xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ถอดบทเรียน “โศกนาฎกรรมครูมัท” ภาระงานครูไทยในระบบที่ “บิดเบี้ยว”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  จุดชนวนประเด็นร้อนปลุกกระแสสังคมให้หันมามองสถานการณ์ปัญหา “ภาระงานครู” ในระบบการศึกษาไทย หลังการกรณีการปลิดชีพตัวเองของ “ครูมัท” ข้าราชการครูสาววัย 39 ปี ซึ่งทิ้งจดหมายลาตาย เผยปมเหตุเบื้องลึกความเครียดจากระบบที่ไม่เป็นธรรม แบกรับภาระงานเกินหน้าที่ความรับผิดชอบของครู 

กล่าวสำหรับเรื่องราวของ  “ครูมัท”  หรือ  “น.ส.อนุสรา ชวนรัมย์”  ครูผู้สอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ตีแผ่ปัญหาภาระงานครูในระบบการศึกษาไทยที่เกิดจะแบกรับไหวนำสู่โศกนาฎกรรมชีวิต เนื้อหาในจดหมายลาตายเปิดเผยความในใจสรุปความได้ว่า เธอเหนื่อยล้ากับระบบงานที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่เป็นระบบภายในโรงเรียน แบกรับความเครียดจากระบบที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้กลายเป็นคนผิดทั้งที่เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง

 ”ข้าพเจ้าขอลาทุกคนบนโลกใบนี้ ไปด้วยความไม่สบายกายและไม่สบายใจ ด้วยมีปัญหาในการเรื่อง การทำงาน การเงิน การบัญชี ซึ่งข้าพเจ้าให้ท่านคั่งค้าง ทำให้พอกพูนจนแก้ไขได้ยาก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะข้าพเจ้าเพียงคนเดียว แต่เป็นเพราะเกิดจาก กระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน การทำงานไม่เป็นระบบ ให้เบิกเงินก่อน เคลียร์เอกสารทีหลัง และก็นิ่งเฉย ไม่มีใครมาเคลียร์ให้....

“ข้าพเจ้าเหนื่อยกาย กับการทำงานนี้มาก ๆ สุขภาพก็ไม่ดีสะสมมาเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจจากโลกนี้ไป ก็เพราะเพื่อนร่วมงานที่จัดการ สั่งการมาโดยตลอด แต่พอถึงเวลามีความผิด กลับบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง นั้นก็คือครูต่อ ส่วน ผอ. ที่ย้ายมาแต่ละคนก็ไม่เคร่งครัดเรื่องการเงินเลย ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ใช้เงินไม่ถูกต้อง แต่พอมีความผิด อ้างว่าเราเป็นคนทำ...”* 

และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะปมปัญหาการเอาครูมาทำงานด้านการเงิน การบัญชี การพัสดุ เป็นการให้ครูทำงานผิดประเภทอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญเรื่องการเงินบัญชีและพัสดุเป็นเรื่องที่กฎหมายกฎหมายวางกรอบเข้มงวด หลายครั้งที่หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ แม้จะพบข้อเท็จจริงว่าผู้กระทำความผิดไม่ได้มีเจตนาทุจริต แต่กฎหมายมิอาจละเว้น

แน่นอนว่า เรื่องราวเบื้องลึกในจดหมายฉบับดังกล่าว สะท้อนปัญหาภาระงานครูในระบบการศึกษาไทย การทำงานที่เกินขอบเขตของหน้าที่ครู การถูกผลักให้รับผิดชอบทุกอย่างทั้งจากระบบราชการและระบบบริหารภายในโรงเรียน

สำหรับประเด็นที่เกิดขึ้น ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา  เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่ากรณีที่เกิดขึ้นมีการสั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) บุรีรัมย์ เขต 1 ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงถึงการบริหารงานภายในโรงเรียนดังกล่าว โดยจะไล่สอบตั้งแต่ผู้อำนวยการโรงเรียน และบุคลากรในโรงเรียนทุกคน เพื่อหาสาเหตุประเด็นบริหารจัดการด้านการเงินและพัสดุจนเกิดปัญหานำสู่การสูญเสียบุคลากรครู

เบื้องต้นพบว่าอยู่ที่ภาระงานที่นอกเหนือจากการสอน โดยเฉพาะงานธุรการและงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของครู เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของครู


ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สพฐ. ได้ทำหนังสือแจ้งโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียน 60 คนลงมา ให้โรงเรียนมอบการจัดซื้อจัดจ้างให้เขตพื้นที่ทำหน้าที่บริหารจัดการแทน ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ. คิดวิธีการลดภาระงานครูด้านดังกล่าวหลากหลายรูปแบบ แต่ก็มีโรงเรียนหลายแห่งยังสามารถบริหารจัดการเรื่องการเงินและพัสดุเองได้

โดย สพฐ. มีการทบทวนคู่มือระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งที่ผ่านมากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจะต้องยึดตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยจะต้องทำแผนการดำเนินงานขออนุมัติจากผู้อำนวยการโรงเรียน และการมีกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง กรรมการตรวจรับพัสดุ ซึ่งกรณีของโรงเรียนที่เกิดปัญหานั้น จะต้องตรวจสอบว่ามีการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวหรือไม่

