"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในยุคที่โลกดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการสื่อสารและการสร้างความหมายทางสังคมอย่างพื้นฐาน ปรากฏการณ์ชาตินิยมได้ปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบใหม่ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจและซับซ้อนที่สมควรแก่การศึกษาอย่างลึกซึ้ง เพราะชาตินิยมในโลกออนไลน์นั้นไม่ได้มีเพียงหน้าตาเดียว แต่แสดงออกในรูปแบบที่หลากหลายและมีนัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่การเป็นกลไกสร้างสรรค์ที่หล่อหลอมความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ ไปจนถึงการเป็นดาบสองคมที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกและความรุนแรงในสังคม
ปรากฏการณ์ชาตินิยมในโซเชียลมีเดียสามารถกแยกแยะและจำแนกประเภทออกเป็นสามรูปแบบหลัก ได้แก่ ชาตินิยมเชิงบวก ชาตินิยมเชิงปฏิกิริยา และชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะ แรงจูงใจ และผลกระทบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
การจำแนกนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของชาตินิยมร่วมสมัยได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนายุทธศาสตร์รับมือและการส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์อีกด้วย
ชาตินิยมเชิงบวก: พลังแห่งการสร้างสรรค์และความสามัคคี
ชาตินิยมเชิงบวกเปรียบเสมือนแสงอรุณที่ส่องนำสังคมไปสู่ความสมานฉันท์และความภาคภูมิใจร่วมกัน รูปแบบนี้ของชาตินิยมมีรากฐานอยู่บนความรักและความผูกพันต่อชาติบ้านเมือง โดยไม่ได้มุ่งสร้างความแตกแยกหรือความเกลียดชังต่อผู้อื่น แต่กลับมุ่งเน้นการสร้างสรรค์สิ่งดีงามและการเสริมสร้างศักยภาพของชาติในแง่มุมมราหลากหลายอย่างเป็นรูปธรรม
การแสดงออกของชาตินิยมเชิงบวกในโซเชียลมีเดียนั้นปรากฏในรูปแบบที่หลากหลายและน่าชื่นชม เริ่มต้นจากการส่งเสริมวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ชาติผ่านการแชร์เนื้อหาที่สร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชาติ เช่น การเผยแพร่ภาพวันสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างวันชาติ การนำเสนอศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตท้องถิ่นผ่านแฮชแท็กที่สร้างกระแสอย่าง #วัฒนธรรมไทย หรือ #เมืองไทยน่าอยู่ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักในคุณค่าของมรดกบรรพบุรุษให้แก่คนรุ่นใหม่อีกด้วย
นอกจากนี้ ชาตินิยมเชิงบวกยังแสดงออกผ่านการสนับสนุนเศรษฐกิจชาติหรือที่เรียกว่า “ชาตินิยมเชิงเศรษฐกิจ” (Economic Patriotism) ซึ่งเป็นรูปแบบการรักชาติที่เป็นรูปธรรมและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ การรณรงค์ให้ซื้อสินค้าไทยหรือใช้บริการในประเทศผ่านแคมเปญในหลายรูปแบบ เช่น “ชอปของไทย” หรือ #กินไทยใช้ไทย ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความรักชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานรากและการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดเล็กในประเทศอีกด้วย
ที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือการรวมพลังในยามวิกฤตที่ปรากฏผ่านโซเชียลมีเดีย เมื่อเกิดภัยพิบัติหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน ความรักชาติแบบเชิงบวกจะกลายเป็นพลังสำคัญในการระดมทรัพยากรและกำลังใจเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมผ่าน #ไทยช่วยไทย หรือการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ผ่าน #ขอบคุณพยาบาล หรือแม้กระทั่งการส่งกำลังใจให้ทีมฟุตบอลเยาวชนไทยผ่าน #ทีมหมูป่าอะคาเดมี ล้วนสะท้อนถึงพลังของความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ
