xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนเส้นทางอัปเปหิ “ภูมิใจไทย” จากไม่ “ตาย” ก็ “คางเหลือง” สู่จังหวะ “ถอนตัว” แบบ “เท่ๆ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ฉากสุดท้ายของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทยในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในระหว่างการแถลงข่าวของ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในกรณี “คลิปหลุด”
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้ว่าปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชากำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน...

แม้ว่า สงครามระหว่าง “อิสราเอลกับอิหร่าน” ภายใต้คำบงการของสหรัฐฯ กำลังทำให้โลกร้อนเป็นไฟ และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์หรือเลยเถิดไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 3...

แต่การเมืองไทยก็ยังคงเดินหน้าปะทะกันอย่างดุเดือดสำหรับ “การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)” ที่ “พรรคเพื่อไทย” มีเป้าหมายชัดว่าต้องการเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” จาก “พรรคภูมิใจไทย” ให้จงได้ โดยสูตรล่าสุดที่ออกมาก็คือแลกกับ “กระทรวงสาธารณสุข” และ “สำนักนายกรัฐมนตรี”

ดุเดือดถึงขนาดที่ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และเจ้าของเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยถึงกับเอ่ยปากว่า “ถ้าอยู่กระทรวงมหาดไทยไม่ได้ เราก็ต้องพร้อมถอยไปเป็นฝ่ายค้าน... มาถึงจุดนี้ปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว”

ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน สัญญาณของการบีบขั้นสุดของพรรคเพื่อไทยสำแดงให้เห็นชัดเจนในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมาในการพบกันระหว่าง “แพทองธาร ชินวัตร” และอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมีรายงานว่าเป็นการ “แจ้งเพื่อทราบ” ไม่ใช่การ “เจรจาต่อรอง” สำหรับกระทรวงที่จะขอใช้แลกแต่ประการใด

ขณะที่ในฝั่งของพรรคเพื่อไทย “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ก็ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอนุทินระบุว่าพร้อมเป็นฝ่ายค้านหากถูกยึดกระทรวงมหาดไทยว่า “ไม่มีนะคะ เมื่อวานก็ไม่เห็นพูดแบบนี้เลย ไม่ได้ยินแบบนี้”

และคล้อยหลังจากนั้น ก็มีเดดไลน์ออกมาจากฝั่งเพื่อไทยชัดเจนว่า ขอคำตอบภายใน 48 ชั่วโมง หรือถึงเวลา 15.00 น.ของวันที่ 19 มิถุนายน ทว่า ไม่ถึงกำหนดก็มีสัญญาณออกมาจากพรรคภูมิใจไทยว่า ไม่รับเงื่อนไขทั้งหลายทั้งปวงที่พรรคภูมิใจไทยส่งมา

ทั้งนี้ นายอนุทินให้สัมภาษณ์โดยกล่าวยอมรับว่า เป็นเรื่องจริงที่ว่า นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ติดต่อขอเข้าพบด่วน และได้ยื่นข้อเสนอ 1 แลก 2 จริง โดยให้คืนมหาดไทย แลกกับบริหารกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยรัฐมนตรีสำนักนายกฯ แต่ได้ตอบเซย์โนทันที โดยปฏิเสธกลับไปอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า ก่อนที่สถานการณ์จะเดินมาถึงจุดดังกล่าว พรรคภูมิใจไทยถูกบีบอย่างหนัก โดยสัญญาณบีบขั้นสุดมาพร้อมๆ กับ “หมายเรียก” แกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย จำนวน 20 คน ในคดี “โพยฮั้วสว.” ที่ถูกปล่อยออกมาวันเดียวกัน และเป็นวันเดียวกับที่พรรคภูมิใจไทย นัดประชุมกรรมการบริหารพรรค และสส.ของพรรค

เป็นหมายเรียก “ลอต 7” ที่หมายเด็ดหัว “ระดับบิ๊กๆ” ของค่ายสีน้ำเงินทั้งสิ้น อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายเนวิน ชิดชอบ นายไชยชนก ชิดชอบ นายภราดร ปริศนานันทกุล นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ น.ส.บุณย์ธิดา สมชัย เป็นต้น

งานนี้ นายอนุทินถึงกับกล่าวว่า “ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ เมื่อวานผมได้เรียนนายกรัฐมนตรีไปว่า ไม่เคยเจอแบบนี้ หากบอกว่า สมัยที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยโดนรัฐประหารก็ไม่โดนขนาดนี้ นี่ในระบอบประชาธิปไตย ระบอบรัฐสภาแท้ๆ ทำไมต้องเล่นกันขนาดนี้ ซึ่งผมก็ได้เรียนท่านไปว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ในคณะรัฐบาลชุดนี้จริงๆ ก็มาขอความเป็นธรรม ให้ท่านนายกฯ ได้ช่วยคุ้มครอง ถ้าทำได้”