อย่างไรก็ดี สพฐ. ไม่ได้นิ่งนอนใจ และรับทราบปัญหาภาระงานครูมาโดยตลอด แต่โรงเรียนสังกัด สพฐ. ที่มีอยู่กว่า 30,000 แห่งนั้น หากจะต้องมีการจ้างเจ้าหน้าที่ด้านพัสดุการเงินโดยตรง ถือเป็นความจำเป็นด้านภาระงบประมาณจำนวนมาก

“เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับปรุงระบบบริหารจัดการงานธุรการของโรงเรียนให้เอื้อต่อการทำงานของครูมากที่สุด” ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาฯ กพฐ. ระบุ

ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ยอมรับว่าปัญหาภาระงานครูยังคงมีอยู่ แม้จะมีนโยบายลดภาระงานมาก่อนหน้านี้ แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถแก้ไขได้จริง โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูมีจำนวนน้อยแต่ต้องบริหารงบประมาณจำนวนมาก

ทั้งนี้ ศธ. อยู่ระหว่างพิจารณาของบประมาณเพื่อจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการ เพื่อให้ครูได้ทำหน้าที่สอนเต็มที่ และเตรียมอบรมผู้บริหารโรงเรียนให้เข้าใจการบริหารด้านบุคคล วิชาการ และงบประมาณ ซึ่งจะช่วยลดภาระการบริหารที่ตกอยู่กับครูผู้สอนโดยตรง

ด้าน นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล** รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ศธ. มีนโยบายหลักในการลดภาระงานครูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับปรุงการบริหารจัดการโดยการนำเทคโนโลยีและระบบ AI มาใช้ในงานด้านเอกสาร การจัดการข้อมูล การย้ายและเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงการพัฒนาระบบสนับสนุนงานธุรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะเร่งพิจารณาปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กร และการบริหารงานที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของครู เพื่อให้ครูสามารถทำภารกิจหลักในการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภาระงานครูไม่ใช่ปัญใหมแต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่ภาครัฐมีความพยายามปรับแก้มาอย่างต่อเนื่อง เครือข่ายเพจครูขอสอน สะท้อนปัญหาว่าแม้ครูจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่ระบบที่ไม่เอื้ออำนวยกลับเป็นภาระที่บั่นทอนกำลังใจและศักยภาพครู ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากภาระงาน ครูจำนวนไม่น้อยยังต้องแบกรับภาระทางการเงินบางส่วน เนื่องมาจากความคาดหวังให้เสียสละเพื่อโรงเรียน

บทความเรื่อง การพัฒนาครู : แก้ปัญหาให้ตรงจุด Teacher Development: Solution to the Point โดย  ผศ.ดร.จุไรรัตน์ สุดรุ่ง และ น.ส.พรทิพย์ ทับทิมทอง  เผยแพร่ผ่านวารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าการพัฒนาครูเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการสอน ประเด็นสำคัญคือเรื่องการใช้ครูมีภาระงานอื่นๆ นอกเหนือจากงานสอนมากเกินไป จากผลการวิจัยข้อมูลการใช้ครูของต่างประเทศในเอเชีย พบว่า การจัดการเรียนการสอนที่คุณภาพครูต้องมีหน้าที่สอนอย่างเดียว

 ขณะที่ผลสำรวจเผยว่าครูไทยกว่า 95% ทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และกว่า 58% ต้องทำงานที่ไม่ใช่การสอนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่งผลให้ครูหลายคนไม่สามารถให้เวลากับการออกแบบการเรียนการสอนได้เต็มที่ และต้องเผชิญความเครียดเรื้อรังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 


กล่าวสำหรับภาระงานครูนอกเหนือจากการสอนนั้น มีสาเหตุมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างการบริหารแบบรวมศูนย์ของกระทรวงศึกษา หน่วยงานส่วนกลางคิดและสั่งดำเนินโครงการ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลต่อการสอนของครู แม้บางโครงการมีจุดประสงค์สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการสอนของครู แต่สุดท้ายกลายเป็นภาระงานใหม่แย่งเวลาสอนของครู

โดยเครือข่ายเพจครูขอสอน มองว่าการแก้ปัญหาภาระงานครูต้องเริ่มที่การปฏิรูปโครงสร้างการบริหารแบบรวมศูนย์ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งส่งนโยบายจากส่วนกลางโดยไม่คำนึงถึงบริบทของแต่ละโรงเรียน และวัฒนธรรมราชการที่ยึดติดกับเอกสารมากกว่าคุณภาพการเรียนรู้ โดยเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่กดทับวิชาชีพครูทั่วประเทศเร่งด่วน

 ภาระงานครูเป็นปัญหาคาราคาซังมานาน นับเป็นโจทย์ข้อใหญ่ของ ศธ. ที่ต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม 



กำลังโหลดความคิดเห็น