xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

WAY OUT แพพาพัง อยู่ต่อ ลาออก ยุบสภา รัฐประหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ออกไป…ออกไป...ออกไป

เสียงตะโกนดังกึกก้องทั่วประเทศไทยทีเดียวหลังปรากฏ “คลิปหลุด” การสนทนาระหว่าง “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในฐานะผู้มีอำนาจตัวจริง กับ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีไทย เกี่ยวกับการแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

เป็นคลิปการสนทนาส่วนตัวระหว่าง “ฮุน เซน” กับ “แพทองธาร” ผ่านล่าม โดย “ฮุน เซน” ยอมรับว่า “ผมจำเป็นต้องบันทึกเสียงสนทนาและเพื่อให้มีความโปร่งใสในกิจการภายในของกัมพูชา”

ที่น่าสนใจก็คือ เนื้อหาในคลิปสนทนา เพราะทำให้คนไทยแทบทั้งแผ่นดิน “ของขึ้น” เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีของไทยพูด และเป็นใบเสร็จที่ทำให้เข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดว่าเป็นเพราะอะไร โดยเฉพาะความเชื่องช้าในการรับมือมือกับสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา เพราะฝ่ายไทยจะตามหลังฝ่ายกัมพูชาให้เห็นอยู่เสมอๆ

“ไม่อยากให้คุณลุงไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย พอไปฟังฝั่งนั้นเสร็จก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจหรือโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลย

“บอกว่าให้ท่านฮุน เซนน่ะ เอ่อเห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว” เสียงของ น.ส.แพทองธาร ในคลิประบุ

ทันทีที่เนื้อหาสาระในคลิปความยาว 9 นาทีกว่าๆ หลุดออกมา ทำเนียบรัฐบาลก็ร้อนเป็นไฟด้วยประชาชนคนไทยทั้งแผ่นดินรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่า “พลโทบุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงกันข้าม หรือการยินยอมตกลงทำตามที่ “ฮุน เซน” เรียกร้องกับประโยคที่กลายเป็นไวรัลไปแล้วอย่าง “เห็นใจหลานหน่อย อยากได้อะไรก็บอกมา”

แน่นอน นางสาวแพทองธารไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ เพราะ “ฮุน เซน” ชิงตัดหน้าประกาศออกมาก่อนว่า เป็นคลิปเสียงจริง จนต้องรีบตัดสินใจอธิบายถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของบทสนทนา

นายกฯ แพทองธารพยายามแก้ตัวว่า การที่บอกว่าพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงกันข้าม เพราะเป็นเทคนิคในการเจรจาพูดคุยต่อรอง รวมทั้งทราบข้อมูลจากทางล่ามว่า “ฮุน เซน” ไม่พอใจและโกรธแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นอย่างมาก
พร้อมทั้งบอกด้วยว่า สิ่งที่ตนเองทำมีจุดมุ่งหมายและมีประเด็นที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองและรักษาอธิปไตยของไทยไว้ ให้ผลประโยชน์อยู่กับประเทศชาติและประชาชน
ขณะเดียวกันก็พยายามพูดคุยด้วยความนุ่มนวล เพราะบางทีแล้วเวลาคุยกันส่วนตัวก็เรียกกันลุงหลาน เหมือนคุยกันกับรัฐมนตรีใน ครม.ทำงานมาตั้งแต่รุ่นของคุณพ่อ เรียกอา เรียกลุง เป็นปกติ

“แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วค่ะ ว่า ความต้องการของท่านจริงๆ แล้วเป็นความต้องการคะแนนนิยม ภายในประเทศของท่านเองโดยไม่สนใจว่าจะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร การที่ท่านต้องการจะมี Popularity ในประเทศของท่าน เพราะท่านก็เคยบอกดิฉันว่า popularity เริ่มตก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อยากจะเรียกพลังตรงนี้ ดิฉันก็หวังว่าท่านจะได้คะแนนความนิยมเพิ่ม และอยู่ในสายตาของโลกที่จับตามองอยู่ว่า เมื่อผู้นำสองท่านคุยกัน ส่วนตัว แต่มีการอัดคลิปและปล่อยออกมาแบบนี้ แน่นอนว่าดิฉันไม่ได้ปล่อย ก็ตามนั้นค่ะจะได้เข้าใจจุดประสงค์ ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการเจรจาให้เกิดสันติภาพ ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นหนึ่งในการทำให้ Popularity ของท่านเพิ่มขึ้นก็ไม่เป็นไร ก็ตามนั้นค่ะ”นายกรัฐมนตรีกล่าวและบอกด้วยว่า “ต่อไปนี้จะไม่ขอคุยส่วนตัวแล้ว เพราะจะมีปัญหาเรื่องของความไว้ใจ”
หลังนายกรัฐมนตรีชี้แจงเสร็จ กระแสกระแสความไม่พอใจขยายวงกว้างไปอย่างรวดเร็วในหมู่ประชาชนชาวไทยมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก จนทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร “ยุบสภา” เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน หรือไม่ก็ “ลาออก” เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น ด้วยเนื้อหาในบทสนทนานั้นแสดงให้เห็นถึงการไม่รักษาเกียรติภูมิของผู้นำประเทศด้วยการแสดงความสนิทสนมกับ “ฮุน เซน” ในฐานะหลานสาวที่พร้อมจะยอมทำทุกอย่างที่ “UNCLE” ขอ โดยไม่มีความพยายามที่จะชี้แจงประเด็นสำคัญอันเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชาคือการโน้มน้าวให้กัมพูชาหันมาเจรจาด้วยกลไกทวิภาคีแทนที่จะเดินหน้าสู่ศาลโลก

ที่สำคัญคือยอมรับแบบโต้งๆ กับ “ฮุน เซน” ว่า รัฐบาลของตนเองกับกองทัพไม่มีความเป็นเอกภาพ เหมือนดังที่ฮุน เซน โพสต์มาโดยตลอดว่า เป็นรัฐบาลที่ไม่สามารถสั่งการกองทัพได้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเอาข้อมูลของชาติไปแบไต๋ให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับรู้ประหนั่งทำตัวเป็น “สายลับหรือจารชนกัมพูชา” เสียเอง

“รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช” อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่า นี่ถือได้ว่าเป็นแบล็กเมล์ทางการทูต ที่สร้างความเสียหาย และผลกระทบอยู่ที่ผู้นำไทยเป็นหลัก ที่สำคัญคือยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐนตรีของไทยดูจะเกรงอกเกรงใจ “ฮุนเซน และฮุน มาเนต” เป็นอย่างมาก

ด้าน “ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร” อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โพสต์แสดงความคิดเห็นลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “งานนี้ ยุบสภาไม่ได้เลย ต้องลาออกสถานเดียว สภาไม่ได้มีปัญหา”

เช่นเดียวกับ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ที่มีความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า “เรื่องมาถึงระดับนี้ความจริงต้องยอมรับผิดสถานเดียวแล้วก็รับผิดชอบด้วยการลาออก”

สำหรับในฟากการเมือง “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแสดงความคิดเห็นว่า ทุกคนคาดว่าว่านายกรัฐนตรีแพทองธารจะสื่อสารกับผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีวุฒิภาวะและมีเกียรติภูมิในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาของส่วนรวม ไม่ใช่สื่อสารในฐานะหลานสาวของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองส่วนตัว

ทั้งนี้ สิ่งที่ไม่ควรออกจากปากผู้นำไทยคือการสื่อสารกับผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านว่ากองทัพไทยเป็นฝ่ายตรงข้ามทั้งกับรัฐบาลไทยและกัมพูชา ทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารเป็นคนแถลงต่อสาธารณะเองหลายครั้งว่ารัฐบาลมอบหมายให้กองทัพตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการเปิดปิดด่าน และไม่มีความแตกแยกระหว่างกองทัพกับรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้ “ยุบสภา”

เช่นเดียวกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม - พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ต้องการให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพ่อ และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็นอา

ขณะที่ก็ต้องยอมรับว่า มีจำนวนไม่น้อยเชียร์ให้มี “การรัฐประหาร” เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลเลยเสียด้วยซ้ำไป

