"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การปรากฏตัวของนายทักษิณ ชินวัตร บนเวทีสาธารณะครั้งล่าสุด มิใช่เพียงการคืนสู่สายตาประชาชน หากยังสะท้อนให้เห็นโครงสร้างอำนาจทางการเมืองไทยที่ทั้งซับซ้อนและเปราะบาง ภายใต้ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกยาวนาน ในฐานะนักการเมืองผู้เคยถูกตราว่าเป็น “ศัตรูของรัฐ” โดยรัฐราชการประเพณีและกลุ่มอนุรักษนิยมตลอดสองทศวรรษ
ทักษิณกลับมาครั้งนี้พร้อมกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ เขาไม่ใช่ผู้นำที่ท้าทายโครงสร้าง หากแต่เป็นผู้เจรจาต่อรองกับมัน ผ่านถ้อยคำที่อ่อนน้อม และเลือกสรรอย่างระมัดระวัง เป็นการสื่อสารที่วางตนเองอยู่ในตำแหน่งใหม่ ที่มิใช่เป็นผู้ท้าทาย หากเป็น “ผู้ประคองเสถียรภาพ”
ท่ามกลางสภาวะการเมืองที่คลอนแคลนและไม่แน่นอน การปรากฏตัวของเขาจึงมิใช่เพียงในฐานะ “พ่อนายกฯ” หากเป็นการผลิตซ้ำอัตลักษณ์ใหม่ในฐานะผู้มากบารมีที่ไม่ต้องมีตำแหน่ง แต่สามารถขับเคลื่อนอำนาจจากฉากหลังได้อย่างแยบคาย โดยไม่ต้องปรากฏตัวในโครงสร้างทางการ
ท่าทีที่ชัดเจนที่สุด คือการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่คลุมเครือ ไม่เพียงแต่เขายืนยันว่า “ตนได้รับพระเมตตาสูงสุด” หากยังประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่าจะไม่ทำงานร่วมกับกลุ่มใดที่กระทบกระเทือนต่อสถาบัน
การประกาศจุดยืนเช่นนี้ย่อมมิใช่เพียงการวางตำแหน่งทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยให้อยู่ในแนวร่วมจารีตนิยมเท่านั้น หากยังเป็นการตัดขาดความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นกับขบวนการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มการเมืองที่เรียกร้องให้ทบทวนมาตรา 112 ในทางปฏิบัติ การปฏิเสธ “สีส้ม” ด้วยการพูดผ่านเรื่อง “เฉดสี” จึงเป็นมากกว่าการเปรียบเปรย แต่คือการผลิตวาทกรรมความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อแยกตนเองออกจากความขัดแย้งที่รัฐลึกไม่อาจยอมรับ
ในบริบทเช่นนี้ ถ้อยคำของนายทักษิณจึงทำหน้าที่เสมือน “ใบสัญญาไม่เป็นภัย” ที่ส่งตรงถึงผู้คุมกติกา และกลุ่มชนชั้นนำที่กำหนดเพดานอำนาจทางการเมืองของไทยมายาวนาน เป็นการแสดงความพร้อมที่จะสลายภาพลักษณ์เดิมที่ตนเคยถูกตีตราว่าเป็นผู้ล้มล้างโครงสร้าง เป็นภัยต่อความมั่นคง และไม่ยอมอยู่ใต้ระเบียบเดิม เขากำลังเสนอพันธสัญญาใหม่ มิใช่ต่อประชาชนเป็นหลัก หากแต่ต่อกลุ่มผู้ควบคุมอำนาจรัฐที่มองว่าความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของโครงสร้างที่เปลี่ยนไม่ได้
การประกาศตนว่า “ผมไม่เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง” และ “ผมยังสามารถทำประโยชน์ได้อีกมาก” จึงไม่ใช่ถ้อยคำธรรมดา หากเป็นกลยุทธ์ทางวาทกรรมที่แสดงเจตจำนงว่าจะทำงานร่วมกับระบอบเดิมโดยไม่ตั้งเงื่อนไข
ท่าทีดังกล่าว ยังเผยให้เห็นความพยายามวางตนในฐานะ “พันธมิตรแห่งเสถียรภาพ” หรือ “ผู้ประคองการเมืองที่ไม่มั่นคง” โดยอาศัยทุนทางประสบการณ์ ชื่อเสียง และความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติ นายทักษิณพยายามสื่อว่าแม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ก็ยังสามารถสอดส่อง ดูแล และ “สั่งการอย่างนุ่มนวล” ต่อรัฐบาลและกลไกรัฐได้ เขาเปรียบตนเองเสมือนกลไกเงาที่คอยประคับประคองรัฐบาลไม่ให้ล่มท่ามกลางคลื่นกระแส ทั้งจากศาลรัฐธรรมนูญ ฝ่ายค้าน และกลุ่มผลประโยชน์ภายในพรรคร่วมรัฐบาล
