ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นคดีที่บาดลึกลงไปในความรู้สึกของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อ “กองทัพไทย” หลังศาลทหารชั้นฎีกาอ่านคำพิพากษา “คดีน้องเมย” หรือ “นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ให้ “จำคุก 2 รุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหาร 4 เดือน 16 วัน แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี” โดยให้เหตุผลว่า “เพราะทั้งคู่ไม่เคยได้รับโทษมาก่อน ดังนั้น ให้ปรับปรุงตัวรับราชการทำประโยชน์ให้ประเทศชาติเสียดีกว่า”
ทันทีที่เรื่องเผยแพร่สู่สาธารณชน ก็มีการตั้งคำถามตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความลักลั่นในรั้ว “โรงเรียนเตรียมทหาร”ว่า เพาะบ่มวัฒนธรรมอำนาจนิยม การปกปิดให้ลอยนวลพ้นผิด ตลอดจนมาตรฐานการตัดสินคดีของ “ศาลทหาร” สะท้อนเห็นชัดเจนว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตไม่ได้รับความเป็นธรรม และพลเรือนไม่สามารถต่อสู้คดีในศาลทหารได้
-1-
กล่าวสำหรับคดีของ “นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” หรือ “น้องเมย” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นปีการศึกษา 2560 เป็นผลมาจากการที่ “น้องเมย” ถูกรุ่นพี่สั่งธำรงวินัยก่อนจะเสียชีวิต เกิดขึ้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2560 ขณะศึกษาอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร โดยใบมรณะบัตรระบุเพียงว่าเกิดจาก “ภาวะหัวใจล้มแล้วเฉียบพลัน” อีกทั้งผลสอบของกองทัพไทยเกี่ยวกับปมการเสียชีวิตกลับให้หนักในเรื่อง “ปัญหาสุขภาพ” ตามคำให้การและคำบอกเล่าของคนในโรงเรียนเตรียมทหาร
ขณะเดียวกัน นางสุกัลยา และ นายพิเชษฐ์ ตัญกาญจน์ พ่อแม่ของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย ยืนยันว่าเป็นการเสียชีวิตที่ผิดปกติ จนนำไปสู่การนำร่างซึ่งพบรอยฟกช้ำทั่วร่างกายส่งผ่าพิสูจน์รอบ 2 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม หลังผลการผ่าพิสูจน์ในรอบแรกของสถาบันพยาธิวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สร้างเกิดความเคลือบแคลงใจอย่างมาก
ผลการผ่าพิสูจน์รอบ 2 พบว่าอวัยวะสำคัญทั้ง สมอง,ปอด และอวัยวะสำคัญหลายส่วนหายไป โดยไร้ซึ่งคำอธิบายได้ว่าทำไมอวัยวะบางส่วนจึงหายไปหลังการชันสูตร
กระทั่ง กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากสังคมและเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง โดยทางครอบครัวน้องเมยเดินหน้าฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องในหลายคดี ด้วยหวังที่จะเรียกร้องความยุติธรรมคืนศักดิ์ศรีให้กับบุตรชายผู้ล่วงลับ
