xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่ายุทธการตี “หนู” ดูด “งูเห่า” วัดพลัง “ดีลพิเศษ” จะ “เอาอยู่” มั้ย?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จาก “ยุทธการไล่หนู ตีงูเห่า” ที่พรรคเพื่อไทยภายใต้คำบัญชาการของ “ทักษิณ ชินวัตร” นำมาใช้ในช่วงของการเลือกตั้งที่จังหวัดศรีสะเกษ วันนี้ได้ยกระดับความรุนแรงกลายเป็น “ยุทธการตีหนู ดูดงูเห่า” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ยุทธการตีหนู” อันหมายถึงปฏิบัติการเพื่อจัดการกับ “ค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย” นั้น ดำเนินต่อเนื่องนับตั้งแต่ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคนำลูกทีมถอนจากการเป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” หลังจากไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะยก “กระทรวงมหาดไทย” ให้กับพรรคเพื่อไทย โดยอาศัยจังหวะที่เกิดกรณีคลิปการสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตรกับฮุน เซน เป็นจุดแตกหักเพื่อเรียกคะแนนนิยมให้กับพรรคตัวเอง

ปฏิบัติการแรกที่เกิดขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วคือ คำสั่งของ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เด้ง “2 อธิบดีค่ายสีน้ำเงิน” คือ คือ “นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” อธิบดีกรมการปกครอง ที่เหลืออายุราชการเพียง 2 เดือน ไปเข้ากรุผู้ตรวจราชการ พร้อมให้ “นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองแทน

เป็น “นิรัตน์” ที่ “นายใหญ่” ให้การสนับสนุน และเคยส่ง “จดหมายน้อย” ไปถึง “เสี่ยหนู” ให้ขึ้นชั้น “อธิบดี” เมื่อปี 2567 แต่ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ ตีตกไปตามระเบียบ

ส่วน “นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์” อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ก็เด้งเข้ากรุผู้ตรวจราชการเช่นกัน โดยให้ “ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์” ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแทน

อย่างไรก็ดี นอกจาก 2 เก้าอี้สำคัญแล้ว ในเร็วๆ นี้ “มท.อ้วน” จะจัดแถวครั้งใหญ่ในกระทรวงมหาดไทยเพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงตามที่ “นายใหญ่” ผู้ปรารถนาจะได้กระทรวงนี้มาครอบครองว่าไว้ จนเป็นเหตุให้แตกหักกับ “พรรคภูมิใจไทย”

เป้าหมายใหญ่สุดก็คือ “ปลัดป็อป” อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดมหาดไทย ซึ่งอายุราชการถึงปี 2574 ที่แม้จะพยายาม “เปลี่ยนสี” ให้เห็นมาอย่างต่อเนื่องผ่าน “นายภูมิธรรม” แต่โอกาสที่จะรั้งเก้าอี้ตัวโตต่อไปมีน้อยถึงน้อยมาก และว่ากันว่า กรณีเลวร้ายขั้นสุดคือเข้ากรุ “สำนักนายกรัฐนตรี” ส่วนจะไปแบบ “ขาลอย” หรือไปแทน “ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร” ปลัดสำนักนักนายกรัฐมนตรี ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมก็ต้องติดตามกันต่อไป

สำหรับระดับอธิบดีที่เหลืออีก 4 คน คนที่ถูก “กาหัว” เอาไว้แล้วก็คือ“พรพจน์ เพ็ญพาส” อธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็น “สายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์” ส่วนอีก 3 คนที่เหลือคือ “สยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน “ภาสกร บุญญลักษม์” อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ “พงษ์นรา เย็นยิ่ง” อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

ส่วนปฏิบัติการที่สองก็คือ เรื่อง “คดีเขากระโดง” ที่มีสัญญาณชัดเจนแล้วว่า กระทรวงมหาดไทยภายใต้คำบัญชาการของ “มท.อ้วน” เดินหน้ารื้อคดีใหม่เต็มกำลัง โดยได้มีหนังสือถึง “นายพรพจน์ เพ็ญพาส” อธิบดีกรมที่ดิน สายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์ เพื่อขอคำชี้แจงว่าาเหตุใดกรมที่ดินจึงมีพฤติการณ์ที่อาจเข้าข่ายฝ่าฝืน หรือ เพิกเฉยต่อคำสั่งศาลปกครอง และศาลฎีกาในคดีดังกล่าว

