xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (42): “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค.ศ. 1680” การสถาปนาอำนาจนำของราชาธิปไตย (the Primacy of Monarchy)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร


หมุดหมายของการยอมรับพระราชอำนาจ  อย่างสมบูรณ์ ของพระมหากษัตริย์ (พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด) และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เกิดขึ้นในช่วงการประชุมสภาฐานันดรระหว่าง ค.ศ.1689 - 1693 และภายหลังปี ค.ศ.1686 การปกรองสวีเดนภายใต้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดดำเนินไปโดยการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ระบบราชการที่นำโดยกลุ่มอภิชนใหม่อย่าง Lindschöld, Wrede, Gyllenborg และ Thegner ซึ่งแข่งขันกันเองอยู่เบื้องหลังเพื่อให้ได้เป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์

กลุ่มอภิชนใหม่มีบทบาทในการปกครองชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาบริหารเพิ่มเติมเป็นจำนวนหกคน (รวม Lindschöld ด้วย) ในปี ค.ศ.1687 และเมื่อมีการเลื่อนฐานันดรศักดิ์ของอภิชนใหม่จำนวน 24 คนให้เป็นอภิชนที่ถือครองที่ดิน อันหมายถึงการเลื่อนฐานันดรจากอภิชนระดับล่างขึ้นสู่ระดับสูง ถึงแม้ว่าอภิชนเก่า (เช่น Bengt Oxenstierna, J. G. Stenbock และ Nils Bielke) ยังคงบทบาทอยู่ แต่พวกเขาก็ได้รับแรงกกดดันจากกลุ่มอภิชนใหม่เหล่านี้และรอคอยโอกาสที่จะฟื้นคืนอำนาจอยู่ลึก ๆ
 
การประชุมสภาฐานันดรปี ค.ศ.1689 เกิดขึ้นจากปัจจัยในบริบทระหว่างประเทศสองประการ นั่นคือ การที่พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่แห่งฝรั่งเศสนำยุโรปเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ส่งผลบังคับให้สวีเดนต้องตัดสินใจต่อบทบาทของตัวเอง และความตึงเครียดของปัญหาแคว้น Holstein-Gottorp ที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดพร้อมจะทำสงครามเพื่อยุติปัญหาดังกล่าว ดังนั้น หนึ่งในวาระการประชุมของที่ประชุมสภาฐานันดรในปี ค.ศ.1689 คือ วาระที่ว่าด้วยการระดมทรัพยากรเพื่อเตรียมการสงคราม  “เพื่อป้องกันและกำจัดความรุนแรงและความเป็นศัตรู”  และวาระที่ว่าด้วยกิจการภายในที่สำคัญ

ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้เริ่มปรากฎลัทธิบูชาตัวบุคคล (cult of personality) ที่เชิดชูพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดขึ้น ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างสุนทรพจน์ของประธานฐานันดรอภิชน Nils Gyllenstolpe ที่เชิดชูคุณธรรมของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าภาพลักษณ์ของพระองค์คือภาพข้าราชการที่ศรัทธาและมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่สาธารณะ ที่ต่างไปจากตัวแบบพระมหากษัตริย์ร่วมสมัยในเวลาเดียวกันนั้น คือการเป็นสุริยเทพของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ (The Sun King) ที่ฝรั่งเศสต้องการสื่อว่า พระมหากษัตริย์คือศูนย์กลางของชาติและทรงอำนาจอันสมบูรณ์เด็ดขาด

คณะกรรมาธิการลับเริ่มต้นด้วยการพิจารณาประเด็นวาระด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องแคว้น Holstein-Gottorp แต่ที่ประชุมเห็นพ้องให้ทูลเกล้าฯประเด็นดังกล่าวให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสินใจ เมื่อพระองค์มีพระราชประสงค์ให้ที่ประชุมเสนอความเห็น คณะกรรมาธิการลับมีข้อสรุปเพียงแค่ว่า ได้มีสาเหตุอันสมควรให้เริ่มต้นสงคราม แต่การดำเนินการอื่นใดต่อไปนั้น ขอให้เป็นพระบรมราชวินิจฉัยขององค์พระมหากษัตริย์

