๆ ของเหล่าอภิชนในพื้นที่ แต่กระบวนการผนวกกลืนเหล่าอภิชนก็เผชิญความท้าทายจากแนวนโยบายที่ขัดกันระหว่าง Ascheberg ที่มุ่งเกลี่ยเกลี่ยและโน้มน้าวกลุ่มอภิชน กับรัฐบาลกลางและพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดที่มีพระราชประสงค์ให้ใช้นโยบายการเวนคืนและการเรียกคืนภาษีที่ยกเว้นไปในช่วงรัฐบาลคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามคำแนะนำของ Adlersten
ท้ายที่สุดแล้ว Ascheberg โน้มน้าวให้มีการผ่อนปรนนโยบายหลายประการได้สำเร็จ กลุ่มอภิชนถวายฎีกาขอเข้าร่วมเป็นประชากรสวีเดนอย่างเต็มตัวในปี ค.ศ.1683 ซึ่งทำให้การผนวกกลืนประชากรท้องถิ่นในจังหวัด Skåne อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นด้วยการแสดงความยินยอมร้องขอจากคนภายในพื้นที่เอง โดยถือได้ว่าเป็นผลงานของ Ascheberg และ Hahn ที่ใช้วิธีการโน้มน้าวและบริหารจัดวางเป็นแนวทางนำ อีกทั้งการเว้นว่างจากสงครามกับเดนมาร์กอีกกว่าสามสิบปียังเปิดทางให้มีการบั่นทอนชนชั้นนำชาวเดนมาร์กในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเปิดทางให้สามารถกล่อมเกลาประชากรรุ่นใหม่ให้ยอมรับอำนาจของสวีเดนได้โดยดี
2) ดินแดนเยอรมนีในปกครอง อันได้แก่ Bremen-Verden, Wismar และ Pomerania ซึ่งสวีเดนได้มาในสมัยสงครามสามสิบปี ในทางกฎหมายแล้ว ดินแดนในปกครองเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิโดยมีพระมหากษัตริย์สวีเดนเป็นเจ้าปกครอง สถานะพิเศษของดินแดนเหล่านี้ตั้งอยู่บนกฎหมายและอภิสิทธิของดินแดนโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เหล่าฐานันดรท้องถิ่นยังคงมีอำนาจในการปกครองตนเองพอสมควร
การครอบครองดินแดนเยอรมนีถือเป็นการยืนยันสถานะระหว่างประเทศของสวีเดน ในฐานะเจ้าปกครองดินแดนในเยอรมนีและในฐานะผู้พิทักษ์สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Westphalia) กระนั้น ดินแดนเหล่านี้กลับสร้างภาระทางการเงินให้แก่สวีเดน ฉะนั้น นโยบายหลักของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดต่อดินแดนเหล่านี้ คือ การปฏิรูปให้สามารถมีรายได้ดูแลกิจการและรักษากองกำลังในพื้นที่ได้อย่างพอเพียง
ส่วนการปกครอง Bremen-Verden และ Wismar ดำเนินไปได้ไม่ยากลำบากนัก โดยเฉพาะเมื่อ Bremen-Verden สามารถมีรายรับเกินดุลจนสามารถรองรับรายจ่ายของ Wismar ที่เป็นพื้นที่โดดเดี่ยว ได้ สำหรับ Pomerania นั้น การปกครองเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ประสบความเสียหายจากสงคราม และเนื่องจากเหล่าฐานันดรท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือกับนโยบายของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด โดยอาศัยข้อจำกัดของกฎหมายของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับผู้ปกครองท้องถิ่น เป็นอย่างมาก พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงไม่ยอมรับการยืนยันสิทธิของเหล่าฐานันดรท้องถิ่น และในปี ค.ศ.1692 ทรงให้ดำเนินการนโยบายทางการเงินรวมถึงนโยบายการเวนคืนในพื้นที่อย่างแข็งขัน ซึ่งทำให้ทั้งเหล่าฐานันดรและผู้ปกครองท้องถิ่นต้องยอมให้มีดำเนินการต่อไป
3) ดินแดนในปกครองทางคาบสมุทรบอลติก อันประกอบไปด้วยดินแดนที่มีที่มาและสถานะทางกฎหมายแตกต่างกันไปสามประเภทหลัก ได้แก่ Kexholm และ Ingermanland ที่ยึดได้จากรัสเซีย, Estland ที่ อภิชนขุนนางในพื้นที่เข้าสวามิภักดิ์ต่อราชอาณาจักรสวีเดนโดยสมัครใจ, และ Livland ที่จะตีความว่าสวีเดนยึดมาจากโปแลนด์ หรือโปแลนด์ได้โอนสิทธิ์ให้แก่สวีเดนก็ได้
สำหรับ Kexholm และ Ingermanland นั้น ประเด็นปัญหาหลักคือ 1) การบำรุงรักษาและเสริมกำลังในฐานะป้อมปราการโพ้นทะเล ซึ่งทุเลาลงไปเมื่อรัสเซียลดท่าทีคุกคามลงไป และ 2) การบังคับใช้นโยบายเวนคืน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงรับข้อเสนอแนะของผู้ว่าการในพื้นที่ ให้เก็บภาษีชาวนาและปล่อยเช่าที่ดินแทน เพื่อลดภาระด้านการบริหารจัดการที่ดิน และการใช้นโยบายการส่งเสริมการย้ายถิ่นฐานชาวสวีดิชเข้าไปในดินแดนดังกล่าว ยังผลให้ชาวสวีดิชเข้ามีอิทธิพลในองค์กรการบริหารท้องถิ่น อันเป็นผลให้ดินแดนทั้งสองกลายเป็นดินแดนอาณานิคมของสวีเดน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)