xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตการณ์ของพรรคเพื่อไทย: แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสถานะจากพรรคใหญ่สู่พรรคขนาดกลาง / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ในระบบการเมืองไทย พรรคเพื่อไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลสูงสุดตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษ โดยมีฐานการสนับสนุนที่แข็งแกร่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงการสืบทอดมรดกทางการเมืองจากตระกูลชินวัตรซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่การก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2541 อย่างไรก็ตาม ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่อาจส่งผลให้สถานะของพรรคเปลี่ยนแปลงจากพรรคใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงสุดเป็นพรรคขนาดกลางที่มีบทบาทจำกัด หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือการสูญเสียความสำคัญทางการเมืองอย่างถาวร

การวิเคราะห์ปัจจัยที่นำไปสู่วิกฤตการณ์นี้ ประกอบด้วยการลดลงของคะแนนนิยมอย่างรุนแรง การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ขาดการคำนึงถึงผลกระทบระยะยาว และการเผชิญกับการต่อต้านจากกลไกอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมและกลุ่มการเมืองอื่น ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความล้มเหลวของพรรคเพื่อไทยในการรักษาความชอบธรรมทางการเมือง แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “การสูญเสียอำนาจชอบธรรม” เมื่อผู้นำไม่สามารถรักษาความเชื่อมั่นจากประชาชนได้

เหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยคะแนน 7 ต่อ 2 ให้นางสาวแพทองธารหยุดการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว จากกรณีการบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธารกับนายฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรกัมพูชา เนื้อหาในการบันทึกเสียงดังกล่าวประกอบด้วยการใช้ถ้อยคำที่ถูกตีความว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งและศักดิ์ศรีของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงการกล่าวอ้างถึงสถาบันทางการทหารในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของนางสาวแพทองธาร แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยในสายตาของประชาชน

 ผลกระทบที่ตามมาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านผลการสำรวจความคิดเห็นที่ดำเนินการโดยสถาบันการสำรวจความคิดเห็นนิด้าโพลระหว่างวันที่ 19-25 มิถุนายน 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง โดยคะแนนความนิยมของนางสาวแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีลดลงจาก 30.9% ในเดือนมีนาคมเป็น 9.2% ในขณะเดียวกัน คะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยโดยรวมก็มีแนวโน้มลดลงจาก 28.1% เหลือ 11.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่สถาบันนิด้าโพลเริ่มดำเนินการสำรวจความนิยมพรรคการเมือง การลดลงของคะแนนความนิยมในระดับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการสูญเสียความเชื่อมั่นสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง

หากวิเคราะห์ย้อนหลังถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาพบว่า วิกฤตการณ์ปัจจุบันสามารถสืบย้อนไปถึงการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในปี 2566 เมื่อพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะเปลี่ยนแนวทางการเมืองจากการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มพรรคการเมืองที่มีแนวคิดประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล มาเป็นการสร้างพันธมิตรกับกลุ่มพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมและระบบการเมืองแบบดั้งเดิม


หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 พรรคเพื่อไทยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน 141 ที่นั่ง ประกอบด้วย 112 ที่นั่งจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและ 29 ที่นั่งจากระบบสัดส่วน แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความนิยมสูงสุดจากการเลือกตั้งครั้งนั้น แต่การที่พรรคก้าวไกลถูกกีดกันโดยกลไกทางสถาบันของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้แก่ วุฒิสภาที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสในการสร้างรัฐบาลผสม

 การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยในการสร้างพันธมิตรกับพรรคพลังประชารัฐ (40 ที่นั่ง) พรรครวมไทยสร้างชาติ (36 ที่นั่ง) และพรรคภูมิใจไทย (71 ที่นั่ง) สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างหลักการทางอุดมการณ์และความต้องการในการเข้าถึงอำนาจ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อน “กฎเหล็กของคณาธิปไตย” ที่ว่าองค์กรการเมืองมักจะประนีประนอมหลักการเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นำ

การสร้างพันธมิตรดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักวิชาการและนักการเมืองหลายฝ่าย โดยเห็นว่าเป็นการละทิ้งคำมั่นสัญญาทางการเมืองที่ให้ไว้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง โดยเฉพาะคำมั่นในการ “ปิดสวิตช์ 3 ป.” ซึ่งหมายถึงการยุติอิทธิพลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา

แนวทางการสร้างพันธมิตรนี้แม้จะช่วยให้พรรคเพื่อไทยสามารถรักษาอำนาจทางการเมืองได้ในระยะสั้น และส่งผลให้นางสาวแพทองธารได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 แต่กลยุทธ์นี้กลับเป็นไปตามคำทำนายของ  นิโคโล มาคิอาเวลลี ที่ว่า “การจับมือกับศัตรูเก่าเพื่อผลประโยชน์ชั่วคราวมักนำไปสู่การทรยศในระยะยาว” ดังที่พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาลผสมเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 โดยอ้างเหตุผลเรื่องการรักษาเกียรติภูมิของชาติ ประชาชน และกองทัพจากผลกระทบของกรณีการบันทึกเสียงของนางสาวแพทองธาร

การถอนตัวนี้ส่งผลให้รัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรหรือครึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลอ่อนแอลง อันสภาวะของ  “ความไม่มั่นคงของรัฐบาลผสม” ในระบบการเมืองแบบพหุพรรค

ผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเห็นได้จากการลดลงของคะแนนความนิยมเหลือเพียง 11.5% ซึ่งส่งผลให้พรรคกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากพิจารณาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในปัจจุบัน การเลือกตั้งใหม่อาจเกิดขึ้นในปลายปี 2568 หรือ ต้นปี 2569 ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคอาจได้รับที่นั่งจากระบบสัดส่วนเพียง 10-12 ที่นั่งเท่านั้น เนื่องจากการลดลงของคะแนนความนิยมอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ที่นั่งจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งสำคัญของพรรคเพื่อไทย คาดว่าจะลดลงอย่างมาก เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการสังกัดพรรคของนักการเมืองระดับท้องถิ่นที่มีอิทธิพล หรือที่เรียกว่า  “นักการเมืองบ้านใหญ่” ไปสู่พรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อพรรคเพื่อไทยในช่วงวิกฤตการณ์การบันทึกเสียง ปรากฏการณ์นี้เป็น “การเคลื่อนย้ายทางการเมือง” ที่นักการเมืองมีแนวโน้มจะเปลี่ยนการสังกัดเมื่อพรรคเดิมไม่สามารถรักษาความน่าเชื่อถือและโอกาสในการชนะการเลือกตั้งได้

 หลักฐานเชิงประจักษ์จากการเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับความท้าทายที่พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญ เมื่อพรรคประสบความพ่ายแพ้ในจังหวัดที่เคยเป็นฐานที่มั่นในภาคเหนือ เช่น เชียงรายและลำพูน แสดงให้เห็นถึงการสูญเสียอิทธิพลในระดับฐานราก อันเป็นสัญญาณของ “การถดถอยทางการเมือง” ของพรรคที่ไม่สามารถรักษาความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกับมวลชนฐานรากที่สนับสนุนพรรคได้


จากการประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน คาดการณ์ว่าพรรคเพื่อไทยอาจได้รับที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพียง 40-50 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะจากพรรคใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงสุดเป็นพรรคขนาดกลางที่มีบทบาทจำกัดในการกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึง  “การหมุนเวียนของชนชั้นนำ” ที่อำนาจทางการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงและส่งผ่านระหว่างกลุ่มชนชั้นนำ ตามความสามารถในการรักษาความชอบธรรมและการสนับสนุนจากประชาชน

ผลกระทบต่อมรดกทางการเมืองของตระกูลชินวัตรเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญต่อการวิเคราะห์วิกฤตการณ์นี้ ความสำเร็จทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ซึ่งสามารถชนะการเลือกตั้งทุกครั้งตั้งแต่ปี 2544 ด้วยนโยบายประชานิยม เช่น โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและกองทุนหมู่บ้าน กำลังเผชิญกับความท้าทายที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของอิทธิพลทางการเมือง การตัดสินใจของนางสาวแพทองธารในการสร้างพันธมิตรกับกลุ่มพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของระบบเก่าในปี 2566 ส่งผลให้พรรคสูญเสียความเชื่อมั่นจากฐานการสนับสนุนที่มีแนวคิดประชาธิปไตยก้าวหน้า และเป็นบ่งชี้ว่า “การถ่ายทอดอำนาจผ่านสายเลือด” มักจะขาดความชอบธรรมเมื่อไม่สามารถรักษาประสิทธิผลในการบริหารงานได้