ทั้งนี้ ถ้าหากจับปฏิกิริยาจากฝั่งภูมิใจไทยตลอดช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่า “ไม่ค่อยสู้ดีนัก” และทำท่าว่าจะไม่สามารถเจรจาต่อรองเพื่อยึดเก้าอี้กระทรวงมหาดไทยเอาไว้ต่อได้ โดยค่ายสีน้ำเงินพยายามแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีแค่เพียงสส. 69 เสียงในสังกัดปัจจุบันเท่านั้น หากแต่ยังมีสมัครพรรคพวกที่พร้อมจะย้ายสำมะโนครัวว่าร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วยอย่างน้อยอีก 8 เสียง

โดยมีการปล่อยภาพนายเนวิน ชิดชอบขณะพูดคุยกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งคุมเสียง 6 สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐเอาไว้ในมือ หรือก่อนหน้านั้นกับการที่ 2 สส. อุดรธานี พรรคไทยสร้างไทย อย่างอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ และหรั่ง ธุระพล เปิดตัวไปต้อนรับนายอนุทินและคณะในการลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี

แต่ดูเหมือนว่า จะไม่สามารถเปลี่ยนใจ “นายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย” ที่ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดไปแล้ว

คำถามมีอยู่ว่า การอยู่ต่อหรือการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลนั้น จะทำให้ “ฉากทัศน์การเมืองไทย” ดำเนินไปในรูปแบบใด

แน่นอน การอยู่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลย่อมแสดงให้เห็นว่า “เสี่ยหนู-เสี่ยเน” ยอมหมอบให้กับ “ทักษิณ” ด้วยคิดสะระตะแล้ว ดีมากกว่าเสีย แต่ก็ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีในทางการเมืองไปโดยปริยาย

แต่เมื่อตัดสินใจถอนตัวไปเป็นไปฝ่ายค้าน สิ่งที่บรรดาแกนนำพรรคต้องเผชิญนับจากนี้เป็นต้นไปจากค่ายสีแดง เชื่อว่า หนักหน่วงเป็นแน่

ที่เห็นกันชัดๆ คือคดีฮั้วเลือกตั้งสว.เพราะขนาดเป็นพรรคร่วมรัฐบาลยังโดดเล่นงานสะบักสะบอมถึงเพียงนี้ ถ้าแตกหักไปเป็นฝ่ายค้านแล้วจะไม่กลายเป็นตำบลกระสุนตกแบบจัดเต็มกับข้อหา “ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” เพื่อกวาดล้างนักการเมืองตลอดจนส.ส-สว.สีน้ำเงิน ทั้งสภากันทีเดียว

ตามต่อด้วยการการเช็กบิลที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ที่เชื่อแน่ว่า จะขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว รวมกระทั่งถึงการยึดถนนทำเป็นลานบินส่วนตัว หรืองานก่อสร้างในสังกัดหลายสัญญาซึ่งมีปัญหาสะสมอยู่ เป็นต้น

ขณะเดียวกันก็มีการคาดหมายว่า น่าจะมีการตามไล่บี้บรรดาส.ส.บ้านใหญ่ในสังกัด “ค่ายสีน้ำเงิน” อย่างหนัก เพื่อให้ย้ายมาสังกัด “ค่ายสีแดง” อันจะเป็นการเพิ่มแต้มต่อทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าอันหมายถึงการได้รับชัยชนะเป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงอันดับหนึ่งหลังเพลี่ยงพล้ำให้กับพรรคส้มในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ เมื่อมีการวิเคราะห์ตัวเลขสมการการเมืองเมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้านก็จะพบว่า สถานะของพรรคร่วมรัฐบาลก็น่าจะไปได้แบบ “สบายๆ” ด้วย “งูเห่า” ที่อยู่ในมือ

กล่าวคือพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงในมือ รวม 261 เสียงประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียงบวกโควตาที่ไปไล่เก็บจากพรรคอื่นมาอยู่ในมืออีก 5 เสียง รวมเป็น 31 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง 1พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง

ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้านจะมี 234 เสียงประกอบด้วยพรรคพลังประชาชน พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง บวก 2 เสียงจากพรรคไทยสร้างไทยที่น่าจะย้ายมาร่วมทีม รวมเป็น 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 1 เสียงและพรรคเป็นธรรม 1 เสียง

ส่วนการจะไปดึงพรรครวมไทยสร้างชาติมาอีก 36 เสียง ซึ่งนั่นก็จะทำให้เสียงของพรรคฝ่ายค้านกลายเป็น 270 เสียงขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเหลือ 225 เสียงนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องไม่ลืมว่า “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” ไปทำทางในการรวบรวม สส.ที่จะไม่เออห่อหกในการทำงานกับ “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” มาไว้มือได้ในราว 20 เสียง และจำนวนนี้ก็น่าจะยกมือหนุนพรรคเพื่อไทยค่อนข้างร้อยเปอร์เซ็นต์ ตามที่ “บิ๊กทุนพลังงาน” ซึ่งสนิทสนมเป็นอันดีกับ “ทักษิณ ชินวัตร” จัดการเอาไว้แล้ว