การที่นายทักษิณเสนอภาพลักษณ์ตนเองใหม่ในฐานะผู้อยู่ใต้กติกา แต่พร้อมประคองบ้านเมือง คือความพยายามเปลี่ยนบทบาทจากผู้ท้าทายโครงสร้างรัฐ มาเป็นผู้เกื้อหนุนและรักษามันไว้ หากการกลับมาครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากรัฐลึก ไม่ใช่เพราะเขากลับตัว แต่เพราะเขากลับท่าที และใช้ความเงียบสงบเป็นเครื่องมือเจรจาอำนาจอย่างแยบยล
ทั้งหมดนี้ชี้ว่า การเมืองไทยยังมิได้ขยับออกจากวังวนของการเมืองแบบเครือข่ายอุปถัมภ์และการเมืองเงา หากแต่ยังคงเวียนวนอยู่กับการสื่อสารแบบ “พูดกับคนไม่กี่คน แต่เปลี่ยนอนาคตของคนทั้งประเทศ” ขณะที่ประชาชนเฝ้ามองว่าประชาธิปไตยคือเรื่องของเสียงข้างมาก กลับมีไม่กี่ถ้อยคำจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีตำแหน่งใดในรัฐธรรมนูญ กลายเป็นเสียงที่กุมหัวใจของการเมืองทั้งระบบไว้อย่างแนบเนียน
นอกจากความพยายามในการสื่อสารกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมจารีตแล้ว การสัมภาษณ์ของนายทักษิณยังสะท้อนเห็นถึงความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยไทยอย่างชัดเจน เมื่อเขากล่าวถึงความจำเป็นของ “คณิตศาสตร์ทางการเมือง” และการที่ “ทุกคนเก่งคณิตศาสตร์หมด” สะท้อนให้เห็นถึงระบบการเมืองที่อาศัยการต่อรองและการนับคะแนนเสียงเป็นหลัก มากกว่าการสร้างฉันทามติทางสังคมหรือการขับเคลื่อนนโยบายที่มาจากความต้องการแท้จริงของประชาชน
ลักษณะการเมืองเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยไทยยังคงติดอยู่ในกรอบของการเมืองแบบ “เกมผลรวมเท่ากับศูนย์” (zero-sum game) ที่ต้องแข่งกับเวลา (race against time)
ความไม่สมบูรณ์ของระบอบประชาธิปไตยนี้เผยออกมาอย่างชัดเจนผ่านการที่ทักษิณวิพากษ์วิจารณ์ระบบปัจจุบันว่าเป็น “การออกแบบการเมืองที่แย่ที่สุด ตั้งแต่ทหารปฏิวัติมา” โดยชี้ให้เห็นว่า “เวลาเขาเขียนรัฐธรรมนูญ เขาเห็นหน้าตนเองอยู่ในทุกรูปแบบ กันจนผลสุดท้ายบ้านเมืองมีปัญหา การเมืองแบบหัวแตก”
การวิเคราะห์นี้แม้จะมีอคติส่วนตัว แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสำคัญของการออกแบบระบบการเมืองที่เน้นการกันและตรวจมากกว่าการสร้างความร่วมมือ ทำให้เกิดการกระจายอำนาจที่ไม่มีประสิทธิภาพและการขาดความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ
สิ่งที่เด่นชัดที่สุดอีกประการจากการปรากฏตัวของทักษิณคือ การแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของ “อำนาจเงา” ที่มีอิทธิพลต่อการบริหารประเทศอย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งทางการใดๆ ในรัฐบาล แต่การที่เขาสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “พ่อนายกฯ อยู่นี่ ยังไงก็ดูแลบ้านเมืองเต็มที่ มีอะไรก็บอกให้รัฐมนตรีช่วยกันทำ” แสดงให้เห็นถึงระบบการตัดสินใจที่อยู่นอกเหนือกรอบรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
การที่ทักษิณเล่าถึงกระบวนการตัดสินใจสำคัญต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีมหาดไทย หรือการวางแผนนโยบายต่างๆ ในลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเหล่านั้น เผยให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของศูนย์กลางอำนาจที่ไม่ปรากฏในโครงสร้างทางการ ลักษณะของการใช้อำนาจเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความชอบธรรมและความรับผิดชอบของผู้ที่มีอิทธิพลต่อการบริหารประเทศ โดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนโดยตรงผ่านกลไกประชาธิปไตย