ในส่วนกิจการภายใน พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงมีพระราชประสงค์ให้ระดมเงินเพื่อการสงครามให้ได้ถึง 2,700,000 เหรียญ (dsm) ซึ่งขณะนั้นมีอยู่เพียง 400,000 เหรียญเท่านั้น โดยทรงเสนอให้ขยายปริมาณจำนวนภาษีที่ตกลงไว้ในปี ค.ศ.1686 และเพิ่มภาษีอื่น ๆ อย่างอากรแสตมป์ และที่สำคัญคือทรงเสนอให้เหล่าฐานันดรกู้ยืมเงินจากธนาคารแห่งชาติเพื่อส่งเงินเพิ่มประมาณ 400,000 เหรียญเป็นการด่วน

ในที่ประชุมฐานันดรอภิชน มีการคัดค้านต่อประเด็นการกู้ยืมเงินจากธนาคารแห่งชาติ และได้ส่งเรื่องไปขอความเห็นจากสภาบริหาร แต่สภาบริหารหลีกเลี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว Gyllenborg จึงมีข้อเสนอประนีประนอมโดยให้เหล่าฐานันดรร่วมกันกู้เงินจำนวน 200,000-300,000 เป็นการด่วนจนกว่าจะได้รับเงินสนับสนุนจากช่องทางอื่น ๆ และแม้ว่าคณะกรรมาธิการลับจะแสดงความกังวล แต่ก็ได้ตัดสินใจรับข้อเสนอดังกล่าว และฐานันดรชาวนาก็ยินยอมช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้
 
ต่อมา ประธานฐานันดรอภิชนได้เตือนคณะกรรมาธิการลับว่ายังคงขาดเงินอยู่อีก 900,000 เหรียญ ฐานันดรอภิชนเสนอให้มีการส่งเงินสนับสนุนเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1691 โดยให้กู้เงินจากธนาคารด้วยหลักทรัพย์ไปพลางก่อน การกู้เงินด้วยหลักทรัพย์ได้รับการวิพากษ์โต้แย้งจากภายในฐานันดรอภิชนและถูกปฏิเสธจากฐานันดรอื่น ๆ เพราะธนาคารมักกดมูลค่าหลักทรัพย์ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดจึงเสนอให้มีการแบ่งจ่ายเงินสนับสนุนเป็นสองช่วง คือในปี ค.ศ.1691 และปี ค.ศ.1692 ซึ่งฐานันดรอภิชน ฐานันดรนักบวชและฐานันดรชาวเมืองให้การเห็นชอบ ส่วนฐานันดรชาวนานั้นยินยอมภายหลังจากที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงยอมยกเลิกภาษีรายหัวที่ตกลงไว้ในปี ค.ศ.1686

และก็เป็นไปอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงแสดงความยินดีต่อข้อเสนอที่ได้รับการเห็นชอบแต่ก็มีพระราชประสงค์เพิ่มเติมอีกด้วย นั่นคือ พระองค์ทรงโปรดให้มีเงินสนับสนุนล่วงหน้าสำหรับปีถัดไปเพิ่มเติมอีกสองประเภทสำหรับดำเนินการสงคราม เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในเหล่าฐานันดร พระองค์ทรงให้ประธานฐานันดรอภิชนเผยแพร่ให้ทราบว่า หากไม่เกิดสงครามในปี ค.ศ.1689 ก็จะไม่มีการเก็บเงินสนับสนุนประเภทที่สองในปีดังกล่าว
เมื่อต่างก็ประนีประนอมกันจนได้ข้อยุติ คณะกรรมาธิการลับได้ระบุเพิ่มลงในข้อตกลงว่า พระมหากษัตริย์ทรงสามารถกู้เงินในจำนวนที่เท่ากับเงินสนับสนุนประเภทที่สองได้ โดยให้เหล่าฐานันดรเป็นผู้จ่ายหนี้ภายหลังสงครามเสร็จสิ้น ฐานันดรอภิชนรับข้อมติดังกล่าวเป็นเอกฉันท์ โดยที่มีอภิชนเพียงคนเดียวเท่านั้น (Baron Ekeblad) ที่แสดงความกังวลต่อผลกระทบทางรัฐธรรมนูญว่า ข้อมติดังกล่าวถือเป็นการสละสิทธิของเหล่าฐานันดรในการอนุมัติการเก็บภาษีพิเศษ
 