ชาตินิยมเชิงปฏิกิริยา: ดาบสองคมแห่งการป้องกันชาติ
เมื่อชาตินิยมเชิงบวกเปรียบเสมือนแสงแดดที่อบอุ่น ชาตินิยมเชิงปฏิกิริยาก็เปรียบเสมือนเสียงเตือนภัยที่ดังขึ้นเมื่อชาติกำลังเผชิญกับสิ่งที่ถูกรับรู้ว่าเป็นภัยคุกคาม รูปแบบนี้ของชาตินิยมเกิดขึ้นจากอุปสรรคหรือความท้าทายจากภายนอก และมักแสดงออกในลักษณะของการตอบโต้หรือการป้องกันตัวผ่านวาทกรรมในโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะมีเจตนาป้องกันชาติในเบื้องต้น แต่หากขาดการบริหารจัดการที่เหมาะสม ก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่สร้างผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อสังคมได้
การแสดงออกที่สำคัญของชาตินิยมเชิงปฏิกิริยารูปแบบหนึ่งคือการตอบโต้การดูหมิ่นชาติ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อมีชาวต่างชาติหรือสื่อต่างประเทศวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยในแง่ลบหรือนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ถูกต้อง ในสถานการณ์เช่นนี้ ประชาชนจะรวมตัวกันในโซเชียลมีเดียเพื่อตอบโต้ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง เรียกร้องให้แก้ไขข่าวที่บิดเบือน หรือแสดงมุมมองที่แตกต่างออกไป เช่น การใช้แฮชแท็ก #ThailandFacts เพื่อแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหรือวัฒนธรรมไทย ซึ่งในแง่หนึ่งถือเป็นการป้องกันชื่อเสียงของประเทศอย่างสร้างสรรค์
อีกด้านหนึ่งของชาตินิยมเชิงปฏิกิริยาคือการต่อต้านอิทธิพลต่างชาติที่ถูกมองว่าคุกคามอธิปไตยหรือผลประโยชน์ของชาติ การแสดงออกนี้อาจรวมถึงการคัดค้านการเข้ามาของบริษัทต่างชาติที่มีแนวโน้มจะควบคุมตลาดสำคัญ หรือการวิจารณ์นโยบายต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เช่น กระแสต่อต้านการเข้ามาของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่บางแห่งที่ถูกมองว่าอาจเอาเปรียบธุรกิจไทยหรือสร้างการผูกขาดในตลาด แม้ว่าการแสดงออกเหล่านี้จะมีเจตนาปกป้องประโยชน์ชาติ แต่หากขาดการวิเคราะห์ที่รอบคอบหรือข้อมูลที่ถูกต้อง ก็อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมหรือการสร้างความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นได้
ความซับซ้อนของชาตินิยมเชิงปฏิกิริยาอยู่ที่การที่มันสามารถเป็นได้ทั้งเครื่องมือป้องกันที่มีประโยชน์และเครื่องมือทำลายที่อันตราย ในแง่บวก มันสามารถเป็นกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลที่สำคัญต่อการแทรกแซงจากภายนอกที่ไม่เหมาะสม แต่ในแง่ลบ หากขาดการไตร่ตรองและการใช้เหตุผล ก็อาจนำไปสู่การเหมารวมทุกสิ่งที่มาจากต่างประเทศว่าเป็นภัยคุกคาม ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และการพัฒนาของสังคมในระยะยาว
ชาตินิยมสุดโต่ง: เมื่อความรักชาติกลายเป็นความรุนแรง
ในขณะที่ชาตินิยมสองรูปแบบแรกยังคงมีพื้นฐานของเหตุผลและความเป็นไปได้ในการนำไปสู่ผลดี ชาตินิยมสุดโต่งกลับเป็นปรากฏการณ์ที่เบี่ยงเบนจากเส้นทางแห่งความสร้างสรรค์ไปสู่ความมืดมนและการทำลาย รูปแบบนี้ของชาตินิยมใช้วาทกรรมรุนแรง สร้างความแตกแยก และมองโลกในแง่ของ “เรา” กับ “เขา” อย่างสุดขั้ว จนกลายเป็นพิษภัยต่อผ้าแห่งสังคมที่ควรจะสร้างสรรค์และเป็นปึกแผ่น