เรื่องนี้ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพิจารณาถึงการที่ทักษิณเล่าถึงข้อมูลการสืบสวนเกี่ยวกับ “ขบวนการฮั้ว สส.” โดยระบุว่า “มีเตรียมการตั้งแต่เลือกตั้ง สส. ผมตกใจสุดขีดว่าวิสัยทัศน์เขาดีมาก ที่ สส. เลือกตั้งก่อน แล้วใครคุม สส. 15 คนจะได้โควตา สว หนึ่งคน” การเปิดเผยข้อมูลเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขามีการเข้าถึงข้อมูลความลับของรัฐในระดับที่สูงมาก ซึ่งยิ่งเป็นการยืนยันถึงการดำรงอยู่ของเครือข่ายอำนาจที่ทำงานนอกเหนือจากกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนด
การพูดของทักษิณยังเผยให้เห็นถึงการรับรู้ของเขาเกี่ยวกับการใช้กฎหมายและกลไกต่างๆ เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงการมองเห็นกลไกทางกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมือง มากกว่าการเป็นระบบยุติธรรมที่เป็นกลาง การเลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมายเผยออกมาอย่างชัดเจนผ่านการที่ทักษิณวิพากษ์วิจารณ์กลไก “องค์กรอิสระที่อนุญาตให้ใครก็ได้มาร้อง” และการที่เขาชี้ให้เห็นว่า “บางคนรับจ้างร้องหรือบางคนรับจ้างหยุดร้อง”
การวิเคราะห์เช่นนี้แม้อาจมีการโอ้อวดหรือการบิดเบือนข้อเท็จจริงบ้าง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสำคัญของระบบยุติธรรมที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการที่คดีต่างๆ มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางการเมืองสูง
ประเด็นที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือการที่ทักษิณเล่าถึงกรณีของตนเองว่า “คดีของตนเองจะหมดอายุความก็เลยล็อกไว้ก่อน โดยใช้การสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับ ม.112 ที่เกาหลีใต้” การเล่าเรื่องนี้เผยให้เห็นถึงการรับรู้เกี่ยวกับการใช้กลไกทางกฎหมายในลักษณะที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง โดยเฉพาะการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐเป็นเครื่องมือในการควบคุมหรือกดดันฝ่ายตรงข้าม
การวิเคราะห์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองที่ทักษิณนำเสนอเผยให้เห็นถึงวัฒนธรรมการเมืองไทยที่มีลักษณะเฉพาะอย่างชัดเจน การที่เขาใช้การอุปมาเรื่องสีสันของพรรคการเมืองว่า “สีส้มเกิดจากสีแดงรวมกับสีเหลือง” และ “การเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวรไ สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของการเมืองที่มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับเปลี่ยนพันธมิตรและยุทธศาสตร์ตามสถานการณ์
ความยืดหยุ่นนี้เผยออกมาอย่างชัดเจนผ่านการที่ทักษิณยอมรับถึงความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับพรรคภูมิใจไทยอีกครั้งในอนาคต แม้จะผ่านประสบการณ์การ “ผิดหวัง” มาสองครั้งแล้ว เมื่อเขากล่าวว่า “การเมืองบ้านเรามีกฎไว้เลี่ยง ตนเองกลับมาลืมอดีตหมดแล้ว พยายามจะเริ่มต้นใหม่” แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการเมืองที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ในปัจจุบันมากกว่าความสอดคล้องในอุดมการณ์หรือความเชื่อมั่นส่วนบุคคล