สำหรับข้อเท็จจริงเบื้องลึก “น้องเมย” เกี่ยวข้องกับการถูกรุ่นพี่สั่งธำรงวินัย หรือ ถูกซ่อม หลังเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหาร ในฐานะนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 รุ่นปีการศึกษา 2560 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ตามรายงานเปิดเผยว่า 23 สิงหาคม 2560 ถูกรุ่นพี่สั่งให้ปักหัวลงพื้นห้องน้ำตอนกลางดึก จนต้องเข้าโรงพยาบาลภายในโรงเรียน หลังจากนั้นผ่านมาเพียง 7 วัน ถูกสั่งให้วิ่งและฝึกอย่างหนัก ส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ และกลางดึกของคืนวันที่ 15 ตุลาคม 2560 น้องเมยและเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารอีก 2 คน ถูกปลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อธำรงวินัยด้วยการยึดพื้นในห้องพัก
ตามข้อมูลชัดเจนว่าถูกซ่อมอย่างต่อเนื่อง และยังไม่พบเพียงเท่านั้น ในวันที่ 16 ตุลาคม 2560 น้องเมยถูกสั่งให้พุ่งหลังจนฟุบลงและมีอาการหายใจถี่ กระทั่ง 17 ตุลาคม 2560 ถูกซ่อมอีกครั้งจนหมดสติก่อนถูกนำตัวส่งห้องพยาบาล และแม้มีความพยายามกู้ชีพแต่ก็ไม่อาจยื้อชีวิต กระทั่ง ทางโรงเรียนแจ้งข่าวร้ายกับทางครอบครัวตัญกาญจน์ว่าบุตรชายเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
สำหรับชนวนเหตุรุ่นพี่สั่งธำรงวินัยจนเสียชีวิต เกิดจากขึ้นบันไดต้องห้ามของนักเรียนเตรียมทหารชั้นที่ 1 อ้างอิงจากบันทึกการสอบปากคำ "รุ่นพี่ 2 คน" ตอนหนึ่งระบุว่า “ปัญหาของภคพงษ์คือบุคลิกที่ไม่เหมือนคนอื่น เวลาฝึกบอกอะไรเข้าใจยาก เช่น ได้สั่งการ แต่ก็ทำผิดถึง 3 ครั้ง คือแพรแถบหาย เจ็บขาแต่ไม่ได้แจ้งเหตุ และอีกเรื่องคือปัญหาการใช้บันได”
สำหรับบันทึกคำให้การ “รุ่นพี่คนที่ 1” ระบุว่า เคยพาภคพงษ์ขึ้นบันไดที่ห้ามนักเรียนชั้นปีที่ 1 ใช้ มาทราบในเช้าวันรุ่งขึ้นว่า ภคพงษ์หยุดหายใจ พร้อมกับยังให้การว่า อนุญาตให้ภคพงษ์ใช้บันไดแล้ว แต่คนอื่นอาจไม่ทราบว่าอนุญาตแล้ว
ขณะที่ คำให้การของ “รุ่นพี่คนที่ 2” ว่ามีการทำโทษภคพงษ์ โดยภคพงษ์เป็นคนกำหนดเวลาทำโทษเอง มีการทำโทษที่ห้องน้ำนายทหารเก่า ด้วยท่าหัวปักสลับกับท่าเตรียมตัวดันพื้นกำหมัด อย่างไรก็ตามระหว่างทำโทษภคพงษ์มีอาการไม่พอใจ ไม่ทำตามคำสั่ง จึงสั่งให้ทำหัวปักตะแกรงน้ำ ให้รู้ว่าถ้าทำท่านี้อีกจะโดนท่านี้ ใช้เวลา 30 นาที ตอนสุดท้ายได้ทำท่าหัวปัก แล้วก็ม้วนหน้าไปเองแล้วก็เกิดชัก
คำให้การของรุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหารยังระบุด้วยว่า บันไดมีทั้งสิ้น 3 ทาง โดย “คอมแมน” หรือ “นักเรียนบังคับบัญชา” สามารถใช้ได้ทุกทาง แต่นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 จะใช้ทางขวาสุดเพียงทางเดียว พร้อมกับยอมรับว่าท่าหัวปักเป็นท่าที่ไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ภคพงษ์เป็นผู้กำหนดเวลาเอง ส่วนการเลือกใช้ห้องน้ำเป็นสถานที่ลงโทษนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และเวลาที่ลงโทษราว 23.20 น. ก็เป็นเวลานอนแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างหนัก โดยเฉพาะกฎที่ถูกตั้งโดยคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร เสมือนโรงเรียนเตรียมทหารคือสถานที่ปมเพาะวัฒนธรรมอำนาจนิยม ปลูกฝังการใช้ความรุนแรงในสถาบันเป็นสิ่งชอบธรรม ตลอดจนถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดพยายามปกปิดทำลายหลักฐานในคดีหรือไม่?