ขณะที่ฝ่ายเจ้าของที่ดินคือ “การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)” ก็เด้งรับทันทีหลังทำมึนๆ งงๆ มาพักใหญ่ โดย “นายวีริศ อัมระปาล” เบอร์หนึ่ง รฟท.ระบุว่า รฟท.ยังคงยืนยันต่อสู้เพื่อทวงคืนที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของชาติ โดยจะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ซึ่งปัจจุบัน รฟท.มี 3 แนวทางในการต่อสู้

แนวทางที่ 1 ดำเนินการผ่านกระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดินเพื่อให้เร่งทบทวนคำสั่ง

แนวทางที่ 2 ใช้โมเดล “พังงาท่านุ่น” ที่ศาลเคยมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินของผู้บุกรุกหลายร้อยไร่ให้กลับมาเป็นของ รฟท.เมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีลักษณะคล้ายคลึงกับเขากระโดงที่มีเอกสารสิทธิ์หลากหลาย ทั้งแบบมีโฉนดที่ดิน และศาลได้สั่งยุบเอกสารสิทธิ์ทั้งหมด คืนที่ดินให้กับ รฟท.เพื่อฟ้องศาลปกครองขอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์

แนวทางที่ 3 ขออัยการสูงสุดเป็นทนายแผ่นดิน ฟ้องคดีแทน รฟท. เพื่อฟ้องร้องเป็นรายแปลงรวม 995 ฉบับ โดยได้ดำเนินการยื่นหนังสือไปแล้ว ปัจจุบันยังคงรอคำตอบจากอัยการสูงสุด แต่หากไม่เป็นผล รฟท. อาจต้องพิจารณาฟ้องร้องเอง

“แสบ” ตรงที่พรรคเพื่อไทยไม่ลงมือทำเอง แต่ยกภารกิจไปให้ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ย้ายก้นจากกระทรวงสาธารณสุขมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดย “มท.อ้วน” แบ่งงานให้นายเดชอิศม์กำกับดูแลกรมที่ดิน ซึ่งดูปฏิกิริยาแล้ว พร้อมรับลูกและทำงานเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้เป็นอย่างดี เพราะมีแรงเสริมจากการที่พรรคแมลงสาบถูกค่ายสีน้ำเงินกวาดสส.ในพื้นที่ภาคใต้ไปจำนวนไม่น้อย

อย่างไรก็ดี การทวงคืนที่ดินเขากระโดง คงไม่อาจชื่นชมนายภูมิธรรมและพรรคเพื่อไทยได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเห็นได้ชัดว่า ในช่วงที่ยังคงหวานชื่นกับพรรคภูมิใจไทย รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้เอาจริงเอาจังในการจัดการกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จะใช้คำว่า “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” ก็คงจะได้ และที่ทำท่าขึงขังก็เป็นเพียงแค่ถูกเล่นงานเรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์เท่านั้น

เห็นทิศทางจาก มท.อ้วนแล้วเชื่อได้ว่า “สนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรี” คลับ ของ “ตระกูลชาญวีรกูล” ซึ่งมีข้อครหาเรื่องทับซ้อนที่ดิน ส.ป.ก. รวมอยู่ด้วยก็คงไม่แคล้วที่จะถูกเช็กบิล ซึ่งก็น่าจะรวมถึง “สนามบินขนงพระ” อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่อยู่ติดสนามกอล์ฟชื่อดังด้วย

ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบในประเด็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ทางสาธารณประโยชน์ในพื้นที่สนามบินส่วนบุคคล แปรสภาพกลายเป็น ‘รันเวย์’ สำหรับเครื่องบินส่วนตัว ใช้ขึ้น-ใช้ลง-ใช้รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จ่ายเงินเพื่อฝึกกระโดดร่มหลักหมื่นต่อคน วันหนึ่งหลายเที่ยว คิดเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท

นอกจากนี้ “มท.อ้วน” ยังตามล้างตามเช็ดไปที่เรื่องการจัดสรรงบงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท วงเงินประมาณ 40,000 ล้านบาทให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านที่ประชุมครม.ว่า ได้รับการร้องเรียนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งว่าเป็นการจัดงบแบบกระจุกแต่ไม่กระจาย เช่น บาง อบต. อบจ.ขออะไรไม่เคยได้เลย บางที่ขอมาได้ 1-3 ล้านบาท แต่ได้ยินมาว่าแถวๆ พื้นที่บุรีรัมย์ สุรินทร์ได้เพิ่มขึ้นจากที่เคยได้เป็นร้อยๆ ล้านบาท บางแห่งได้ถึง 700 ล้านบาท