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการคือความขัดแย้งระหว่างวาทกรรมที่ทักษิณใช้กับลักษณะของการปฏิบัติที่สะท้อนออกมา ในขณะที่เขาเน้นย้ำถึงความ “บริสุทธิ์” และการ “ทำตามกติกา” แต่ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นถึงการดำเนินการที่อยู่นอกเหนือกรอบกติกาที่เป็นทางการอย่างชัดเจน การที่เขากล่าวว่า “เราอยู่ในโลกที่มีกติกาก็ต้องเคารพกติกา” แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าเขามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจต่างๆ โดยที่ไม่ได้อยู่ในกรอบกติกาทางการ
ภาวะย้อนแย้งที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นเพียงจุดสะดุดเชิงตรรกะของถ้อยคำ หากแต่สะท้อนถึง โครงสร้างการเมืองแบบลูกผสม ที่ผูกโยงความชอบธรรมเข้ากับทั้งหลักกฎหมายและหลักอุปถัมภ์ พร้อม ๆ กันโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิด ความย้อนแย้งที่แฝงอยู่จึงมิใช่เรื่องของ “ความคิดสับสน” แต่คือ การสื่อสารทางการเมืองที่ตั้งใจจะพูดทุกอย่าง เพื่อรักษาทุกอย่าง เอาไว้ แม้จะขัดแย้งกันโดยเนื้อแท้ก็ตาม
การกล่าวว่า “เราต้องเคารพกติกา” แล้วในขณะเดียวกันกลับระบุว่า “ถ้ามีคนชกนอกกติกา ก็ต้องกระทืบเท้าเขา” คือการยอมรับการใช้ความรุนแรงในบางเงื่อนไข ทั้งที่ถ้อยคำแรกคือการวางตัวให้อยู่ในกรอบของนิติรัฐ แต่ถ้อยคำหลังคือการเปิดพื้นที่ให้การตอบโต้ด้วยกำลัง ความย้อนแย้งนี้ไม่เพียงทำลายหลักการเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นว่า “กติกา” ถูกตีความอย่างยืดหยุ่นในแบบที่ตนสามารถใช้ได้เมื่อได้เปรียบ และพร้อมละเมิดได้เมื่อเสียเปรียบ กล่าวอีกนัยหนึ่ง กติกาไม่ใช่หลักการร่วมของทุกฝ่าย หากเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์
ในทำนองเดียวกัน ถ้อยคำที่เรียกร้องให้ “เลิกอดีต” และ “เริ่มต้นใหม่” กลับสวนทางอย่างชัดเจนกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความระแวง ความผิดหวัง และความคับแค้นใจต่ออดีตพันธมิตร โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ทั้งยังกล่าวถึง “การเตรียมฮั้ว ส.ว.” และการตั้งรัฐบาลแบบ zero-sum game อย่างละเอียดราวกับยังจดบัญชีแค้นไว้ทุกบรรทัด ความย้อนแย้งจึงอยู่ที่การเรียกร้องให้ผู้อื่นลืมอดีต ในขณะที่ตนเองไม่เคยปล่อยวางจากความหลังแม้แต่น้อย ซึ่งสะท้อนอารมณ์การเมืองแบบ “จำแบบเลือกสรร” หรือ การหยิบยกอดีตขึ้นมาพูดเมื่อจะใช้เป็นเครื่องมือ แต่ขอให้ผู้อื่นลืมเมื่อไม่เป็นประโยชน์
ถ้อยคำที่กล่าวว่า “ประเทศไทยต้องเดินหน้า” ยิ่งดูย้อนแย้งเมื่อพิจารณาร่วมกับความพยายามรักษาสัมพันธภาพกับกลุ่มพันธมิตรที่ขัดกับหลักความโปร่งใสในการบริหาร เช่น พรรคภูมิใจไทย โดยไม่มีการปฏิเสธหรือวิพากษ์ความไม่ชอบธรรมของพฤติกรรมทางการเมืองในอดีต กลับเลือกใช้วาทกรรม “คณิตศาสตร์การเมือง” มาเป็นเกราะกำบังของการยอมกลืนเลือด การเมืองจึงกลายเป็นเรื่องของสมการ ไม่ใช่จริยธรรม และการเดินหน้าที่เขาเรียกร้อง กลายเป็นการเดินตามสูตรเก่า ด้วยพันธมิตรเก่า โดยไม่ถามว่าคุณภาพของ “ทิศทาง” นั้นเป็นเช่นไร