ทั้งนี้ “ครอบครัวของ นตท.ภคพงศ์” ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้มีการดำเนินคดีกับ “นักเรียนเตรียมทหารพิพจน์ (สงวนนามสกุล)” และ “นักเรียนเตรียมทหารภูมิพัฒน์ ( สงวนนามสกุล)” ในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ “ว่าที่ร้อยตรี ปิยพงศ์ (ครูฝึก)” ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายในคดีอาญา โดยคดีอยู่ภายใต้การพิจารณาของศาลทหาร เนื่องจากจำเลยทั้งหมดเป็นบุคลากรทางทหารและเหตุเกิดในเขตอำนาจศาลทหาร
กระทั่งเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ศาลทหารสูงสุด มีคำพิพากษาชั้นฎีกา โดยพิพากษาให้ยืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ จำเลยมีความผิดทำร้ายร่างกาย ทำโทษโดยฝ่าฝืนคำสั่งกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทันทีนั้น ศาลเห็นว่า “ด้วยอายุจำเลย ไม่เคยได้รับโทษ การจะลงโทษจำเลยไป ก็ไม่เป็นประโยชน์ ให้จำเลยปรับปรุงตัว รับราชการ รับใช้ชาติต่อไป จะเป็นประโยชน์มากกว่า” โทษจำคุกรุ่นพี่ 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี
“นายพิเชษฐ์ - นางสุกัลยา ตัญกาญจน์” พ่อและแม่ของน้องเมย เปิดใจสั้นๆ ต่อคำพิพากของศาลทหารสูงสุด “ไม่โอเคแต่ไม่ก้าวล่วงคำสั่งศาล” และอย่างไรก็ตามจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อความชอบธรรม โดยจะดำเนินคดีทางแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากบุคคลที่กระทำผิดซึ่งเป็นคนละส่วนกับคดีอาญา
ทั้งนี้ อยู่ระหว่างหารือกับทีมทนายความเพื่อกำหนดวงเงินค่าเสียหายให้เหมาะสมกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยสาระสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องเงินแต่คือความสูญเสียของลูกชายซึ่งไม่มีอะไรมาทดแทนได้ โดยการต่อสู้มาตลอด 80 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวได้รับเพียงค่าทำศพ 100,000 บาทเท่านั้น และยังเก็บไว้ไม่ได้นำมาใช้
นอกจากนั้น ประเด็นที่กำลังถูกจับตาไม่แพ้กันก็คือ หนึ่งในผู้ก่อเหตุขณะนี้ **“รับราชการตำรวจ”** ปัจจุบันรับราชการตำรวจในภาคอีสาน เกิดคำถามแม้กระทำผิดมีคดีอาญาติดตัวก็สามารถเติบโตในหน้าที่การงานอย่างนั้นหรือ? โดยทางครอบครัวตัญกาญจน์เรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแสดงความชัดเจนเกี่ยวกับดำเนินการกับข้าราชการตำรวจที่ศาลชี้ว่ากระทำความผิด เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ตรวจสอบทางวินัยกับรุ่นพี่ที่ยังคงรับราชการเป็นตำรวจอยู่ในปัจจุบัน
ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐเปิดเผยว่าขณะที่เกิดเหตุคู่กรณีรายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจปี 2565 การดำเนินการทางวินัยจะดำเนินได้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีถือว่าอยู่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย
อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาตินำไปประกอบการพิจารณา เนื่องจากวินัยและอาญาจะสามารถเชื่อมกันได้ในข้อเท็จจริงบางส่วน นอกจากนี้ จะประสานกับกองทัพไทยเพื่อนำข้อมูลของคู่กรณีรายนี้มาพิจารณาทางวินัยตำรวจเพื่อดำเนินการได้ตามระเบียบต่อไป
-2-
จากคดีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ถูกรุ่นพี่สั่งธำรงวินัยจนเสียชีวิตในรั้วโรงเรียนเตรียมทหารนั้น กำลังเกิดคำถามต่อมาตรฐานการตัดสินคดีของ “ศาลทหาร” เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับคำพิพากษาที่บอกว่า “ด้วยอายุจำเลย ไม่เคยได้รับโทษ การจะลงโทษจำเลยไป ก็ไม่เป็นประโยชน์ ให้จำเลยปรับปรุงตัว รับราชการ รับใช้ชาติต่อไป จะเป็นประโยชน์มากกว่า”
ตรงนี้ เป็นประเด็นที่น่าสนใจก็เพราะจำเลยทั้งหมดเป็นบุคลากรทางทหารและเหตุเกิดในเขตอำนาจศาลทหาร นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่พลเรือนไม่สามารถต่อสู้คดีในศาลทหารได้ กระทั่งทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตไม่ได้รับความเป็นธรรม
ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่าการต่อสู้คดีในศาลทหารทำให้ครอบครัวตัญกาญจน์ไม่สามารถตั้งทนายความสู้คดีได้ ต้องใช้อัยการมาช่วยในการต่อสู้คดี ในขณะที่จำเลยกลับได้รับสิทธิในการแต่งตั้งทนายความสู้คดีได้
ประการสำคัญ มองว่าคดีที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับการธำรงวินัยแต่อย่างใด โดยวิเคราะห์จากสภาพร่างกายบอบช้ำของภคพงศ์บ่งชี้ว่าไม่ใช่เรื่องของการธำรงวินัย ธำรงวินัยคือส่วนของการฝึกก็ยังพอทำเนา แต่กรณีนี้เป็นเรื่องของรุ่นพี่ดำเนินการ และจากข้อเท็จจริงภคพงศ์ถูกสั่งให้ฝึกโดยรุ่นพี่จนบาดเจ็บ และเข้าใจว่าเรื่องของการขึ้นบันไดเป็นผลของการทำร้ายมากกว่าทำร้ายทางวินัยตามขอบเขตของการฝึก
นอกจากนี้ กรณีที่อวัยวะบางส่วนที่หายไป สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ถึงอาการบาดเจ็บจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอาการเจ็บป่วย สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นการปกปิดให้การช่วยเหลือหรือบิดเบือนหลักฐานทำให้ความยุติธรรมบิดเบี้ยว
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เทียบเคียง “คดีน้องเมย” หรือ “นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” นักเรียนเตรียมทหาร อายุ 18 ปี เปรียบเทียบกับกรณีของ “พลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล” ทหารเกณฑ์ อายุ 18 ปี ที่ถูกครูฝึกค่ายนวมินทร์ ชลบุรี ซ่อมวินัยจนเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นคดีแรกหลังจากกฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ บังคับใช้
ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ได้อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2568 ตัดสินจำคุก ครูฝึกคนที่ 1 ที่ทำร้ายร่างกาย อยู่กับผู้ตายคนสุดท้าย 20 ปี ครูฝึกคนที่ 2 จำคุก 15 ปี พลทหารรุ่นพี่ 11คน ที่เป็นผู้ช่วยครูฝึก จำคุกคนละ10 ปี