ดังนั้น ในงบประมาณปี 2569 ซึ่งยังไม่ได้มีการดำเนินการ และทางสำนักงบประมาณบอกว่ามีปัญหาจริง จึงต้องมีการพิจารณาและตรวจสอบ อาจจะมีการตัดตอนเพิ่มหรือลด ซึ่งเป็นเรื่องในชั้นกรรมาธิการฯ ที่จะต้องดำเนินการ

สิ่งที่ “มท.อ้วน” ให้สัมภาษณ์น่าสนใจยิ่ง เพราะนั่นหมายความว่า การกวาดล้างเครือข่ายสีน้ำเงินของกระทรวงมหาดไทยดำเนินไปอย่างเข้มข้นและลงลึกในรายละเอียดเพื่อตัดความได้เปรียบทางการเมืองที่วางเอาไว้ในทุกมิติ ซึ่งก็คงจะทำให้ “เด็กสีน้ำเงิน” ต้องคิดหนักและไม่สามารถใช้เงินได้อย่างเต็มไม้เต็มมือเหมือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบและสั่งรื้อโครงการต่างๆ ในกระทรวงที่ค่ายสีน้ำเงินพรรคภูมิใจไทยเคยนั่งว่าการอยู่ ยกตัวอย่างเช่น โครงการขนาดใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้กื่ โครงการเช่า Tablet + ซิมการ์ด 14,655 ล้านบาท,โครงการเช่าคลาวด์ VM 2,800 ล้านบาท,โครงการ Learning Platform Phase 2 จำนวน 1,330 ล้านบาท,โครงการ VR–AR / Smart Lab 432 ล้านบาท ของกระทรวงศึกษาธิการ

ส่วนที่กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้แก่ โครงการเช่าคลาวด์ระดับอุดมศึกษา 5,413 ล้านบาท และที่ร่วมกันของ 2 กระทรวงคือ โครงการ NEdNet, Synchrotron หลักพันล้านบาท เป็นต้น
รวมๆ แล้วมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

ไม่นับรวมถึงเรื่องนโยบาย “กัญชาเสรี” และ “กระท่อมเสรี” ที่เคยเป็นธงใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ถูกเบรกอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาล


 ขณะที่ “ยุทธการดูดงูเห่า” ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมเมื่อมี 3 สส.ของพรรคภูมิใจไทย คือ “ชูกัน กุลวงษา สส.นครพนม ประภา เฮงไพบูลย์ สส.กาฬสินธุ์ และอรอุมา บุญศิริ สส.บึงกาฬ” เปิดตัวโหวตหนุนรัฐบาลในนการถอนร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพลกซ์ ออกจากวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา

มีการวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากว่า นี่น่าจะเป็นปฏิบัติการ “ดูด” ที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น โดยนอกจาก “พรรคเพื่อไทย” แล้ว ว่ากันว่า ยังมีการประสานพลังมาจากทาง “พรรคกล้าธรรม” และ “พรรคโอกาสใหม่” อีกด้วย

งานนี้ ฟันธงได้เลยว่า ค่ายสีน้ำเงินสะเทือนแน่นอน เพราะเมื่อฟังทิศทางลมจากคำให้สัมภาษณ์ของนายชูกัน กุลวงษาแล้ว สรุปได้ว่า โอกาสแยกทางมีสูงยิ่ง รวมถึงในพื้นที่ภาคใต้หลายแห่งที่พรรคภูมิใจไทยก็กำลังสั่นคลอนไม่แพ้กัน

ขณะเดียวกันเรื่องเดิมที่ติดพันมาตั้งแต่เมื่อครั้งร่วมรัฐบาลกันก็งวดเข้ามาทุกที นั่นคือเรื่อง “คดีฮั้วการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ปี 2567” ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเกมรุกสอบสวนขบวนการว่าจ้างและจ่ายเงินเพื่อจัดโหวตเลือกตั้งใน 24 จังหวัด โดยข้อมูลล่าสุดพบเส้นเงินโยงขบวนการจัดฮั้ว จ่อออกหมายเรียกผู้ต้องหาคดีอั้งยี่-ฟอกเงินลอตแรก คาดจำนวน 100 ราย โดยมีพฤติการณ์รับเงินก้อนใหญ่ในห้วงเลือกตั้ง โหวตตามโพยสั่ง รวมถึงเจอเส้นเงินสะพัดกว่า 30 จังหวัด พร้อมเปิดเผยด้วยว่า พบเส้นเงินกลุ่มคนใกล้ชิดกรรมการบริหารพรรคดังและเชื่อมโยงขบวนการฮั้วด้วย

นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 ของสำนักงาน กกต. ซึ่งรับผิดชอบคดีฮั้ว สว. ได้ประชุมสรุปสำนวนการสอบสวนเป็นที่เรียบร้อย โดยมีมติเสนอ กกต.เห็นควรดำเนินคดีต่อต่อผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 229 คน แบ่งเป็น สว. 138 คน กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายอีก 91 คนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 70 ประกอบ มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 76 และ มาตรา 77 (1)

โดยที่ประชุมคณะกรรมการสืบสวนเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวเข้าข่ายมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าทำให้ได้รับเลือกมาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต เที่ยงธรรม และขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ที่บัญญัติว่า สว.ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ ในส่วนข้อกล่าวหานี้หากไปถึงชั้นการพิจารณาของที่ประชุม กกต.และมีมติเห็นพ้องด้วย ก็อาจนำไปสู่การร้องต่อ กกต.ขอให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้

ขั้นตอนหลังจากนี้ สำนวนจะเข้าสู่ขั้นที่ 2 คือ เลขาธิการ กกต.จะต้องมีความเห็น ซึ่งมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า เลขาธิการ กกต.จะมอบหมายให้รองเลขาธิการ กกต.เป็นผู้มีความเห็นแทน เนื่องจากตนเองเป็นผู้อำนวยการการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย

ขณะที่ “ค่ายสีน้ำเงิน” เองก็เปิดปฏิบัติการตอบโต้อย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน ด้วยการเปิดแผลต่างๆ ของพรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากเรื่อง “กาสิโน” ที่ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่เดินทางมาประเทศไทย

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เป็นพิเศษคือ คำปราศรัยของ  นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บนเวทีช่วยหาเสียงให้ น.ส.จินณ์ตวรรณ ไตรสรณกุล ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 5 (อ.ขุนหาญ - ภูสิงห์) จ.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย

“อยู่ดีมีแฮงบ่ มีกินมีใช้บ่ มีเกียรติมีศักดิ์ศรีบ่ คนที่เคยให้สัญญากับเราว่า ถ้าเลือกเขาจะมีกินมีใช้ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี เขาไม่ได้ทำอย่างที่พูด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนพวกนี้”

“ที่ใครบอกว่าขี้ข้าเป็นคำไม่ดี ขี้ข้าคนโกงนั่นแหละเป็นสิ่งไม่ดี ขี้ข้าคนเอาเปรียบไม่ดี ขี้ข้าคนขายชาติไม่ดี แต่ขี้ข้าประชาชนเป็นวาสนาสูงสุดของพวกเรา” นายอนุทินกล่าว

“วันนี้ผมเสียใจไม่ได้แล้วที่ตัดสินใจออกจากรัฐบาล เหตุผลหลักที่ออกจากรัฐบาลนอกจากเรื่องคลิปเสียง ที่ถือว่าได้ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นประเทศไทย การที่เราออกมาครั้งนี้ อย่างน้อยสิ่งที่มันดี สิ่งที่ทำให้มีคุณูปการอย่างมหาศาลแก่ประเทศไทย คือกฎหมายกาสิโนไม่ผ่าน ถูกถอนออกไป และเชื่อมั่นว่าตราบใดที่พรรคภูมิใจไทยยังอยู่ กฎหมายนี้จะไม่มีวันผ่านไปได้”

ฟังน้ำเสียงจาก “เสี่ยหนู-อนุทิน” แล้ว บอกได้คำเดียวว่า พร้อมเดินหน้าท้าชนในทุกรูปแบบเช่นกัน จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ไปมั่นอกมั่นใจในอะไรมา หรือเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” ก็มี “ดีลพิเศษ” กับเขาด้วย เนื่องเพราะก่อนหน้านี้ก็มีหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ชวนให้สงสัย

อย่างเช่นเมื่อครั้งที่เสร็จศึกเลือกตั้ง สว. ก็มีข้อมูลออกมาว่า “ครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงิน” ไปปรากฏตัวในที่ประชุมของ “สว.สายสีน้ำเงิน” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมพูลแมน พร้อมพูดคุยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ “สัญญาณพิเศษ” ที่ไม่ต่างอะไรจาก “ดีลลังกาวีและดีลฮ่องกง”

กระนั้นก็ดี ด้วยสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไป คงต้องติดตามกันต่อไปว่า “ดีลพิเศษ” ที่ว่านั้น ยังจะมีผลในทางปฏิบัติอีกหรือไม่.


กำลังโหลดความคิดเห็น