xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คลังเดินหน้า “รถเก่า” แลก “รถใหม่” กระตุ้น “ตลาดกระบะ” ที่ยอดขายฟุบหนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เงื้อง่าราคาแพงและโยนหินถามทางกันมาพักใหญ่ นับเนื่องตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คราวนี้ “โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” ทำท่าว่าจะกลายเป็นความจริงในช่วงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่มี “พิชัย ชุณหวชิร” เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

เป็นแนวคิดที่ต้องบอกว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากโครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ซึ่งมี “บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)” เป็นหัวหอกหลักเพื่อการกระตุ้นตลาดรถยนต์ โดยเฉพาะเชิงพาณิชย์ซบเซาให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

“แนวคิดคือ สามารถนำรถกระบะเก่าอายุ 20-25 ปี นมาแลกรถคันใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายรถกระบะ และกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยจะให้เงื่อนไขทางภาษีคือลดภาษีรถใหม่ให้ พร้อมกับใช้กลไกการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) ด้วย”พิชัยเปิดเผยรายละเอียดในเบื้องต้น

ด้าน “นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์” ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ เป็นข้อเสนอที่ทางกระทรวงการคลัง จะนำเข้า ครม. ซึ่งน่าจะทำให้ยอดขายในประเทศดีขึ้น ปัจจุบันรถเก่าอายุ 20 ปี ในระบบมีประมาณ 2 ล้านคัน มีโอกาสเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ว่าจะลดภาษีรุ่นไหนแลกอะไร

ขณะเดียวกันรัฐต้องคุยกับไฟแนนซ์ด้วยเพื่อให้เขาปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นโครงการไม่เดิน และควรมีกองทุน 5,000 ล้านบาท เหมือนตัวที่ทำกับรถกระบะมารองรับ เพื่อไม่ให้รถขาดทุนต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อคัน แบบนี้ไฟแนนซ์น่าจะปล่อย ซึ่งอาจจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถทั้งระบบได้ 50,000-100,000 คัน ส่วนสถานการณ์หนี้เสียลด เพราะไฟแนนซ์ไม่ปล่อย แต่ก็อยากให้ขอให้รถที่มีอายุ 5-7 ปี ให้เข้าเงื่อนไขด้วย

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์เปิดเผยด้วยว่า ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีรถยนต์ที่ผลิตได้ทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ถึง 33.51% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 10.32% เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน เป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ BEV และ PHEV ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 63.88%

อย่างไรก็ตาม หากรวมตัวเลข 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) ยังคงมียอดผลิตทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลง 7.82%

ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 87,297 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 1.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ก็ยังคงลดลง 10.2%

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ที่ 10.67% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 4.73% เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV เพราะราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลง 24.84% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน

เพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอ จากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำ รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องความปลอดภัย กังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ จากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกัน ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก

ดังนั้น ยอดขาย 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) จึงอยู่ที่ 252,615 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกัน 2.98%

ในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV 5 เดือนอยู่ที่ 53,955 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 22.85% ประเภท HEV 60,793 คัน เพิ่มขึ้น 2.49% ประเภท PHEV 9,822 คัน เพิ่มขึ้น 142.34%

“5 เดือน ผลิต EV ได้สูงสุด เพราะค่ายรถเร่งผลิตชดเชยตามมาตรการที่ EV3.0 และ 3.5 ปีนี้คาดว่าจะเห็น EV ผลิตถึง 50,000 คัน รวมแล้วคงเห็นยอดผลิตรถทั้งหมดไปที่ 600,000 คัน”


กำลังโหลดความคิดเห็น