จะเห็นว่าผลคำพิพากษาแตกต่างกับคดีน้องเมยเป็นอย่างมาก ที่ให้คุก 4 เดือน 16 วัน และให้จำเลยรับใช้ชาติต่อ ดังนั้น การมี พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ทำให้คดีทหารที่เกี่ยวกับการซ้อมทรมานถูกย้ายจากศาลทหาร มาอยู่ภายใต้การพิจารณาของศาลพลเรือน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลคดีออกมาแตกต่างกันอย่างชัดเจนดังนั้น หากมีการนำตัวจำเลยในคดีน้องเมายมาขึ้นคดีขึ้นศาลอาญาบทสรุปของคดีย่อมเปลี่ยนไป
ถามว่าทำไม “คดีพลทหารวรปรัชญ์” กับ “คดีน้องเมย” ผลต่างกันลิบลับ คำตอบคือ 1. กฎหมายคนละฉบับ : พลทหารวรปรัชญ์ (ปี 2567 ) : คดีเกิดหลัง พ.ร.บ. ป้องกันการซ้อมทรมานฯ ปี 2565 มีผลบังคับใช้ ทำให้คดีถูกพิจารณาตามกฎหมายนี้ น้องเมย (ปี 2560) : คดีเกิดก่อน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทำให้ไม่ได้ใช้กฎหมายนี้ในการพิจารณา
2. ขึ้นศาลคนละประเภท : พลทหารวรปรัชญ์ : คดีถูกนำขึ้นสู่ “ศาลอาญา”(ศาลพลเรือน) ซึ่งผู้พิพากษาเป็นนักกฎหมายมืออาชีพ และเป็นอิสระจากกองทัพส่วน น้องเมย : คดีถูกนำขึ้นสู่ "ศาลทหาร" ซึ่งผู้พิพากษาเป็นนายทหาร ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องความเป็นกลางและหลักการยุติธรรม
3. คุณสมบัติผู้พิพากษา : ศาลอาญา : ผู้พิพากษาต้องจบกฎหมายและมีประสบการณ์ ทำให้มีความเชี่ยวชาญ ส่วนศาลทหาร : ผู้พิพากษาอาจไม่จำเป็นต้องจบนิติศาสตร์ และมักเป็นทหารด้วยกันเอง ทำให้สาธารณชนตั้งคำถามถึงความเที่ยงธรรม
ดังนั้น หลักการสูงสุดในการแก้ไขปัญหาแบบ End Game ต้องแก้ไขปัญหาด้านกฎหมายให้ทหารที่กระทำการทุจริตในทุกคดีในทุกกรณีขึ้นศาลอาญาทุจริต การทำร้ายการทารุณกรรมในค่ายทหารในหลายกรณีไม่ใช่การธำรงวินัย หลายกรณีมาจากการที่ทหารคนหนึ่งไม่สยบยอมกับกระบวนการทุจริตในกองทัพไม่สยบยอมกับการประพฤติมิชอบ พอฝืนระบบไม่ร่วมขบวนการด้วยก็ถูกกลั่นแกล้งด้วยวิธีการต่างๆ นานา จนสุดท้ายถึงขั้นทารุณกรรมถึงบาดเจ็บหนักและถึงขั้นชีวิต เข้าข่ายความผิดฐานทารุณกรรมและซ้อมทรมาน
นอกจากนี้ นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการ กมธ. เปิดเผยว่าขณะนี้ศาลทหารกำลังถูกตั้งคำถามเรื่องโทษไม่ได้สัดส่วน และกระบวนการยุติธรรมที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้ต่อสู้ในกระบวนการพิจารณาของศาลทหาร โดยเป็นผลมาจากพระธรรมนูญศาลทหารที่มีปัญหาหลัก คือ ไม่เปิดให้สิทธิ์ผู้เสียหายที่เป็นราษฎรสามารถฟ้องทหารได้ ต้องไปฟ้องผ่านอัยการทหาร ซึ่งก็มีผู้คัดกรอง แม้กระทั่งจะเป็นโจทก์ร่วมยังไม่ได้
ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวของ พรรคประชาชน และ คณะ กมธ.ทหาร ในการผลักดันการแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เพื่อให้เกิดความยุติธรรมขึ้นอย่างแท้จริง อาทิ เปิดสิทธิ์ให้ผู้เสียหายสามารถเข้าเป็นโจทก์ในคดีของศาลทหารได้ ดำเนินการให้ศาลทหารเป็นอิสระจากอำนาจฝ่ายบริหาร สร้างกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลให้ได้สิทธิเท่าเทียมเหมือนศาลพลเรือน เป็นต้น