ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่ว่าเศรษฐกิจจะซบเซาหรือผันผวนแค่ไหน แบงก์พาณิชย์ของไทยก็ยังฟันกำไรกันฉ่ำ ๆ ดูจากผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2568 และ 6 เดือนแรกของปีนี้ที่เพิ่งประกาศออกมา
รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 66,235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,621 ล้านบาท หรือเท่ากับ 2.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น เป็นผลประกอบการโดยรวมของ 11 ธนาคารพาณิชย์ ประกอบด้วย บริษัทเอสซีบีเอกซ์ (SCB), ธนาคารกสิกรไทย(KBANK), ธนาคารกรุงเทพ(BBL), ธนาคารกรุงไทย(KTB), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY), ธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB), ทิสโก้ไฟแนนซ์เชียลกรุ๊ป(TISCO), กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร(KKP) ,ธนาคารไทยเครดิต(CREDIT), ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT) และ แอชเอชเอฟจีไฟแนนซ์เชียลกรุ๊ป(LHFG)
สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่มีกำไรสุทธิได้สูงสุด คือ SCB 12,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน , KBANK 12,488 ล้านบาท ลดลง 3.16%, BBL 11,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.27%, KTB 11,122 ล้านบาท ลดลง 5.70%,
ส่วน BAY ทำกำไรสุทธิ 8,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.05%, TTB 5,004 ล้านบาท ลดลง 7.21%, TISCO 1,643 ล้านบาท ลดลง 6.25%, KKP 1,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.41%, CREDIT 925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8%, CIMBT 174 ล้านบาท ลดลง 73.95%, และ LHFG 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%
สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2568 ของ 11 แบงก์พาณิชย์ ทำกำไรสุทธิรวม 134,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,135 ล้านบาท คิดเป็น 3.97% โดยแบงก์ที่ทำกำไรมากสุด 3 อันดับแรก คือ KBANK กำไรสุทธิ 26,279 ล้านบาท ลดลง 0.98% รองลงไปคือ SCB 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ BBL 24,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.52%,
ขณะที่ KTB กำไรสุทธิ 22,835 ล้านบาท ลดลง 2.72%, BAY 15,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.49% และ TTB 10,100 ล้านบาท ลดลง 6.19%, TISCO 3,286 ล้านบาท ลดลง 5.74%, KKP 2,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.66%, CREDIT 1,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.05%, CIMBT 1,012 ล้านบาท ลดลง 21.79%, และ LHFG 1,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.59%
กล่าวได้ว่า กำไรบานฉ่ำกันถ้วนทั่ว แม้ว่าบางแห่งจะมีอัตราการเติบโตของกำไรลดลงก็ตาม โดยแบงก์ที่กำไรลดลงมากที่สุด คือ ซีไอเอ็มบีไทย กำไรลดลง 79%, กสิกรไทย ลดลง 9.45% และกรุงเทพ ลดลง 6.17% ส่วนแบงก์ที่กำไรเติบโตในไตรมาส 2 มากที่สุด คือ เกียรตินาคินภัทร เติบโตสูง 32% และกรุงศรีอยุธยา กำไรเพิ่มขึ้น 10% หากเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนครึ่งปีแรก ธนาคารที่กำไรลดลงมากที่สุดคือ ซีไอเอ็มบีไทย ลดลง 73%, ทีทีบี ลดลง 7.23% และทิสโก้ ลดลง 6.27% โดยแบงก์ที่กำไรเติบโตโดดเด่นสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน คือ เกียรตินาคินภัทร เติบโต 83% เอสซีบีเอกซ์ 27.68% และไทยเครดิต 12.80%
อย่างไรก็ดี การสำรองหนี้เสียของแบงก์พาณิชย์ ซึ่งหมายถึงคุณภาพของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ก็ไม่แผ่วลงเช่นกัน โดยตัวเลขรวมในไตรมาส 2/2568 ของ 11 แบงก์พาณิชย์ อยู่ที่ 57,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.32% หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลง 8.73 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับธนาคารที่ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 3 อันดับแรก คือ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 72% ซีไอเอ็มบีไทย เพิ่มขึ้น 39% และทิสโก้ เพิ่มขึ้น 44.94% หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568
และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แบงก์สำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้น เช่น ซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 113 % ทิสโก้ เพิ่มขึ้น 39% ขณะที่ เกียรตินาคินภัทร ตั้งสำรองลดลง 45% ไทยเครดิต ลดลง 28.99% และทีทีบีลดลง 18.69%
