ชัดยิ่งกว่าชัดว่า สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทสำคัญมาก-ใช้การข่มขู่ (โดยยกเอาการเจรจากำแพงภาษีทรัมป์เป็นตัวต่อรอง) ให้การสู้รบด้วยขีปนาวุธและอาวุธหนักที่เส้นกั้นพรมแดนไทย-กัมพูชา ต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน
บทบาทสหรัฐฯ เด่นชัดมาก กลบรัศมีของจีน-ที่รมต.ต่างประเทศหวัง อี้ ได้ออกมาพูดแสดงความคิดเห็นว่า ต้องการให้ภูมิภาคอาเซียนนี้สุขสงบ มีสันติภาพระหว่างเพื่อนบ้าน-แต่ไม่มีการแสดงออกด้วยการกระทำใดๆ-ไม่เหมือนที่รมต.หวัง อี้ได้จูงมือรมต.ต่างประเทศของอิหร่านและซาอุฯ มาประสานมือเพื่อให้ปรองดองกัน เมื่อ 2-3 ปีก่อน
รวมทั้งคำพูดของนายกฯ มาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และในหมวกของประธานอาเซียน ได้พูดในตอนเริ่มต้นการประชุมเจรจาหยุดยิงว่า สหรัฐฯ คือประธานร่วมของการเจรจาครั้งนี้ และจีนเป็นแค่ Active Participant (ไม่ใช่ co-chair!!)
บางคนอาจมองว่า มีการแย่ง Scene ระหว่างประธานอาเซียนกับปธน.ทรัมป์ กับการเจรจายอมหยุดยิง (??) ที่กัวลาลัมเปอร์-โดยอันวาร์ประกาศผลสำเร็จนำสู่การหยุดยิงได้-แต่ขณะนี้มาเลเซียก็กำลังรอประกาศิตของจักรพรรดิทรัมป์ในการเคาะอัตรากำแพงภาษีตอกกลับที่มาเลเซียได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาก รวมทั้งเรื่องสินค้าสวมสิทธิจากจีนผ่านมาเลเซียเข้าสหรัฐฯ ที่จะโดนลงโทษเพิ่มอีก 40% ซึ่งทำให้มาเลเซียต้องเกรงใจสหรัฐฯ อยู่ในที-ขณะที่จักรพรรดิทรัมป์รีบออกมาคุยโตอวดอ้างว่า ตนคือผู้ทำให้เกิดการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับเขมรสำเร็จ เพราะจักรพรรดิทรัมป์คือ ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ!!
และสหรัฐฯ เอาใจเขมรถึงขนาดยอมลดฮวบฮาบอัตรากำแพงภาษีต่อกัมพูชาที่เดิมอยู่สูงถึง 49%-ลงมาอยู่เพียง 36% เท่ากับของไทย
ก็ต้องเป็นรางวัลสันติภาพโนเบลที่ทรัมป์ตั้งความหวังไว้ว่า ตนจะต้องชิงรางวัลนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่แค้นฝ่ายเดโมแครต ไม่ว่าจะเป็นจิมมี คาร์เตอร์, อัล กอร์ โดยเฉพาะโอบามาซึ่งเป็นคนผิวสีที่ทรัมป์จงเกลียดจงชังมาก ขนาดกุเรื่องสร้างคำถามในใจคนอเมริกันที่เลือกโอบามามาเป็นปธน.ว่า โอบามาไม่ได้เกิดในสหรัฐฯ และท้าให้ปธน.โอบามาต้องจำยอมนำสูติบัตรเกิดมาให้สาธารณชนได้พิสูจน์กัน (เป็นเรื่องเสียเกียรติปธน.สหรัฐฯ มากที่ถูกดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้) และถึงขนาดล้มเลิกแทบทุกๆ โครงการที่โอบามาได้ทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการประกันสุขภาพ, โครงการ Pivot to Asia (กับ TPP), สัญญาลดโลกร้อนที่ปารีส, JC POA กับอิหร่าน
ขนาดประกาศช่วยหาเสียงว่า “สงครามของไบเดน” คือ รัสเซียบุกยูเครน-ทรัมป์จะทำสำเร็จหยุดยิงได้ใน 24 ชม...ตอนนี้ผ่านมาแล้วถึง 6 เดือนก็คว้าน้ำเหลว และรัสเซียกลับหันหลังให้คำขู่ของทรัมป์ที่จะคว่ำบาตรทั้งรัสเซียมากขึ้น และลูกค้าที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซียจะโดนกำแพงภาษีสูงลิ่วถึง 500%”
เรื่องข้อตกลงหยุดยิงแลกตัวประกันที่กาซา ก็ยังไม่ไปถึงไหน ยังไม่มีทางหยุดยิงถาวรเลย รวมทั้งความอดอยากแสนโหดที่อิสราเอลทำกับพลเรือนปาเลสไตน์ ที่ทรัมป์มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจให้เนทันยาฮูทำที่กาซา ก็ทำให้รางวัลโนเบลสันติภาพสำหรับทรัมป์ ดูท่าจะเลือนรางยิ่งขึ้น
ยิ่งการร่วมสมคบกับอิสราเอลในการถล่ม (ละเมิดอธิปไตยอิหร่าน) เตหะราน โดยอ้างว่าไปทำลายฐานพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ก็เป็นปัจจัยไม่ให้เขาได้รางวัลโนเบลยิ่งขึ้น (แม้ว่า เนทันยาฮูจะสาระแนยกย่องทรัมป์ว่าเหมาะรับรางวัลสันติภาพนี้อย่างยิ่งก็ตาม!!)
