xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สรุปมหากาพย์ ‘NETA’ ตั้งแต่เริ่มจนถึงวัน ‘ล้มละลาย’ ส่วนในไทย “ตัวใครตัวมัน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จาง หย่ง (Zhang Yong) ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Hozon Auto

อย่างที่หลายคนรู้ว่า ตลาดจีน ที่ถือเป็นตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และก็มีการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดในโลกเช่นกัน โดยเฉพาะ  สงครามราคา  ซึ่งส่งผลให้แบรนด์เล็ก ๆ ที่สายป่านไม่ยาวต่างต้องล้มหายตายจากไป โดยรายล่าสุดก็คือ  เนต้า (NETA)  


 จุดเริ่มต้น NETA 

Neta (เนต้า) เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้  บริษัท Hozon New Energy Automobile Co., Ltd หรือที่รู้จักกันในชื่อ  Hozon Auto  ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% จากประเทศจีน โดยบริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ในมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน จากความร่วมมือระหว่าง Beijing Sinohytec (บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์) และสถาบัน Zhejiang Yangtze Delta Region มหาวิทยาลัย Tsinghua

วิสัยทัศน์หลักของบริษัทก็คือ ** “การสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้” ซึ่ง  จาง หย่ง (Zhang Yong)  อดีตซีอีโอของ Hozon Auto เคยกล่าวไว้ว่า   “Neta ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทใหญ่ระดับโลก แต่จะเน้นการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่มีความทันสมัย ราคาที่เข้าถึงได้ และประสิทธิภาพสูง” 

หลังจากก่อตั้งบริษัทได้ 3 ปี ในปี 2017 บริษัทก็ได้รับใบอนุญาตผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และเริ่มก่อสร้างโรงงานหลักที่มณฑลเจ้อเจียง พร้อมเผยคอนเซ็ปต์รถ SUV ขนาดกะทัดรัดรุ่นแรก และในปี 2018 บริษัทก็ได้เปิดตัว Neta N01 รถยนต์รุ่นแรกอย่างเป็นทางการ และได้เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติใน Silicon Valley ประเทศสหรัฐอเมริกา

ถัดมาในปี 2019 บริษัทเปิดตัวรถ Crossover รุ่นใหม่ Neta U ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นและออปชั่นที่ครบครัน รวมถึงได้ไปเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมในประเทศเยอรมนี รวมถึงศูนย์ออกแบบในเมือง Turin ประเทศอิตาลี จากนั้นในปี 2020 บริษัทก็ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่เข้ามาแทน Neta N01 ก็คือ Neta V ซึ่งได้รับการพัฒนาในหลายจุดให้ดีขึ้น จากนั้นในปี 2021 ก็เปิดตัว Neta U Pro ซึ่งเป็นการนำ Neta U มาปรับปรุงให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้น และ Neta S ซีดานไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย ซึ่งเคลมว่าสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 1,000 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม

 การขยายตัวและเข้าสู่ตลาดโลก 

นอกจากเปิดตัวรถรุ่นใหม่ทุกปีแล้ว บริษัทยังได้ขยายโรงงานผลิตรถยนต์ในจีนเพิ่ม รวมแล้วมีทั้งหมด 3 แห่ง ตั้งอยู่ในมณฑลเจ้อเจียง มณฑลเจียงซี และหนานหนิงเขตกวางสี มีกำลังการผลิตสูงสุด 250,000 คันต่อปี โดยในปี 2021 บริษัทสามารถทำยอดขายได้กว่า 170,000 คัน เติบโตมากถึง +362%

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในจีน ในช่วงปี 2022 บริษัทก็เริ่มบุกตลาดโลก โดยภูมิภาคแรกที่บริษัทเลือกไปก็คือ อาเซียน ทำให้ประเทศแรกที่ NETA เลือกไปก็คือ ไทย เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทำบริษัทได้เข้าสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการในนาม  บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด  พร้อมกับเปิดตัว Neta V เป็นรุ่นแรก ซึ่งสร้างความฮือฮาให้ตลาดด้วยราคาเปิดตัวที่ 549,000 บาท พร้อมกับจัดตั้งศูนย์บริการ 24 แห่งทั่วประเทศในปีแรก

