xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เบื้องลึก “คิง เพาเวอร์” ปิด 3 ดิวตี้ฟรีดาวน์ทาวน์ กระทบหนัก AOT หนาวสะท้านกำไรทรุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับถอยหลัง สิ้นเดือนกันยายน 2568 ดิวตี้ฟรีในเมือง จำนวน 3 สาขา ได้แก่  คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ศรีวารี , คิง เพาเวอร์ พัทยา และ คิง เพาเวอร์ มหานคร  จะปิดตัวลง ทำให้ยังคงเหลือดิวตี้ฟรีดาวน์ทาวน์ ที่เปิดให้บริการอยู่เพียง 3 สาขา ได้แก่ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี รางน้ำ, คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี วันแบงค็อก (คิง เพาเวอร์ ซิตี้ บูทีค วันแบงค็อก) และ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ภูเก็ต

การปิด 3 ดิวตี้ฟรีในเมืองนั้น  นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ให้เหตุผลว่า เนื่องจากต้องการปรับโครงสร้างองค์กร ลดต้นทุน และลดจำนวนพนักงานภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์เดินทางมาน้อยลง การแข่งขันทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องวางแผนหาโมเดลธุรกิจใหม่ให้เหมาะสมกับพื้นที่

ในการปรับโครงสร้างองค์กร คิง เพาเวอร์ เปิดโอกาสให้พนักงานทุกสาขาลาออกโดยสมัครใจ พร้อมกับโยกย้ายพนักงานจากดิวตี้ฟรีที่ปิดตัวลงมายังสาขาที่ยังดำเนินธุรกิจ หากพนักงานยังต้องการทำงานต่อ ส่วนพนักงานที่สมัครใจลาออก บริษัทจ่ายชดเชยตามกฎหมายแรงงาน พร้อมกับเงิน on top ที่จะให้เพิ่มให้ตามอายุการทำงาน โดยปัจจุบันคิง เพาเวอร์ มีพนักงานอยู่ประมาณ 8 พันกว่าคน

 นอกจากดิวตี้ ฟรี ในเมือง ที่ต้องลดเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง คิง เพาเวอร์ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือ AOT เรื่องสัญญาดิวตี้ฟรีในสนามบิน 5 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ผู้รับสัมปทานร้านค้าปลอดภาษีหรือดิวตี้ฟรีในสนามบินดังกล่าว ยื่นหนังสือต่อ ทอท. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เพื่อขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาสัมปทาน หรือปรับแก้สัญญาสัมปทานเพื่อให้ธุรกิจของคิง เพาเวอร์ เดินหน้าต่อไปได้ และไม่กระทบกับรายได้ของ ทอท.  

ข้อหารือดังกล่าว ทอท.ได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการบริหารธุรกิจ วิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย คาดว่าจะได้ข้อสรุปประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2568 หลังจากนั้นจะเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป

ระหว่างที่รอผลการศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินงานและบริบททางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทาง ทอท.อนุมัติให้บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ขยายระยะเวลาชำระเงินทั้ง 3 สัญญา ได้แก่ (1) สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (2) สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง และ (3) สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยให้ KPD แบ่งชำระและเลื่อนกำหนดชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำออกไปอีกงวดละ 8 เดือน ดังต่อไปนี้

เดือนมิถุนายน-ตุลาคม 2568 สำหรับสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้า ปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ยกเว้นเฉพาะงวดเดือนมิถุนายน 2568 ให้เลื่อนออกไป 6 เดือน)

เดือนกันยายน-ตุลาคม 2568 สำหรับสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง

เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2568 สำหรับสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานหาดใหญ่

โดย KPD ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8.8440 ต่อปี (MLR+2) ของค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ค้างชำระในแต่ละงวดให้แก่ AOT ทุกเดือน ทั้งนี้ KPD ต้องนำหลักประกันมาวางเพิ่มเติมให้ AOT เป็นจำนวนเงิน 1,450 ล้านบาท (รวมมูลค่าทั้ง 3 สัญญา) เพื่อให้ครอบคลุมยอดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ KPD ได้รับอนุมัติให้เลื่อนชำระพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นหลักประกันทางการเงินของคู่สัญญาในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด

อย่างไรก็ดี AOT ได้ดำเนินการตรวจสอบหลักประกันสัญญาของ KPD แล้ว พบว่า ยังครอบคลุมค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ KPD ขอเลื่อนชำระรวมกับค่าปรับในอัตรา 18% จากการผิดนัดชำระ

หากพิจารณาข้อมูลงบการเงินของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา พบว่าอยู่ในสภาวะลุ่มๆ ดอนๆ ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องมานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 โดยปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 38,544 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 756 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า 60.47%

ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 8,119 ล้านบาท ลดลง 78.94% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้บริษัทขาดทุนสุทธิกว่า 1,833 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราลดลงกว่าปีก่อนหน้าถึง 342.23% อันเป็นผลมาจากวิกฤตโควิด-19

ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,608 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนถึง 80.19% และยังประสบกับการขาดทุนสุทธิ 2,814 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการขาดทุนสุทธิปีก่อนหน้ายังติดลบ 51.59%

ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 17,748 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 1,003% มีกําไรสุทธิอยู่ที่ 3,751 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 189.89% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ปี 2566 รายได้รวม 33,592 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 89.27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่กลับขาดทุน 651 ล้านบาท หรือติดลบ 117.36%
 ส่วนงบการเงินล่าสุด ปี 2567 มีรายได้รวม 40,990 ล้านบาท รายจ่ายรวม 41,290 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 937ล้านบาท 

บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2539 ทุนจดทะเบียน 1,900 ล้านบาท โดยมีนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นผู้ก่อตั้ง
ผลประกอบการของคิง เพาเวอร์ ที่ประสบภาวะขาดทุน ย่อมส่งผลสะเทือนต่อ ทอท. ผู้ให้สัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินและพื้นที่เชิงพาณิชย์สนามบินสุวรรณภูมิแก่ คิง เพาเวอร์

ทั้งนี้ รายงานงบการเงินของ ทอท. 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 - มีนาคม 2568) ระบุว่า รายรับจากกิจการดิวตี้ฟรี มีสัดส่วนประมาณ 35% ของรายได้ทั้งหมดในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 41% ของรายได้ ซึ่งรวมรายได้จากกิจการอื่นด้วย เช่น การจำหน่ายของที่ระลึก อาหารและเครื่องดื่ม บริการอาหารของสายการบิน บริการเติมน้ำมัน ที่จอดรถ โฆษณา และที่ตั้งธนาคาร เป็นต้น




 สำหรับไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2568 ทอท. มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,053.27 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.64% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 5,784.59 ล้านบาท เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ จำนวน 1,200.35 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจร้านค้าปลอดอากรเป็นหลัก 

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/2568 บรรดาโบรกเกอร์หลายสำนัก ต่างคาดการณ์กำไร AOT ชะลอตัวลง อยู่ที่ 3,748-3,830 ล้านบาท ลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เป็นผลจากจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิของ AOT ในไตรมาส 3/68 จะอยู่ที่ 3.83 พันล้านบาท (-16.1% YoY , -24.3% QoQ) คิดเป็น 20.1% ของประมาณการกำไรเต็มปีที่ 1.9 หมื่นล้านบาท (-0.7% YoY) จำนวนผู้โดยสารจะอยู่ที่ 28.8 ล้านคน (-0.3% YoY, -17.2% QoQ) แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 17.1 ล้านคน และ ผู้โดยสารในประเทศ 11.7 ล้านคน จำนวนเที่ยวบิน 187,806 เที่ยว (+3.5% YoY, -10.5% QoQ)

ส่วนรายได้จะอยู่ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท (-5.0% YoY, -13.0% QoQ) ในขณะที่ EBIT margin จะอยู่ที่ 34.0% (จาก 38.4% ในไตรมาส 3/2567 และ 38.8% ในไตรมาส 2/2568) โดยสัดส่วนรายได้จากจากกิจการการบิน และรายได้ที่เกี่ยวกับกิจการการบินในไตรมาส 3/2568 จะอยู่ที่ 49 : 51 ส่วนกำไรจะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบินลดลง หลังเข้าสู่ช่วงที่การท่องเที่ยวชะลอตัวตามฤดูกาล, รายได้จากกิจการที่ไม่เกี่ยวกับการบินลดลง และอัตรากำไรลดลง

ทั้งนี้ กำไรสุทธิในงวด 9 เดือน ปี 2568 จะคิดเป็น 74.7% ของประมาณการกำไรเต็มปี

เคจีไอ จับตา AOT มีโอกาสจะดีขึ้นจากปัจจัย ดังนี้ 1. ได้ข้อสรุปที่ดีเกินคาดจากที่ปรึกษาอิสระ กรณีที่ King Power ขอแก้สัมปทานร้าน duty-free ซึ่งผลศึกษาคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ อาจจะดีกว่าที่คาดเอาไว้ เช่น ปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) ลงจากสัญญาเดิม

2.โอกาสการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสาร (PSC) คิดว่า AOT จะปรับขึ้น PSC สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ, ในประเทศ และผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องในระยะยาว เพื่อสะท้อนถึงการลงทุนในสนามบินต่าง ๆ เช่น สุวรรรณภูมิ, ดอนเมือง และ ภูเก็ต เพื่อให้ได้มาตรฐานระดับโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรของ AOT

ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรปี 2568 และ 2569 โดยอิงจากกรณีเลวร้ายที่สุดเชื่อว่า AOT จะไม่ยกเลิกสัญญากับ King Power และบริษัทจะยังคงได้ค่าสัมปทาน duty-free จาก King Power ต่อไป

นอกจากนี้ คาดว่าจะมีการปรับวิธีคิดค่าสัมปทานจาก minimum guarantee เป็นการเก็บส่วนแบ่งรายได้ที่ 20% สำหรับระยะเวลาช่วงที่เหลือของสัมปทานจากปี 2569 เป็นต้นไป หรือเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 ภายใต้สมมติฐานว่า AOT และ King Power จะยังสามารถทำธุรกิจต่อไปได้ จึงแนะนำให้ “ถือ” AOT ต่อไป

ทางด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 3,755 ล้านบาท (-18% YoY, - 26% QoQ) คาดรายได้ที่ 15,739 ล้านบาท (-4% YoY,- 12% QoQ) แบ่งเป็น รายได้ด้านการบิน 7,892 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อนแต่ลดลง 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว โดยลดลงมากในส่วนของค่าบริการผู้โดยสาร

ส่วนรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบิน อยู่ที่ 7,847 ล้านบาท (-8%YoY, 8%QoQ) ลดลงมากในกลุ่มรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่เกิดจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง และการขอคืนพื้นที่ รวมทั้งการยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้าจากคิง เพาเวอร์

สำหรับจำนวนผู้โดยสารรวมในช่วง 9 เดือน ปี 2568อยู่ที่ 97 ล้านคน (+8%YoY) ขณะที่ AOT ประเมินไว้ที่ระดับ 130 ล้านคน แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันที่การท่องเที่ยวชะลอตัวลง ทำให้คาดว่าตัวเลขดังกล่าวน่าจะไปไม่ถึง ซึ่งจะกระทบกับกำไรในงวดดังกล่าวด้วย แต่ระยะยาวคาด AOT จะได้รับผลดีจากภาคท่องเที่ยวที่เป็นอุตสาหกรรมสำคัญของไทย จึงยังแนะนำให้ “ซื้อ” โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 39 บาท

สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2568 (เมษายน – มิถุนายน 2568) AOT อยู่ที่ 3,750 ล้านบาท ลดลง -18%YoY และ -26%QoQ เนื่องจากรายได้ที่เกี่ยวกับธุรกิจการบิน 7,698 ล้านบาท ลดลง -2%YoY และ -18%QoQ ตามการลดลงของปริมาณผู้โดยสาร และเที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน และลดลง QoQ ตามฤดูกาลที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นส์ของการเดินทาง

ขณะที่รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจการบิน จะอยู่ที่ 7,805 ล้านบาท ลดลง -9%YoY, -8%QoQ จากการโยกรายได้บริการบางส่วนไปรวมในรายได้ค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร และรายได้ Concession ลดลงจากการเรียกคืนพื้นที่บริการบางส่วน และการยกเลิก Inbound Duty Free (ตามนโยบายรัฐบาล) ตั้งแต่กลางปีปฏิทิน 2567 รวม 9 เดือน 2568 (ตุลาคม 2567- มิถุนายน 2568) คาดมีกำไรสุทธิ 14,148 ล้านบาท ลดลง -5%YoY

อย่างไรก็ตาม คาดปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินงวดไตรมาส 4/68 (กรกฎาคม – กันยายน 2568 ) ชะลอตัวต่อเนื่องในช่วงโลว์ซีซั่นส์ นักท่องเที่ยวจีนยังไม่ฟื้นตัว คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2568 อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท (-17%YoY -6%QoQ) ประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 (ตุลาคม 2567-กันยายน2568) คาดไว้ที่ 18,799 ล้านบาท มี Downside ราว -3% โดยจะทบทวนประมาณการอีกครั้งหลัง AOT รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 ช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2568

บล.กรุงศรีฯ คงคำแนะนำ Neutral ราคาเป้าหมายที่ 31.25 บาท ภายใต้สมมติฐานรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ขั้นต่ำจาก King Power ทุกสัญญาที่ 1.2 หมื่นล้านาท เมื่อเทียบกับสัญญาปัจจุบันที่ราว 2.5 หมื่นล้นบาท ซึ่งประเมินว่าเป็นระดับที่ผู้ประกอบการทุกรายสามารถทำกำไรได้ในบริบทสภาวะอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น King Power หรือมีการประมูลใหม่

 การเจรจาธุรกิจระหว่าง AOT กับ คิง เพาเวอร์ มีแต่ต้องหา solution ที่ win – win กันทั้งสองฝ่าย เพื่อฝ่าวิกฤตรอดและรุ่งไปด้วย 


กำลังโหลดความคิดเห็น