สำหรับตัวเลขการตั้งสำรองหนี้เสียโดยรวม 6 เดือนแรกปีนี้ ของ 11 แบงก์พาณิชย์ อยู่ที่ 112,313 ล้านบาท ลดลง 8.97%จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารมีธนาคารที่สำรองเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ ซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 86% ทิสโก้สำรองเพิ่มขึ้น 39% ส่วนแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ตั้งสำรองลดลง 40%, ไทยเครดิต ลดลง 36% และกรุงศรี ลดลง 15.82%
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ว่า ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการให้เกิดแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ส่งผลให้สามารถควบคุมสินเชื่อด้อยคุณภาพได้ และการได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารไร้สาขา จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว
ภาพรวมกำไรกลุ่มแบงก์ไตรมาส 2 ปี 2568 ข้างต้นนั้น นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง ถือว่าดีกว่าที่คาด เฉลี่ย 7% สำหรับ KBANK และ TTB ซึ่งเป็นไปตามคาด ส่วน SCB ดีกว่าคาด 17% , KKP ดีกว่าคาด 26%, BBL ดีกว่าคาด 7% และ TISCO ดีกว่าคาด 6% โดยปัจจัยสนับสนุนทำให้ภาพรวมดีกว่าคาดมาจากกำไรเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง ขณะที่สัดส่วน NPL ทรงตัวหรือเพิ่มเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง ยังคงประมาณการเดิมสำหรับกำไรกลุ่มแบงก์ทั้งปีนี้ ลดลง 7% จากปีก่อน ขณะที่ตลาดคาดปรับลดลง 2% โดยยังคงระมัดระวังภาพรวมในไตรมาส 3 ปีนี้ ที่จะเริ่มรับรู้ผลกระทบภาษีทรัมป์ และธนาคารยังคงประเมินแนวโน้มการปรับลงดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในครึ่งหลังของปีนี้
นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ประเมินแนวโน้มภาพรวมในไตรมาส 3 ปี 2568 ว่า น่าจะยังอ่อนตัวลงจากไตรมาส 2 ปี 2568 จาก NIM ที่ยังลดลงต่อ และสินเชื่อที่หดตัวลง ซึ่งทุกธนาคารน่าจะยังคุมการปล่อยสินเชื่อแบบเข้มงวด ส่วนคุณภาพสินทรัพย์คาดจะเห็นการอ่อนตัวลงต่อเนื่อง และ credit cost น่าจะเพิ่มขึ้น แต่คาดกำไรที่ทำไว้ตอนนี้น่าจะดี และอาจจะมีปรับเพิ่มในบางแบงก์ที่งบออกมาดี
ทางด้านนายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พาย คาดการณ์แนวโน้มหุ้นแบงก์ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ากำไรจะแย่ลงจากภาวะเศรษฐกิจที่จะทรุดตัวจากผลกระทบภาษีทรัมป์ ราคาหุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้น โดยแบงก์ยังมีโอกาสตั้งสำรองมากขึ้นตามแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งต้องประเมินผลกระทบส่งออก และมีผลต่อกำไรแบงก์ สินเชื่อก็ไม่โต มาร์จิ้นก็ลดลง การสำรองหนี้ก็ไม่แน่นอน เหลือทำได้แค่การลดค่าใช้จ่าย
สำหรับภาพรวมทั้งปี คาดว่ากำไรแบงก์จะปรับตัวลดลงประมาณ 1% จากปีที่แล้วที่กำไรเติบโตได้ 9% ซึ่งกำไรในช่วงปี 2568-2569 ประเมินว่าจะค่อนข้างทรงตัวอยู่ระหว่าง 240,000-260,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะผันผวนแค่ไหน แบงก์พาณิชย์ ยังสามารถทำกำไรแม้ว่าจะหดตัวลงบ้าง นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามถึงส่วนต่างของดอกเบี้ยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าเรื่องหนึ่งที่ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ต้องเข้ามาดูแลคือช่วงว่างของดอกเบี้ยนโยบายและดอกเบี้ยเงินฝากที่ห่างกันมาก โดยขอให้พิจารณาลดลงให้ไม่ห่างกันมากเกินไป
ด้าน นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า โจทย์ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ต้องรีบแก้ คืออัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจไทยมีปัญหา ซึ่งเป็นอำนาจของ ธปท.ต้องพิจารณาลดหรือไม่อย่างไร ซึ่งปัจจุบันช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ห่างมาก จุดที่เหมาะสมควรอยู่ตรงไหนจึงขอฝากผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่พิจารณา เพราะผลจากระยะห่างของดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทำให้ธนาคารพาณิชย์ได้กำไรจากส่วนต่างมาก และมากกว่าธนาคารพาณิชย์ประเทศอื่น
การแก้ไขปัญหาส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ถือเป็นข้อเรียกร้องที่มีมาตลอด แต่ยังแก้กันไม่ได้สักที ขณะที่กำไรแบงก์ก็เบ่งบานกันฉ่ำ ๆ