ทีนี้ เมื่อตัดฉากกลับไปที่พรรคเพื่อไทยบ้าง

ต้องยอมว่า สถานการณ์ของตัวรัฐบาลแพทองธารนั้น คะแนนนิยมตกต่ำถึงขีดสุด โดยเฉพาะจากปัญหากรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันจนชาวบ้านร้านตลาดบ่นกันระงม

แต่ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือ เกิดเรื่องบังเอิญอย่างร้ายกาจ 3 เรื่องประเดประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน จนถูกมองว่าเป็นสัญญาณร้ายในทางการเมืองระดับวิกฤตเลยก็ว่าได้

เรื่องแรก คือการที่นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือด่วนที่สุด เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ถึงอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เรื่องการกำชับและกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการเสนอโครงการและคำของบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ให้ดำเนินการในทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง ละเอียด รอบคอบ และต้องคำนึงถึงการกระทำการใดๆ อันอาจเล็งเห็นได้ว่าเป็นเหตุหรือช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์อื่นใดเพื่อตนเองหรือผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยมิชอบจากการดำเนินโครงการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น

ที่ต้องขีดเส้นใต้คือ สตง.ขอให้ระมัดระวังการกระทำด้วยประการใดๆ ที่อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำตามมาตรา 88 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว
เรื่องที่สองคือ การที่สำนักงบประมาณ (สงป.) ยังส่งหนังสือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้ว ขอถอนการอนุมัติ และขอให้ทบทวนความจำเป็นในการใช้งบประมาณ

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังมีกระแสข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน รับเรื่องให้ไต่สวนการทุจริตแผนการใช้งบประมาณโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 โดยปีดังกล่าวมีการอนุมัติโครงการทั้งสิ้น 28,990 โครงการ และปรากฏว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็นผู้อนุมัติเสนอเข้าสู่ที่การประชุม ครม. รวมงบประมาณทั้งสิ้น 51,584.00817 ล้านบาท

และเรื่องที่สามก็คือ การที่ป.ป.ช.ลงมติรับเรื่องกล่าวหาจัดทำร่าง พ.ร.บ.จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 68 แจกเงินหมื่น - รองรับสถานการณ์ภัยแล้งฝนทิ้งช่วง ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ไว้ตรวจสอบ 2 สำนวน

เป็นคดีที่มีชื่อ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี- เศรษฐา ทวีสิน – คณะรัฐมนตรี-สส.-สว. ทั้งคณะ เป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งโทษของการกระทำขัดมาตรา 144 นั้นหนัก และกระบวนการพิจารณาถูกกำหนดให้เร็ว

งานนี้ ถึงขั้นพังทั้งกระดานเลยทีเดียว

แต่ที่ถือว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” และพลิกกลับมาทำให้ “พรรคภูมิใจไทย” กลับมามีแต้มต่อ พร้อมเดินหล่อๆ ได้ชั่วคราวก็คือ ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของ “พรรคเพื่อไทย” เอง จากกรณีปรากฏ “คลิป” การสนทนาระหว่าง “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในฐานะผู้มีอำนาจตัวจริง กับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีไทย เกี่ยวกับการแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่ง “ฮุน เซน” ได้แอบอัดเอาไว้ และนำออกมาเผยแพร่

ด้วยเป็นคลิปที่แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดในฐานะนายกรัฐมนตรีของ “แพทองธาร ชินวัตร” อย่างชัดเจนว่า มิได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างที่ควรกระทำ ส่งผลทำให้ประชาชนคนไทยทั้งเทศแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก ไล่เรื่อยตั้งแต่ “ลาออก-ยุบสภา” ไปจนกระทั่งสนับสนุนทหารให้ทำ “รัฐประหาร” เลยทีเดียว

เมื่ออยู่ๆ พรรคเพื่อไทยทำปืนลั่นใส่ตัวเองอย่างนี้ มีหรือค่ายสีน้ำเงินจะรีรอ ดังนั้น คล้อยหลังจากนายกฯ แพทองธารแถลงยอมรับว่าเป็นคลิปจริง พรรคภูมิใจไทยก็ตัดสินใจถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล และให้บรรดารัฐมนตรีของพรรคยื่นหนังสือลาออกในทันที และเปลี่ยนจากสถานะ “ไม่ตาย” ก็ “คางหลือง” แลดูดีมีราคาขึ้นมาในทันที

งานนี้ “เสี่ยหนู-เสี่ยเน” ที่กำลังปาดน้ำตาร้องไห้ กลับมมีรอยยิ้มอย่างสะใจได้อีกครั้งในฐานะฝ่ายค้านที่พร้อมจะเปิดศึกกับค่ายสีแดงอย่างเต็มตัวเพื่อเร่งทำแต้มในกับตัวเอง.


กำลังโหลดความคิดเห็น