จากนั้นในปี 2023 Neta ได้เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านโรงงานของบางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี (BGAC) ที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร โดยมีกำลังผลิต 20,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายในไทยและในตลาดอาเซียน โดยในปี 2024 Neta ได้เริ่มผลิต NETA V-II (รุ่นปรับปรุงของ Neta V) จากโรงงานในประเทศไทย และเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าชาวไทย

ในส่วนของยอดขายนั้น ถือว่าสามารถทำได้ไม่แย่ โดยเฉพาะในปี 2023 ที่มียอดขายได้ถึง 12,777 คัน ขึ้นแท่นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนสูงสุดเป็นอันดับสองในประเทศไทย รองจาก BYD แต่ในปี 2024 ที่เจอทั้งสงครามราคา และสถานการณ์หนี้เสียในไทย ทำให้ยอดขายของ Neta ลดลงเกือบครึ่ง เหลือ 7,969 คัน

 สงครามราคาที่ไม่ปราณีรายเล็ก 

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน มีผู้ผลิตจำนวนมากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดและยอดขายได้ตามที่ต้องการ และ Neta ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ทนพิษบาดแผลจากสงครามไม่ไหว ส่งผลให้ ยอดขายในประเทศลดลงอย่างฮวบฮาบ

จากที่ปี 2022 เคยขายได้ 152,000 คัน ทำสถิติสูงสุด มาปี 2023 ยอดขายเริ่มลดลงเหลือ 127,500 คัน จนในปี 2024 เหลือ 60,000 คัน และในเดือนมกราคม 2025 ลดเหลือแค่ 110 คัน เท่านั้น

 ขัดแย้งภายในองค์กร 

จากยอดขายที่ค่อย ๆ ลดลง ทำให้ในปี 2024 ซีอีโอ จางหย่ง  ลาออกจากตำแหน่ง และมี  ฟางหยุนโจว (Fang Yunzhou)  ผู้ก่อตั้งและประธานของ Neta Auto เข้ามารับตำแหน่งแทน เพื่อแก้สถานการณ์

แต่แทนที่บริษัทจะเดินไปข้างหน้า บริษัทกลับอยู่ในภาวะ อัมพาต เมื่อซีอีโอใหม่ต้องการจะ เดิมพันครั้งสุดท้าย กับการลุยตลาดต่างประเทศ แต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทมองตรงกันข้ามเพราะดูจะเสี่ยงเกินไป จึงต้องการให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างหนี้สินอย่างจริงจัง หยุดการเผาเงิน เมื่อเกิดความขัดแย้งในระดับนโยบาย องค์กรก็ไม่สามารถเดินหน้าได้
และเมื่อบริษัทขาดสภาพคล่อง พนักงานของ Neta ก็ ไม่ได้รับเงินเดือนตั้งแต่ปลายปี 2567 และมีการประท้วงเรียกร้องเงินเดือนค้างจ่าย นอกจากนี้ ยังมีการปลดพนักงานเกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานทั้งหมด

ฟาง หยุ่นโจว (Mr.Fang Yunzhou) (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน ขณะเข้าพบนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อหารือแผนธุรกิจในไทย
 หนี้ก้อนเล็กที่ล้มยักษ์ 

จนมาปี 2025 มีรายงานว่า บริษัทโฆษณา Shanghai Yuxing Advertising Co. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเนื่องจาก Hozon Auto ค้างชำระค่าบริการโฆษณาและการพิมพ์งานแสดงสินค้าเป็นเงินมูลค่า 5 ล้านหยวน (ราว 27 ล้านบา) ซึ่งการที่บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าระดับพันล้านถูกฟ้องร้องเรื่องเงินเพียงเท่านี้ ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักของสภาพคล่องบริษัท