เมื่อมีกรณีอินเดียถล่มปากีสถาน โดยอ้างว่ามีผู้ก่อการร้ายจากปากีสถานเริ่มต้นถล่มแคชเมียร์ก่อน...เปิดทางให้ทรัมป์ใช้จุดได้เปรียบช่วงกำลังเจรจากำแพงภาษีตอบโต้ทรัมป์ กดดันให้ทั้งคู่หยุดทันควันในการยิงปะทะกัน และนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า เป็นการช่วยอินเดียที่กำลังเสียเปรียบในการใช้อาวุธต่อกรกับปากีสถานที่มีอาวุธที่มีสมรรถนะสูงกว่า (จากจีน)...ซึ่งทรัมป์ก็โอ้อวดไป 3 วัน 3 คืนว่า เขาเป็นคนหย่าศึก (และเหมาะกับรางวัลสันติภาพโนเบล) และอินเดียค่อนข้างโกรธมากที่ทรัมป์ไปอ้างเช่นนี้ เพราะนายกฯ โมดีออกมาย้ำทันทีว่า การหยุดรบกันก็เพราะอินเดียมีแสนยานุภาพเกรียงไกรกว่าของปากีสถาน และทำให้ปากีสถานขอหย่าศึกต่างหาก
สงคราม 12 วันที่ทรัมป์ประกาศให้หยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านมีการวิเคราะห์จากศ.เมียร์ไชเมอร์ และเจฟฟรีย์ แซคส์ ว่า สหรัฐฯ ได้รับคำขอจากอิสราเอลซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำต่ออิหร่านอย่างหนักถึงขนาดร่อยหรอด้านขีปนาวุธที่จะป้องกันจากการโจมตีของอิหร่าน จึงขอให้สหรัฐฯ รีบประกาศหยุดยิง!!
เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ รีบจัดให้มีการหยุดยิงระหว่างไทยกับเขมร เพราะเขมรกำลังเพลี่ยงพล้ำหนักมากขนาดต้องขนเอากองกำลังพิทักษ์ฮุนเซนมาสู้ที่ชายแดน (เป็นกองกำลังที่ฝึกให้ปฏิบัติการในเมืองมากกว่าป่าเขา)
และทรัมป์ได้รับโทรศัพท์จากนายกฯ ฮุน มาเนต (ผ่านทางเวสต์ปอยท์ คอนเนกชัน นั่นเอง) ที่ทรัมป์เขียนลงใน Truth Social เองว่า เพิ่งพูดโทรศัพท์กับฮุน มาเนต…และเขากำลังจะพูดโทรศัพท์กับนายกฯ ของไทย!!เรื่องผลประโยชน์สัมปทานขุดเจาะพลังงานในอ่าวไทย ในเขตที่ฮุนเซนขีดเส้นล่วงเกินเข้ามาในเขตของไทย และที่ตระกูลชินออกมาย้ำแล้วย้ำอีกว่า เป็นเขตทับซ้อนต้องมาแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทยกับเขมร (ทั้งๆ ที่เป็นของไทยในเขตไทย 100%)…เรื่องผลประโยชน์พลังงานนี้ เข้าทางทรัมป์เต็มที่ เพราะทรัมป์เลิกการสนับสนุนพลังงาน Renewables…เขาให้การสนับสนุนการสำรวจขุดเจาะน้ำมันเต็มที่ (ในกม. OBBB ที่ให้งบทุ่มกับน้ำมันอย่างมหาศาล)
ถ้าฮุนเซนและลูกชายยังครองเขมรต่อไป และอนุมัติแปลงสัมปทานทะเลในอ่าวไทยให้บริษัทน้ำมันสหรัฐฯ (โดยอาจแบ่งกับบริษัท Total ของฝรั่งเศสด้วยก็ได้) จึงเป็นที่มาของการเปิดศึกที่พรมแดนไทย และต้องการได้ปราสาทของไทยไปครอบครองด้วย เพื่อลากเส้นเขตแดนใหม่ไปครอบครองเกาะกูด เขตทะเลของไทยนั่นเอง!!