ท้ายที่สุด ถ้อยคำที่ปกป้องลูกสาวว่า “บริสุทธิ์” และเชื่อว่าศาลจะรับฟังเหตุผล อาจฟังดูอบอุ่นหากมองในฐานะพ่อคนหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาในฐานะบุคคลสาธารณะ คำกล่าวนี้คือการแทรกแซงเชิงวาทกรรมต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างแยบยล เขาไม่ได้โจมตีศาลอย่างเปิดเผย หากแต่แสดงความ “ไม่มั่นใจ” ต่อกลไกการตรวจสอบ พร้อม ๆ กับยืนยันความบริสุทธิ์ล่วงหน้าราวกับกระบวนการตัดสินไม่จำเป็น ถ้อยคำเช่นนี้ขัดแย้งกับหลักการนิติรัฐที่เขาเองเพิ่งยกขึ้นมาปกป้องก่อนหน้า และสะท้อนถึงวัฒนธรรมการเมืองแบบ “เราคือคนดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบเหมือนคนอื่น”
ทั้งหมดนี้เผยให้เห็นว่า ความย้อนแย้งในวาทกรรมของนายทักษิณไม่ใช่เรื่องของการเผลอพูด หากเป็นผลลัพธ์ของการพยายาม “รักษาทุกฝ่ายไว้ในมือเดียว” โดยไม่ยอมเลือกข้างหลักการใดอย่างชัดเจน เป็นการเมืองแบบกึ่งกลางที่อ้าง “เหตุผล” เพื่อครอบคลุม “ผลประโยชน์” และสื่อสารกับหลายกลุ่มพร้อมกันด้วยภาษาแตกต่างกันในประโยคเดียวกัน นี่คือภาวะย้อนแย้งที่ทำให้การเมืองไทยติดอยู่ในวังวนเดิม เพราะเมื่อผู้นำทางวาทกรรมยังไม่สามารถเลือกหลักยืนเดียวได้ ระบบการเมืองก็จะไม่มีวันกล้ายืนหยัดกับหลักการใดอย่างแท้จริง
ปรากฏการณ์ทักษิณจึงเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของการเมืองไทยอย่างครบถ้วน ในแง่ของจุดแข็ง คือความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นทางยุทธศาสตร์ที่ทำให้ระบบการเมืองไทยสามารถอยู่รอดและดำเนินต่อไปได้แม้จะเผชิญกับความท้าทายและความขัดแย้งที่รุนแรง ความสามารถในการหาทางออกและการปรับเปลี่ยนพันธมิตรตามสถานการณ์เป็นลักษณะเด่นที่ทำให้การเมืองไทยมีความยืดหยุ่นสูง การเจรจาต่อรองกับกลุ่มอำนาจต่างๆ รวมถึงรัฐพันลึก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองที่ซับซ้อนแต่จำเป็น
แต่ในขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์นี้ก็เผยให้เห็นถึงจุดอ่อนสำคัญของระบบการเมืองไทย คือการที่ระบอบประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ การดำรงอยู่ของอำนาจเงาที่มีอิทธิพลสูงแต่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนโดยตรง การใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และวัฒนธรรมการเมืองที่ยืดหยุ่นจนขาดหลักการที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้ทำให้การเมืองไทยยังคงหมุนรอบบุคคลสำคัญมากกว่าการพัฒนาสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งและยั่งยืน
การที่การเมืองไทยยังคงต้องพึ่งพาอิทธิพลของบุคคลสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและการแก้ไขปัญหาสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงความยังไม่สมบูรณ์ของระบอบประชาธิปไตยไทยที่ยังต้องการการพัฒนาและปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดระบบการเมืองที่อาศัยสถาบันที่เข้มแข็ง มีความโปร่งใส และสามารถรับผิดชอบต่อประชาชนได้อย่างแท้จริง
การที่ปรากฏการณ์ทักษิณยังคงมีอิทธิพลสูงในการเมืองไทย และการที่เขาพยายามสื่อสารกับรัฐลึกเพื่อสร้างความเข้าใจว่าตนเองไม่เป็นภัย จึงเป็นทั้งสัญญาณของความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ การปรับตัวทางยุทธศาสตร์ และความท้าทายสำหรับอนาคตของประชาธิปไตยไทยในเวลาเดียวกัน