และการฟ้องร้องของบริษัทโฆษณาก็เป็นเพียงยอดเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็งจริง ๆ เพราะจริงบริษัท Hozon Auto มีหนี้สินสะสมเกือบ 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 4.56 หมื่นล้านบาท) จนในเดือนมีนาคม 2025 บริษัทพยายามเจรจากับซัพพลายเออร์หลัก 134 รายเพื่อเปลี่ยนหนี้เป็นทุนรวมกว่า 2 พันล้านหยวน (ราว 9.1 พันล้านบาท ) แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาสภาพคล่องทั้งหมด และแม้บริษัทพยายามระดมทุนใน Series E แต่ก็ล้มเหลว

 ดีลเลอร์ไทยแห่เทขาย 

หลังจากข่าวการล้มละลายของบริษัทแม่แพร่สะพัด แต่ Neta Auto (Thailand) ได้ออกมายืนยันว่าการดำเนินงานในประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบ และจะยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ โดยมีการโชว์จัดตั้งศูนย์กระจายอะไหล่แห่งใหม่เพื่อรองรับการบริการหลังการขาย และมีแผนที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างน้อยปีละ 1 รุ่น รวมถึงขยายโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานให้ครอบคลุม

แต่คำยืนยันดังกล่าวก็ดูเหมือนจะยิ่งเลื่อนลอย เมื่อ น.ส.สรินยา ศรีไทย  พนักงานตำแหน่ง Sale Operation Specialist ของบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้เข้าแจ้งความโดยระบุว่า ก่อนหน้านี้ทางบริษัทได้มีข้อตกลงให้ตนเองเป็น กรรมการของบริษัท เนต้า ออโต้ โดยอ้างว่าทางบริษัทต้องมีกรรมการบริษัทฯ จำนวน 2 คน แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่ามีตนมีกรรมการบริษัท เพียงคนเดียว

 นอกจากนี้ เมื่อดูรายงานงบการเงินล่าสุด ณ สิ้นปี 2566 ของ Neta ได้แสดงถึงขาดทุนสะสม 1,882 ล้านบาท โดยมีหนี้ค้างจ่ายรวมราว 600 ล้านบาท ครอบคลุมดีลเลอร์, ซัพพลายเออร์, บริษัทโลจิสติกส์ และ BGAC ผู้ผลิตในไทย 
จึงไม่น่าแปลกใจที่เหล่า ดีลเลอร์ ในไทยจะรวมตัวกันเข้าร้องเรียนกับกรรมสรรพสามิต เนื่องจาก Neta ไม่ยอมจ่ายเงินสนับสนุนและค่าการตลาดที่ตกลงกันไว้ เป็นค่าเสียหายกว่า 200 ล้านบาท จนปัจจุบัน จำนวนดีลเลอร์ในไทยเหลือเพียง 40 ราย จากเดิมมี 60 ราย

โดย 20 รายที่ถอนตัวได้เทขายรถค้างสต๊อกในราคาเพียง 299,000-339,000 บาท ด้านโรงงานผลิตในไทยที่บางชัน ก็ต้องหยุดสายงานการผลิต เพราะไม่มีชิ้นส่วนจากจีนส่งมาไทย เนื่องจากบริษัทแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าชิ้นส่วน

ที่น่าเป็นห่วงสุดคงเป็นเจ้าของรถ NETA กว่า 22,000 คัน เพราะการรับประกัน ที่ควรได้รับกลายเป็นเพียงลมปาก เพราะศูนย์บริการยังมี แต่จำกัด และอาจไม่มีอะไหล่ ทำให้ต้องพึ่งอู่ซ่อมทั่วไปหรืออะไหล่เทียบจากแหล่งอื่นแทน ซึ่งอาจกระทบความปลอดภัยและมูลค่ารถ

ดังนั้น ถ้ารถยังวิ่งได้ ก็มีทางออกทางเดียวคือ พยายามขับและดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนถ้าคิดจะ “ขาย” ก็ต้องยอมรับว่าและทำใจว่า อาจต้องลดราคาแรง แต่ก็ไม่แน่นักว่าจะขายได้

