xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อวสาน “ฮุน เซน” กาสิโนเจ๊ง ก่อสงคราม คนเขมรทุกข์ยาก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุด รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การบัญชาการของ “ฮุน เซน” ก็ตัดสินใจเปิดฉากก่อสงครามโดยเปิดปฏิบัติการใช้กำลังทางทหารในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม

ฝ่ายกัมพูชาเริ่มต้นด้วยการส่งอากาศยานไร้คนขับ (UAV) บินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม จากนั้นได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม พร้อมเปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติหมูป่า ซึ่งตั้งอย่างทางทิศตะวันออกปราสาทตาเมือน 200 เมตร

เป็นการเปิดฉากการรบด้วย “ความตั้งใจ” เพราะเมื่อดูจาก “ยุทธวิธี” จะเห็นว่าผ่านการวางแผนมาแล้วล่วงหน้า ซึ่งบริเวณ “ฐานปฏิบัติการหมูป่า” นั้น กำลังทหารไทยมีน้อยกว่าที่ปราสาทตาเมือนธม ไม่ได้บุกขึ้นมาทางปราสาทตาเมือนธมเนื่องจากเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์เพราะทหารไทยอยู่ในพื้นที่ที่สูงกว่า

หลังเสียงปืนแตก ทหารกัมพูชาที่เตรียมกำลังเอาไว้ตลอดแนวชายแดนก็ระดมยิงอาวุธสงครามหนัก โดยเฉพาะจรวด BM-21 และอาวุธสงครามยิงเข้าใส่ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นปราสาทโดนตวล จ.ศรีสะเกษ ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พยายามรุกกล้ำพื้นชายแดนบริเวณปราสาทตาควาย และระดมยิงใส่บ้านเรือนประชาชน สถานีบริการน้ำมัน รวมถึงโรงพยาบาลพนมดงรัก จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย

เรียกว่า เกิดการปะทะขยายวงกว้างทั้งในพื้นที่ จ.สุรินทร์ จ.อุบลราชธานี จ.บุรีรัมย์ และ จ.ศรีสะเกษ

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไม “ฮุน เซน” ถึงตัดสินใจเปิดฉากทำสงครามกับไทย พร้อมบัญชาการรบด้วยตนเอง?

คำตอบก็คือ “ฮุน เซน” ไม่มีทางเลือก เพราะรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีผู้เป็นลูกชาย รวมถึงตัวเขาเองกำลังตกอยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคงทางการเมืองอย่างรุนแรง จนอาจกระเทือนถึงการสิ้นสุดอำนาจของตระกูลฮุนที่ลงหลักปักฐานมาอย่างยาวนานได้


 ทั้งนี้ หลังจากกองทัพดำเนินการควบคุมการเปิดปิดด่านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำกัดคนและเวลาการเข้าออก และรัฐบาลเปิดการเพื่อตัดแขนขาขบวนการคอลเซ็นเตอร์และแก๊งสแกมเมอร์ที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติใหญ่อยู่ในดินแดนกัมพูชา ลามมาถึง “เครือข่ายก๊กอาน” สมุนของฮุน เซนในประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินการคลังของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะต้องไม่ลืมว่า สัดส่วนรายได้ของประเทศกัมพูชามาจากกิจการเหล่านี้เกินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยไป

ขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อ “กระเป๋าเงินตระกูลฮุนและเครือข่าย” อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ด้วยเป็นที่รับรู้ว่า “กาสิโน-แก๊งคอลเซ็นเตอร์-แก๊งสแกมเมอร์” ซึ่งถูกส่งต่อไปที่ “ตระกูลฮุน” และวงศ์วานว่านเครือ หดหายไปอย่างถนัดใจ

ขณะที่การประกาศเรียก “แรงงานกัมพูชา” กลับประเทศ ก็ซ้ำเติมสถานการณ์ภายในประเทศให้ย่ำแย่ไปหนักกว่าเก่า มีรายงานว่า มีชาวกัมพูชามากกว่า 53,000 คนที่ทำงานในไทย ได้เดินทางกลับมาตุภูมิ นับตั้งแต่มีคำร้องขอจากรัฐบาล ทว่า มีเพียง 13,500 คน ที่ได้รับการจ้างงานภายในประเทศ