ทั้งนี้ สถานการณ์ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงขั้นสุด เพราะนอกจากวิกฤต “คลิปหลุด” ที่สั่นสะเทือนเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างรุนแรงแล้ว ภายในรัฐบาลเองก็กำลังเจอกับมรสุมทางการเมืองลูกใหญ่ หลังจากพรรคเพื่อไทยแจ้งความประสงค์ว่าต้องการ “กระทรวงมหาดไทย” คืนจากพรรคภูมิใจไทย โดยยื่นเงื่อนไขแลกกับ 2 กระทรวงคือกระสาธารณสุขและสำนักนายกรัฐมนตรี

ทว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์เสียงดังฟังชัดว่า ไม่ยอมแลก และพร้อมถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมทั้งทยอยเก็บข้าวของออกจากระทรวงมหาดไทยอีกต่างหาก

คล้อยหลังจากนายกฯ แพทองธารให้สัมภาษณ์ไม่นานนัก “พรรคภูมิใจไทย” ก็ตัดสินใจถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไม่รอช้า พร้อมกับให้รัฐมนตรีของพรรคทุกคนลาออกจากตำแหน่ง ในจังหวะที่บังเอิญอย่างร้ายกาจ ทำให้ งานนี้ “เสี่ยหนู-เสี่ยเน-นายเนวิน ชิดชอบ” ถึงกับต้องร้องบอกว่า “คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต” เลยทีเดียว เพราะเป็นจังหวะที่พรรคเพื่อไทยเดินเครื่องเขี่ยพ้นจากรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันก็ส่งแรงกดกันไปยัง “พรรคร่วมรัฐบาล” อื่นๆ โดยเฉพาะ 2 พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ยิ่ง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่มีชนักปักหลักว่าเป็น “พรรคลุงตู่” ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นที่จับตา เพราะควรจะเป็นพรรคแรกๆ ที่ต้องตัดสินใจถอนตัวเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งหลังเกิดคลิปหลุดทางพรรคก็ได้โพสต์ข้อความออกมาแล้วว่า “พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอยืนยันจุดยืนในการธำรงและพิทักษ์อำนาจอธิปไตย เกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เหนือสิ่งอื่นใด”
ทว่า ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคบอกเพียงว่า “ขอนำมติไปคุยกับนายกรัฐมนตรีก่อน” จากนั้นก็มีการปล่อยข่าวออกมาว่า ถ้าพรรคถอนตัวและมีการยุบสภาจะทำให้กระแสของพรรคประชาชนกลับมาอย่างท่วมท้นมากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และให้ “หัวหน้าพี” ไปเสนอให้มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเป็น “นายชัยเกษม นิติสิริ” ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่พรรครวมไทยสร้างชาติพอจะรับได้


 จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ที่พรรครวมไทยสร้างชาติออกอาการแทง “กั๊ก” และอยากอยู่ในอำนาจต่อไป เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า พรรคนี้มี “บิ๊กทุนพลังงาน” ซึ่งเป็นโซ่ข้อกลางที่จะเชื่อมกับพรรคเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตรอยู่แล้ว ที่สำคัญคือ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ที่รัฐบาลแพทองธารไม่กล้าตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดการสื่อสาร เครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ส่งผ่านเข้าไปในกัมพูชา เป็นเพราะมีเหตุและปัจจัยนี้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

แต่ที่แน่เสียกว่าแช่แป้งก็คือ ข่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มเช่นกัน

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ “นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน” ก็ชัดเจนแล้วว่าไปต่อ แถมมีกระแสข่าวด้วยว่า ในการปรับครม.ที่กำลังจะเกิดขึ้นพรรคแมลงสาบจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่ม ที่ร่ำลือกันล่วงหน้าก็คือ “นายเดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรคจะได้นั่ง “มท.2”

เช่นเดียวกับ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่ “ลูกท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา” แถลงด้วยหน้าตาชื่นมื่นว่า จะสนับสนุนรัฐบาลต่อไป

อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะต้องจับตากันต่อไปคือ “WAY OUT” หรือ “ทางออก” ที่คนไทยจะต้องเห็นนับจากนี้กับการตัดสินใจของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ภายใต้บงการของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพ่อว่าจะทำอย่างไรต่อไป

ทางแรกก็คือ นางสาวแพทองธารก้มหน้าก้มตาอยู่ในเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ต่อไป โดยไม่สนใจเสียงขับไล่ของประชาชน

ทางที่สองคือ ตัดสินใจ “ยุบสภา” เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน

ทางที่สามคือ ตัดสินใน “ลาออก” จากตำแหน่งนายกรัฐนตรี ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องมีการสรรหา “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ตามรายชื่อ “แคนดิเดต” ที่พรรคการเมืองแจ้งเอาไว้ 6 คน ประกอบด้วย 1.นายอนุทิน ชาญวีรกุล พรรคภูมิใจไทย 2.นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย 3.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พรรคพลังประชารัฐ 4.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ 5.นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ 6.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคประชาธิปัตย์

สิ่งที่จะต้องวิเคราะห์กันต่อไปก็คือ ทั้ง 3 การตัดสินใจของนางสาวแพทองธารจะส่งผลทางการเมืองในรูปลักษณ์ใดบ้าง

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า วิกฤติการณ์ “คลิปหลุด” ดังกล่าว ส่งผลกระเทือนหลายมิติ ทั้งในเรื่องภาพลักษณ์ “ผู้นำรุ่นใหม่” ของนางสาวแพทองธารที่ได้รับความหวังจากมวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย ได้สำแดงให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า “มือไม่ถึง” และเป็นแค่เพียง “นายกฯ ฝึกงาน” และ “ร่างทรงของผู้เป็นพ่อ” ที่ต้องคอยสั่งให้ซ้ายหันขวาหันเท่านั้น

ที่สำคัญยังฉาบเอาไว้ด้วยภาพจำของนายกรัฐมนตรงที่ไม่สามารถแยกแยะผลประโยชน์ของรัฐออกจากความสัมพันธ์ส่วนตัว จนมองว่า กองทัพอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง

อย่างไรก็ดี ณ เวลานี้ จากปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเลือก “อยู่ต่อ” ยื้อเวลาความเป็นรัฐบาลเอาไว้ เพราะคิด วิเคราะห์ แยกแยะแล้วว่า การลาออกโดยส่ง “นายชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตของพรรคขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ ก็มิได้ช่วยกอบกู้สถานการณ์อะไรได้มากนัก

ส่วนการตัดสินใจยุบสภานั้น แน่นอนว่า เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถประคับประคองสถานการณ์ไปได้แค่ไหน ซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่า ไม่เกินต้นปี 2569 การยุบสภาจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะทางเลือกไหน ราคาที่ตระกูลชินวัตรและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องจ่ายก็คือ การหมดความชอบธรรมทางการเมืองในสายตาประชาชน ซึ่งส่งผลกระทบขั้นรุนแรงต่ออนาคตทางการเมืองของ “ตระกูลชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” อย่างแสนสาหัสในทุกมิติ รวมทั้งต้องเผชิญหน้ากับการชุมนุมต่อต้านที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่นับรวมถึงการตรวจสอบจริยธรรมร้ายแรงที่มีผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อย และปฏิบัติการเอาคืนจากค่ายสีน้ำเงินที่ลับมีดรอเอาไว้แล้ว

ที่สำคัญคือไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ผลจะออกมาในรูปลักษณ์ใด แต่ที่แน่ๆ คือจำนวน สส.ที่พรรคเพื่อไทยจะได้รับน้อยกว่าเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นๆ

ทว่า อีกหนึ่งหนทางที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นเช่นกัน นั่นก็คือ “การรัฐประหาร” ที่นับวันเสียงสนับสนุนจะดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะประชาชนหมดศรัทธากับพรรคการเมืองและนักการเมืองที่สำแดงให้เห็นอยู่ ณ เวลานี้ว่ามิได้เห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง.




กำลังโหลดความคิดเห็น