ส่วนทางบริษัทจากนี้คงต้องจับตาดูอนาคตของ NETA ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ ๆ แม้ว่าบริษัทกำลังอยู่ในการปรับโครงสร้างบริษัท และหาผู้ลงทุนรายใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขวิกฤต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า NETA ได้ สูญเสียความเชื่อมั่น จากทั้งฝั่งผู้บริโภค และพาร์ทเนอร์ไปเรียบร้อยแล้ว

เช่นเดียวกับในไทยที่คำตอบจากผู้บริหารในไทยสรุปสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า  “ถ้า เนต้า ที่จีนยังอยู่ เนต้า ไทยก็อยู่” 

คลังเดินหน้า “รถเก่า” แลก “รถใหม่” กระตุ้น “ตลาดกระบะ” ที่ยอดขายฟุบหนัก

เงื้อง่าราคาแพงและโยนหินถามทางกันมาพักใหญ่ นับเนื่องตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คราวนี้ “โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” ทำท่าว่าจะกลายเป็นความจริงในช่วงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่มี “พิชัย ชุณหวชิร” เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

เป็นแนวคิดที่ต้องบอกว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากโครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ซึ่งมี “บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)” เป็นหัวหอกหลักเพื่อการกระตุ้นตลาดรถยนต์ โดยเฉพาะเชิงพาณิชย์ซบเซาให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

“แนวคิดคือ สามารถนำรถกระบะเก่าอายุ 20-25 ปี นมาแลกรถคันใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายรถกระบะ และกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยจะให้เงื่อนไขทางภาษีคือลดภาษีรถใหม่ให้ พร้อมกับใช้กลไกการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) ด้วย”พิชัยเปิดเผยรายละเอียดในเบื้องต้น

ด้าน “นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์” ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ เป็นข้อเสนอที่ทางกระทรวงการคลัง จะนำเข้า ครม. ซึ่งน่าจะทำให้ยอดขายในประเทศดีขึ้น ปัจจุบันรถเก่าอายุ 20 ปี ในระบบมีประมาณ 2 ล้านคัน มีโอกาสเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ว่าจะลดภาษีรุ่นไหนแลกอะไร

ขณะเดียวกันรัฐต้องคุยกับไฟแนนซ์ด้วยเพื่อให้เขาปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นโครงการไม่เดิน และควรมีกองทุน 5,000 ล้านบาท เหมือนตัวที่ทำกับรถกระบะมารองรับ เพื่อไม่ให้รถขาดทุนต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อคัน แบบนี้ไฟแนนซ์น่าจะปล่อย ซึ่งอาจจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถทั้งระบบได้ 50,000-100,000 คัน ส่วนสถานการณ์หนี้เสียลด เพราะไฟแนนซ์ไม่ปล่อย แต่ก็อยากให้ขอให้รถที่มีอายุ 5-7 ปี ให้เข้าเงื่อนไขด้วย

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์เปิดเผยด้วยว่า ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีรถยนต์ที่ผลิตได้ทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ถึง 33.51% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 10.32% เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน เป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ BEV และ PHEV ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 63.88%

อย่างไรก็ตาม หากรวมตัวเลข 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) ยังคงมียอดผลิตทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลง 7.82%

ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 87,297 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 1.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ก็ยังคงลดลง 10.2%

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ที่ 10.67% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 4.73% เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV เพราะราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลง 24.84% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน

เพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอ จากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำ รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องความปลอดภัย กังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ จากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกัน ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก

ดังนั้น ยอดขาย 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) จึงอยู่ที่ 252,615 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกัน 2.98%

ในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV 5 เดือนอยู่ที่ 53,955 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 22.85% ประเภท HEV 60,793 คัน เพิ่มขึ้น 2.49% ประเภท PHEV 9,822 คัน เพิ่มขึ้น 142.34%

“5 เดือน ผลิต EV ได้สูงสุด เพราะค่ายรถเร่งผลิตชดเชยตามมาตรการที่ EV3.0 และ 3.5 ปีนี้คาดว่าจะเห็น EV ผลิตถึง 50,000 คัน รวมแล้วคงเห็นยอดผลิตรถทั้งหมดไปที่ 600,000 คัน”


กำลังโหลดความคิดเห็น