Khun Tharo ผู้จัดการฝ่ายโครงการของศูนย์สมาพันธ์แรงงานและสิทธิมนุษยชนกัมพูชาในไทย เคยให้สัมภาษณ์กับคิริโพสต์ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนว่า แรงงานกัมพูชาในไทยจะมีรายได้ต่อเดือนราวๆ 307 ดอลลาร์ ถึง 364 ดอลลาร์(9,900 บาท ถึง 11,800 บาท) ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในกัมพูชานั้นต่ำกว่านั้นเท่าตัว โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีค่าจ้างสูงก็คือ ภาคอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เพราะเพิ่งถูกปรับเพิ่มเป็น 208 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือราว 6,700 บาท ส่วนภาคอื่นๆไม่ได้กำหนดค่าแรงขั้นต่ำอย่างเจาะจง

นอกจากนี้ ค่าครองชีพของคนกัมพูชาก็ขยับสูงขึ้นกว่าค่าแรงที่ได้รับ อันเป็นผลมาจากมาตรการตอบโต้ที่รัฐบาลฮุน มาเนต ตอบโต้รัฐบาลไทย ทั้งการค้าการขายตามแนวชายแดนที่หยุดชะงักลง สินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพง รวมถึงราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้นหลังรัฐบาลกัมพูชาประกาศไม่นำเข้าน้ำมันจากไทย เป็นต้น

ที่น่าสนใจก็คือ มีรายงานด้วยว่า ภาวะข้าวยากหมากแพงที่ส่งผลกระทบตั้งแต่ระดับเศรษฐีไปจนกระทั่งถึงชาวบ้านร้านตลาด ทำให้กระแสความไม่พอใจแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง และมีคำยืนยันว่า เกิดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลขึ้น แต่มีการปกปิดข้อมูลไม่ให้เล็ดลอดออกมาด้วยทั้งสื่อและระบบการสื่อสารภายในประเทศล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในมือของ “ตระกูลฮุนและคนใกล้ชิด”

ดังนั้น หนทางเดียวที่จะฟื้นคะแนนนิยมของ “ตระกูลฮุน” ให้กลับมาได้ก็คือ “การก่อสงคราม” ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีหลักฐานยืนยันชัดแจ้งว่า “ฮุน เซน” ใช้วิธีการนี้มาตลอด โดยเฉพาะในช่วงใกล้มีการเลือกตั้ง

ขณะเดียวกันก็ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมหลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดครั้งที่ 2 และ “แม่ทัพกุ้ง-พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ลงนามในคำสั่งปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่รับผิดชอบทั้งหมด และสถานที่ท่องเที่ยวปราสาทตาเมือนธม-ตาควาย ตั้งแต่ 24 กรกฎาคมเพื่อเป็นการตอบโต้ ตามต่อด้วยการที่รัฐบาลไทยตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ และส่งตัวเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับไปยังกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาจึงไม่ยี่หระสักเท่าไหร่ แถมกระทรวงกลาโหมกัมพูชายังแถลงข่าวโต้ทันควันว่าไทยต่างหากที่เป็นฝ่ายรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา โดยระบว่าพื้นทีตรงนั้นยังมีระเบิดหลงเหลือ และเคยเตือนแล้วให้หลีกเลี่ยง




 ส่วนตัว “นายฮุน ซาเรือน” เอกอัครราชทูตไทย ที่ถูกไล่กลับประเทศ ก็ “ปากแจ๋ว” ผิดวิสัยนักการทูต ด้วยการโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “หลังจากผมกลับแล้ว หวังว่าท่านและพวกยังอยู่นะครับ บริหารแบบใช้อารมณ์เช่นนี้ ไม่รู้ได้กี่น้ำ” ตามต่อกระทรวงสารสนเทศกัมพูชาที่ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยลงสู่ระดับต่ำสุด โดยให้เหลือเพียงเจ้าหน้าที่การทูตระดับเลขานุการที่สอง พร้อมทั้งเรียกตัวเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานทูตกัมพูชาในกรุงเทพฯ กลับประเทศ และกำหนดให้เจ้าหน้าที่การทูตของไทยออกจากกัมพูชาด้วยเช่นกัน

เสมือนมีการคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่า จะเกิดเหตุดังกล่าว และในที่สุดก็มีคำสั่งให้ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทยที่ฐานปฏิบัติการหมูป่า ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธมไปราว 200 เมตร ก่อนที่จะขยายแนวรบออกไปในหลายพื้นที่และนำมาซึ่งความสูญเสียของพลเรือนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จำนวนมาก

ตัดภาพกลับมาที่สถานการณ์ภายในประเทศไทย ซึ่งก็ต้องบอกว่า มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน ชนิดที่ถ้าจะใช้คำว่า “เต็มไปด้วยความลับ ลวง พราง” ก็คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงเท่าใดนัก

เริ่มจากปัญหาในเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลหลังจากมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง “แพทองธาร ชินวัตร” และ “ฮุน เซน” จนศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคดีได้วินิจฉัยพร้อมมีคำสั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และจำต้องให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน จนทำให้การจัดการกับปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาดำเนินไปอย่างล่าช้าและนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์

กล่าวคือ ยังไม่ทันที่นายภูมิธรรมในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี จะมีมาตรการตอบโต้รัฐบาลกัมพูชาอย่างสาสมหลังทหาร 4 นายได้รับบาดเจ็บจาก “ทุ่นระเบิด” และมีพลทหาร 1 รายต้องสูญเสียขาในครั้งแรก ก็มีเหตุการณ์อันเศร้าสลดเกิดขึ้นซ้ำรอยเป็นครั้งที่สอง

เหตุการณ์ที่คนไทยใช้คำว่า “หมาลอบกัด” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ในพื้นที่ช่องอานม้า ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งส่งผลทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ได้แก่ 1. จ่าสิบเอก พิชิตชัย บุญชูหล้า 2. พลทหาร พิสิฐ เสนาสี 3. พลทหาร ศุภกิจ พงษ์ไทย 4. พลทหาร เสกสรรค์ ลุนจักร 5. พลทหาร จักรกฤษ บุตรเต

โดย 1 ใน 5 คือ จ่าสิบเอก พิชิตชัย ต้องสูญเสียขาขวาไปจากเหตุการณ์ครั้งนี้

ที่สำคัญคือ ทั้งสองครั้ง กองทัพบกยืนยันว่า เกิดขึ้นในดินแดนอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย


 หลังทหารเหยียบกับระเบิดครั้งแรก รัฐบาลไทยทำได้แค่ “ประท้วง ประท้วง และประท้วง” โดยพยายามแสดงให้ชาวโลกเห็นว่ากัมพูชาละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาในเรื่องการวางทุ่นระเบิด มิได้มีมาตรการเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นประการใด

แถมในระหว่างนั้น กระทรวงกลาโหมที่เวลานี้มี “บิ๊กเล็ก-พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” รัฐมนตรีช่วยว่าการ “สายตรงลุงตู่” ก็ยังตัดสินใจเปิดด่านชายแดนในจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ตราด ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของ “พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1” อีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับการตอบโต้กับกัมพูชา

แม้จะอ้างว่า เพื่อแก้ปัญหาการค้าชายแดน แต่ต้องบอกตรงๆ ว่าเป็นการกระทำที่ถูกมองว่า ต้องการทอดไมตรีไปยังรัฐบาลกัมพูชาเสียมากกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่า เป็นความพยายามที่จะสร้างกระแสเพื่อดิสเครดิต “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีความชัดเจนในการตอบโต้กัมพูชาในการเปิดปิดด่านชายแดนภายใต้ขอบเขตอำนาจหรือไม่ อย่างไร

ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า เป็นผลมาจาก “ศึกชิงอำนาจภายในกองทัพ” หรือไม่ เพราะมีความแปร่งปร่าอย่างผิดสังเกต ด้วยก่อนหน้านี้ก็เกิดกรณีเก้าอี้“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย “เว้นวรรค” เอาไว้จนสร้างความฉงนสงสัยให้กับคนไทยทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นตำแหน่งสำคัญในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานกับสถานการณ์ด้านบูรพทิศกับกัมพูชา จนเป็นที่มาของการไปขุดค้นเรื่อง “ดีลลังกาวี” อันอื้อฉาวในช่วงก่อนหน้านี้