 แต่อย่างไรก็ตาม ทุกฐานันดรต่างยินยอมดำเนินการตามพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์อย่างจงรักภักดี ประธานฐานันดรอภิชนกล่าวว่าฐานันดรอภิชนจะไม่คัดค้านพระราชประสงค์เว้นแต่มีเหตุผลจำเป็นเร่งด่วน พระสังฆราชาได้กล่าวว่าพระมหากษัตริย์เปรียบประดุจบิดาที่ไม่มีทางจะทำร้ายบุตรของพระองค์เอง 

ฐานันดรชาวนาก็พร้อมที่จะทำตามพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์โดยตระหนักว่าเป็นหน้าที่ของพวกเขา แม้ว่าเหล่าฐานันดรโดยรวมจะตระหนักว่าอำนาจของพวกเขากำลังถูกลดทอนลง แต่ก็ยืนยันสิทธิของพวกเขาเพียงแค่ให้มีการระบุเพิ่มเติมในข้อตกลงของที่ประชุมสภาฐานันดรว่า การยินยอมครั้งนี้จะไม่ลดทอนอภิสิทธิของเหล่าฐานันดรในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะไม่มีผลใด ๆ เมื่อเกิดเหตุจำเป็นแก่ราชอาณาจักร  ประเด็นคำถามสำคัญคือ เหตุใดเหล่าฐานันดรของสวีเดนไม่ต่อต้านความพยายามลดทอนอำนาจและสถานะของพวกเขา ที่แม้จะไม่ระบุเป็นหลักการ แต่ก็เป็นที่รับรู้และรับทราบในความเป็นจริง ?

 คำตอบประการหนึ่ง  อาจเป็นเพราะแต่ละฐานันดรต่างมุ่งรักษาผลประโยชน์แคบ ๆ (sectional interest) ของตนเองเสียมากกว่า กระนั้น เหล่าฐานันดรก็สามารถที่ต่อรองกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ดังกรณีที่ฐานันดรนักบวชมีข้อเรียกร้องต่อกฎหมายนักบวช หรือกรณีที่ฐานันดรอภิชนมีข้อเรียกร้องต่อการดำเนินนโยบายเวนคืน เป็นต้น

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในภาพรวมแล้ว   คำตอบประการที่สอง  คือ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงยืนกรานในหลักการและนโยบายของพระองค์ และทรงยินยอมให้แต่เพียงกรณีการร้องทุกข์เป็นรายบุคคลรายกรณีเท่านั้น นอกจากนี้ ความพยายามหลีกเลี่ยงหรือไม่กล้าลงนามในคำประท้วงภายในกลุ่มอภิชนยังสื่อนัยว่ามีการข่มขู่เกิดขึ้นด้วย ทั้งยังแสดงให้เห็นว่ามีสมาชิกฐานันดรอภิชนที่ไม่พอใจกับแรงกดดันจากพระราชอำนาจที่เพิ่มขึ้น

ที่ประชุมสภาฐานันดรแห่งปี ค.ศ.1689 ยังถกเถียงเรื่องระเบียบการที่กระทบต่อสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงมีความอ่อนไหวต่อคำกล่าวและข้อเขียนที่กระทบสถานะของพระองค์ พระองค์ไม่พอใจกับการถอนระเบียบการก่อนหน้าในปี ค.ศ.1682 ทำให้ในปี ค.ศ.1689 พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะให้มีการสื่อสารและให้ความรู้ทางการเมือง โดยทำให้การเสนอวาระดังกล่าวดูเหมือนว่ามาจากเหล่าฐานันดรเอง

 ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1689 ในการประชุมของสภาบริหารและในการประชุมสภาฐานันดรระหว่างปี ค.ศ.1633-1680 ได้ปรากฏเนื้อหาที่ เป็นปฏิปักษ์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์ เช่น ข้อความเข้าข่ายดังต่อไปนี้

-พระราชอำนาจถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญ

-พระมหากษัตริย์ไม่สามารถแต่งตั้งบุคคลขึ้นดำรงตำแหน่งโดยปราศจากการปรึกษากับสภาบริหารแห่งแผ่นดิน
-พระมหากษัตริย์ไม่สามารถตรากฎหมายได้ด้วยพระองค์เอง

-พระมหากษัตริย์ไม่สามารถกลับคำพิพากษาหรือตีความกฎหมายได้

-สิทธิอำนาจในการตัดสินใจบางประการเป็นของสภาบริหารแห่งแผ่นดินที่พระมหากษัตริย์จะต้องปฏิบัติตาม เป็นต้น 

มีการเรียกร้องให้ลบข้อความที่เป็น  “ข้อความเป็นการจาบจ้วงล่วงละเมิด”  สถาบันพระมหากษัตริย์และข้อความที่กล่าวหาประณามพระราชอำนาจและพระราชสิทธิ์ (the royal prerogative) ทั้งหมดออกไปข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากสภาฐานันดรมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยสภาฐานันดรได้เคยประกาศไว้ว่า อำนาจนิติบัญญัติเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ แม้ว่า สภาฐานันดรจะหวังว่า ในเรื่องที่มีความสำคัญจริงๆต่อฐานันดรต่างๆแล้ว พระมหากษัตริย์จะยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สภาฐานันดรถวายคำปรึกษาได้

แม้ว่าอภิชนบางคนต้องการให้จัดการปัญหาดังกล่าวนี้เป็นการภายใน แต่ที่ประชุมสภาฐานันดรมีความเห็นพ้องกันให้ตราเป็นพระราชบัญญัติขึ้นเป็นสาธารณะเพื่อประนามและให้มีการถอนข้อความที่หมิ่นพระมหากษัตริย์ ในการอภิปรายประเด็นดังกล่าว ไม่มีผู้ใดกล่าวความเห็นสนับสนุนข้อเขียนที่เป็นปัญหาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าเหล่าฐานันดรต่างรับว่า อุดมการณ์แบบสมบูรณาญาสิทธิ์เป็นจุดยืนของสังคมการเมืองสวีเดน

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการประนามโจมตีระบอบคณาธิปไตยของสวีเดนก่อนหน้ารัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด พร้อมไปกับการยืนยันถึงระบอบการปกครองระบอบใหม่ ทำให้เห็นได้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว “ระบอบการปกครองชนิดอื่นที่เป็นทางเลือกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ใช่ระบอบการปกครองที่เสรี แต่เป็นระบอบคณาธิปไตยที่จำกัดสิทธิเสรีพอ ๆ กัน บางคนอาจมองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นการปลดแอก และคนอื่น ๆ ก็อาจมองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ว่าไม่ได้เลวร้ายลงไปจากระบอบก่อนหน้าเลย”

 และด้วยเหตุนี้ ในราวเดือนมีนาคม ค.ศ. 1689 ที่ประชุมสภาฐานันดรจึงได้ตราพระราชบัญญัติ Cancelling Act (Kassationsakt) ที่มีเนื้อหาห้ามวิพากษ์วิจารณ์และฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ไม่ว่าในกรณีใดๆ และสภาฐานันดรได้ได้มีการประกาศที่เรียกว่า the declaration of sovereign ที่มีเนื้อหายืนยันพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ที่ไม่ทรงต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป 





กำลังโหลดความคิดเห็น