สถานการณ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วยกรณีการบันทึกเสียงและข้อกล่าวหาเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษี 218 ล้านบาทจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งส่งผลเสริมภาพลักษณ์เชิงลบเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ การที่นางสาวแพทองธารถูกคาดการณ์ว่าจะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายในช่วงเวลาอันใกล้นี้ จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มความท้าทายให้กับพรรคเพื่อไทยมากยิ่งขึ้น การบริหารงานของนางสาวแพทองธารได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นการขาดประสบการณ์และการพึ่งพิงคำแนะนำจากนายทักษิณ ชินวัตร อย่างมาก ทำให้เกิดการรับรู้ว่าเธอไม่ได้มีความเป็นอิสระในการตัดสินใจ

 วิกฤตการณ์ของพรรคเพื่อไทยมีความคล้ายคลึงกับการล่มสลายของพรรคการเมืองใหญ่ในระบบประชาธิปไตยในบางประเทศ ที่ประสบปัญหาการสูญเสียความชอบธรรม เช่น กรณีของพรรคโซเชียลิสต์ในฝรั่งเศสในช่วงทศวรรษ 2010 หรือการเสื่อมถอยของพรรคการเมืองดั้งเดิมในอิตาลีหลังจากคอรัปชัน วิกฤตการณ์เหล่านี้มีร่วมกันคือการที่พรรคการเมืองสูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชนเนื่องจากการประนีประนอมหลักการเพื่อรักษาอำนาจ และการไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคม

สำหรับผลกระทบต่อระบบการเมืองไทยโดยรวม การเปลี่ยนแปลงสถานะของพรรคเพื่อไทยจากพรรคใหญ่เป็นพรรคขนาดกลางอาจนำไปสู่การเกิดขึ้นของ “ระบบพหุพรรคแบบแยกส่วน” ซึ่งอาจส่งผลให้การสร้างรัฐบาลมีความซับซ้อนมากขึ้นและมีเสถียรภาพน้อยลง ในขณะเดียวกัน การเสื่อมถอยของพรรคเพื่อไทยอาจเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะพรรคประชาชน มีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงประชาธิปไตย

 การสิ้นสุดของยุคที่ตระกูลชินวัตรมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยไทย โดยเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันทางการเมืองที่หลากหลายมากขึ้น และลดการพึ่งพิงอิทธิพลของตระกูลการเมือง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากกลไกเชิงสถาบันทางการเมืองที่ยังคงมีอำนาจในการกำหนดทิศทางการเมืองไทย ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการปฏิรูปเพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการเมืองที่เสรีและเป็นธรรมมากขึ้น

อนาคตของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันจึงเผชิญกับความไม่แน่นอนที่รุนแรงกว่าช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ ด้วยการลดลงของความนิยม การสูญเสียพันธมิตรทางการเมือง และการเผชิญกับการต่อต้านจากกลไกทางสถาบันของชนชั้นนำ พรรคที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของนโยบายประชานิยมและการเมืองแบบประชาธิปไตยกำลังเผชิญกับ “การทำลายเชิงสร้างสรรค์” หรือภาวะองค์กรเดิมที่ไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศใหม่จะถูกแทนที่โดยองค์กรใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นการทดสอบที่สำคัญว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถฟื้นฟูจากปัญหาที่เกิดจากการนำของนางสาวแพทองธาร หรือจะกลายเป็นเพียงร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในอดีต ซึ่งเป็นไปตามกฎของ “ความเสื่อมสลายของอำนาจ” การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่ยังจะกำหนดลักษณะของระบบการเมืองไทยในทศวรรษหน้าด้วย

วิกฤตการณ์ของพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความเปราะบางของอำนาจทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยไทย และความสำคัญของการรักษาความเชื่อมั่นจากประชาชนผ่านการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและความโปร่งใส หากพรรคไม่สามารถปรับตัวและฟื้นฟูความน่าเชื่อถือได้

 อนาคตของพรรคเพื่อไทยจะไม่ใช่เพียงการถดถอยตามธรรมชาติของวงจรการเมือง แต่เป็นการสิ้นสุดของยุคที่ตระกูลชินวัตรครองใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าในระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะคงอยู่ได้ตลอดไปหากไม่สามารถรักษาความชอบธรรมและการสนับสนุนจากประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาต่อไปของสถานการณ์การเมืองจะเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของระบบประชาธิปไตยไทยและความสามารถของประชาชนในการเลือกทางเลือกใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของยุคสมัย



กำลังโหลดความคิดเห็น