เพราะคนที่จะมาเป็น “ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ตามคำยืนยันที่ตรงกันก็คือ “บิ๊กแก้ว- พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์” ที่เวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับ “พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ที่เกาะลังกาวี ในช่วงเวลาที่บังเอิญอย่างร้ายกาจกับที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ไปปรากฏกายอยู่ที่นั่นพอดิบพอดี






 ดังนั้น เมื่อนำเหตุการณ์มาเชื่อมโยงกัน จึงไม่แปลกใจที่สังคมพากันตั้งข้อสงสัยถึงความสัมพันธ์อันพิเศษระหว่าง พล.อ.ณัฐพล ซึ่งเป็นสายตรงลุงตู่ กับ พล.อ.เฉลิมพล สายตรงบิ๊กแดง ว่ามีอะไรในกอไผ่หรือไม่ อย่างไร รวมทั้งจะเชื่อมโยงกับการเปิดด่านด้านชายแดนภาคตะวันออก ตลอดรวมถึงการจัดแถวอำนาจภายในกองทัพบกมากน้อยแค่ไหน

แถมที่ผ่านมายังมีความพยายามที่จะดิสเครดิต “พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผู้บัญชาการทหารบก ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกันในหลากหลายช่องทาง เหมือนต้องการให้อำนาจกลับไปอยู่ในมือ “เครือข่ายอำนาจเก่า” อย่างไรอย่างนั้น

สำหรับในส่วนของรัฐบาลนั้น หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็น “ครั้งที่ 2” รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและบรรดาพรรคร่วมก็ยังทำงานอย่างเชื่องช้า เพราะแทนที่จะ “เทกแอ็กชั่น” ในฉับพลันทันทีกลับทอดเวลาออกไป กระทั่งฝ่ายกัมพูชาก็เปิดฉากสงครามขึ้นก่อนและนำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยจำนวนมาก

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของนายภูมิธรรมไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเป็นระยะๆ เพื่อสื่อสารกับประชาคมโลกที่เฝ้าจับตาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายภูมิธรรมเองให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในช่วงเช้าเล็กน้อย โดยบอกว่า ทุกอย่างจะมีบทสรุปหลังประชุม “สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)” ในช่วงบ่าย

หลังประชุม สมช.และครม.นัดพิเศษจบลง นายภูมิธรรมในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ประกาศชัดว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การประกาศสงคราม เป็นแค่การปะทะกัน โดยไทยยืนยันหลักการว่า ต้องใช้สันติวิธีไม่ใช้ความรุนแรง และต้องใช้การพูดคุยกันในการแก้ไขปัญหา ซึ่งการปฏิบัติการจะให้ยุติโดยเร็วที่สุด

… ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่บทอวสานของ “ทักษิณ ชินวัตร” และตระกูลชิน” เพราะยิ่งเกิดเหตุปะทะกับกัมพูชา คะแนนนิยมของรัฐบาลก็ยิ่งตกต่ำลงไปกว่าเดิมอีก ด้วยเห็นชัดแจ้งว่า ปฐมบทของความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยนั้น มีที่มาจากความขัดแย้งของ 2 ตระกูลที่แตกหักกันในเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว

แต่ที่แน่ๆ คือ มีความเป็นไปได้สูงที่จะถึงจุดจบของ “ตระกูลฮุน” เพราะผลพวงของการเปิดสงครามชายแดนกับราชอาณาจักรไทย จะยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ภายในประเทศกัมพูชาดำดิ่งลงไปกว่าเก่าอีกหลายเท่า ด้วยประชาชนชาวกัมพูชาต้องรับกรรมจากภาวะข้าวยากหมากแพงที่ปกคลุมไปทั่วประเทศชนิดที่มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ ไหนจะสถานะทางการคลังของประเทศที่ร่อยหรอลงไปทุกที จากรายได้ก้อนมหึมาที่สูญหายไปจากกาสิโน รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มาทำสงครามกับไทย แถมยังสร้างเฟกนิวส์เพื่อหลอกลวงคนกัมพูชาอีกต่างหาก

โปรดติดตามอย่างไม่กระพริบตา.




กำลังโหลดความคิดเห็น