การแสดงออกที่อันตรายที่สุดของชาตินิยมสุดโต่งคือการใช้ภาษารุนแรงและการสร้างศัตรูผ่านวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง ในโซเชียลมีเดีย เราจะพบเห็นการโจมตีบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีความเห็นต่างด้วยข้อกล่าวหาเรื่อง “ไม่รักชาติ” หรือ “ทรยศ” โดยไม่คำนึงถึงความจริงหรือสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง การด่าทอ การขู่ฆ่า หรือการบอยคอตธุรกิจที่ถูกมองว่าไม่สนับสนุนชาติ กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้กดดันและทำลายผู้ที่คิดต่าง เช่น กรณีดาราหรือนักกิจกรรมที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงในโซเชียลมีเดียเพียงเพราะแสดงความเห็นเชิงวิจารณ์หรือเสนอมุมมองที่แตกต่างจากกระแสหลัก
สิ่งที่น่าวิตกไม่แพ้กันคือการแพร่กระจายข้อมูลเท็จเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง ชาตินิยมสุดโต่งมักใช้ข่าวปลอมเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มหรือประเทศอื่น การอ้างอิงข้อมูลที่ไม่มีหลักฐานเพื่อสร้างภาพให้กลุ่มคนหนึ่งเป็น “ศัตรูของชาติ” หรือการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการแทรกแซงจากต่างประเทศ เช่น ข่าวปลอมเกี่ยวกับชาวโรฮิงญาที่จะ “เข้ามายึดพื้นที่ภาคใต้ของไทย” ล้วนเป็นตัวอย่างของการใช้ความกลัวและความไม่รู้เป็นเครื่องมือควบคุมและจัดการความคิดของมวลชน
ผลกระทบจากชาตินิยมสุดโต่งนั้นร้ายแรงและกว้างไกล ไม่เพียงแต่จะทำลายความสามัคคีและความไว้เนื้อเชื่อใจในสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายรากฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยที่ต้องอาศัยการเคารพในความเห็นต่างและการรับฟังซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังอาจนำไปสู่ความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อวาทกรรมแห่งความเกลียดชังในโลกออนไลน์ถูกนำไปปฏิบัติจริงในรูปแบบของการคุกคาม การทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งการก่อความไม่สงบ
การปลูกฝังชาตินิยมแบบสร้างสรรค์
เมื่อทำความเข้าใจกับธรรมชาติและรูปแบบทั้งสามของชาตินิยมในโซเชียลมีเดียแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพัฒนายุทธศาสตร์และแนวทางในการส่งเสริมชาตินิยมเชิงบวก ลดผลกระทบจากชาตินิยมเชิงปฏิกิริยา และป้องกันการเกิดขึ้นของชาตินิยมสุดโต่งในสังคม ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ตั้งแต่รัฐบาล สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน ไปจนถึงพลเมืองทุกคน
ระดับนโยบายและสถาบัน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพัฒนานโยบายการสื่อสารสาธารณะที่เน้นการสร้างเนื้อหาเชิงบวกและสร้างสรรค์ เช่น การสนับสนุนโครงการที่ส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนผู้สร้างเนื้อหาที่นำเสนอเรื่องราวของคนไทยและความเป็นไทยในแง่มุมที่หลากหลาย และการพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลเท็จที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย
ระดับการศึกษา สถาบันการศึกษาควรบูรณาการการศึกษาสื่อและความรอบรู้เกี่ยวกับสื่อ (media literacy) เข้ากับหลักสูตร เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาสามารถวิเคราะห์และประเมินข้อมูลในโซเชียลมีเดียได้อย่างมีวิจารณญาณ การสอนให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างความรักชาติแบบสร้างสรรค์กับชาตินิยมที่ก่อให้เกิดความแตกแยก และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมผ่านช่องทางออนไลน์
ระดับสื่อและผู้สร้างเนื้อหา สื่อมวลชนและผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียควรตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบในการสร้างวาทกรรมเชิงบวก การหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ปลุกปั่นหรือสร้างความแตกแยก การตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ และการส่งเสริมการเสวนาและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนาเนื้อหาที่เฉลิมฉลองความหลากหลายและความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยในยุคโลกาภิวัตน์
ระดับพลเมือง สุดท้ายแต่ไม่แพ้กัน พลเมืองทุกคนมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมแห่งชาตินิยมเชิงบวกในโซเชียลมีเดีย การตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ การเคารพในความเห็นที่แตกต่าง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน และการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์มากกว่าการทำลาย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดี
ปรากฏการณ์ชาตินิยมในโซเชียลมีเดียนั้นเปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นทั้งความงดงามและความอัปลักษณ์ของสังคมไทยในยุคดิจิทัล การที่เราสามารถแยกแยะและเข้าใจรูปแบบของชาตินิยมนั้นไม่ใช่เพียงแค่การศึกษาเชิงวิชาการเท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน
ชาตินิยมเชิงบวกที่เราได้เห็นนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความรักชาติในยุคโซเชียลมีเดียสามารถเป็นพลังสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาดีและการกระทำที่เป็นรูปธรรม ขาตินิยมเชิงบวกสามารถเชื่อมโยงคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียว ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และสร้างพลังในการเอาชนะวิกฤตนานัปการที่รุมเร้าเข้ามาได้อย่างน่าประทับใจ
ในขณะเดียวกัน ชาตินิยมเชิงปฏิกิริยาก็เตือนใจเราให้ระวังว่าแม้แต่ความรักชาติที่มีเจตนาดีก็อาจกลายเป็นดาบสองคมได้หากขาดการใช้วิจารณญาณและการไตร่ตรองอย่างมีสติ การป้องกันและการตอบโต้นั้นจำเป็น แต่ต้องทำด้วยความรอบคอบและข้อมูลที่ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
ส่วนชาตินิยมสุดโต่งนั้นเป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนใจเราว่าความรักชาติที่ปราศจากเหตุผลและความเมตตาจะกลายเป็นพิษภัยที่ทำลายสิ่งที่เราต้องการปกป้อง การสร้างศัตรู การใช้ความรุนแรง และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ล้วนเป็นการทรยศต่อคุณค่าแท้จริงของความเป็นชาติที่ควรจะสร้างสรรค์และเปี่ยมด้วยความหวัง
ดังนั้น การก้าวไปข้างหน้าของสังคมไทยในยุคโซเชียลมีเดียจึงต้องอาศัยการสานต่อและเสริมสร้างชาตินิยมเชิงบวก การบริหารจัดการชาตินิยมเชิงปฏิกิริยาให้เป็นพลังสร้างสรรค์ และการป้องกันและแก้ไขชาตินิยมสุดโต่งด้วยการศึกษา การสร้างความเข้าใจ และการยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย
ท้ายที่สุดแล้ว ชาตินิยมที่แท้จริงไม่ใช่การปิดตาปิดหูต่อข้อบกพร่องของประเทศ หรือการสร้างความเกลียดชังต่อผู้อื่น แต่เป็นการมีความรักและความผูกพันต่อแผ่นดินเกิดในลักษณะที่สร้างสรรค์ เป็นการมองเห็นศักยภาพที่ดีของชาติและประชาชน และเป็นการมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศชาติเป็นที่ที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้น การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้จึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำคัญที่เราทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์
อนาคตของชาตินิยมไทยในยุคดิจิทัลจึงอยู่ในมือของเราทุกคน การเลือกที่จะแชร์ ไลก์ คอมเมนต์ หรือสร้างเนื้อหาใดในโซเชียลมีเดียล้วนเป็นการตัดสินใจที่มีนัยยะต่อการสร้างสังคมและชาติบ้านเมืองของเรา ให้เราเลือกเป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งความสร้างสรรค์ ความสามัคคี และความหวัง แทนที่จะเป็นเครื่องมือแห่งการทำลายและความแตกแยก เพราะนั่นคือชาตินิยมที่แท้จริงและยั่งยืนที่สังคมไทยต้องการในศตวรรษที่ 21