ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อุบัติเหตุบนท้องถนนจากกรณี “เมาแล้วขับ” เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ” ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกันทางการมีความพยามยกระดับการบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะล่าสุดกรณีการเพิ่มบทลงโทษ “ยึดรถคดีเมาแล้วขับ” เพื่อเป็นการควบคุมและลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
กล่าวคือสำนักงานอัยการสูงสุดได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการฟ้องคดีให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่ง “ริบรถของกลาง” หากพิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหาเมาแล้วขับมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
กำหนดแนวทางปฏิบัติของอัยการในการพิจารณาสำนวนคดีผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้อื่น เพื่อให้การดำเนินคดี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนในปัจจุบัน
โดยสาระสำคัญ คือให้อัยการพิจารณาว่าพฤติการณ์ในการขับรถขณะเมาสุราของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา43(8) หากพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ต้องหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดดังกล่าวและยังมิได้แจ้งข้อหา ให้อัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมและการฟ้องคดีต่อศาลให้อัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางด้วย
ในประเด็นนี้ รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า หลักในการริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจะดำเนินการเฉพาะฐานที่ผู้กระทำความผิดได้กระทำโดยเจตนาเท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่รู้ในเบื้องต้นอยู่แล้วว่าตัวเองเมาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วยังไปขับรถ ย่อมแสดงถึงเจตนาอย่างชัดเจนที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย โดยหลักการจึงสามารถริบรถได้
ทั้งนี้ การยกระดับมาตรการความรุนแรงทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาเป็นสิ่งที่กระทำได้ แต่ในเชิงทฤษฎีแล้วหากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง แม้กฎหมายจะมีโทษรุนแรงเพียงใดคนก็จะไม่เกรงกลัว
“เห็นด้วยหากศาลอาจจะมีคำสั่งริบรถของคนที่เมาแล้วขับ เพราะการริบทรัพย์เป็นการริบเพื่อไม่ให้เขาไปทำผิดอีกในอนาคต แต่โดยหลักการแล้วต้องไม่ใช้การเอามาใช้เป็นกรณีทั่วๆ ไป มันต้องอยู่บนหลักพื้นฐานของการลงโทษที่ได้สัดส่วนและมีเหตุจำเป็น ยกตัวอย่าง การริบรถคนเมาแล้วขับในประเทศฝรั่งเศสก็จะริบเฉพาะกรณีร้ายแรง เช่น กระทำผิดซ้ำ หรือเมาแล้วขับจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุมีคนตายหรือบาดเจ็บ เป็นต้น” รศ.ดร.ปกป้องกล่าว
สิ่งที่ต้องพิจารณา การเพิ่มโทษเมาแล้วขับ ริบรถยนต์หรือเพิ่มโทษปรับเป็นร้อยเท่าสองร้อยเท่า แต่หากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ไม่มีการจับไม่มีการปรับจริงจังหรือยังปรากฏการให้สินบนเจ้าหน้าที่ ขอให้ปล่อยตัวคนเมาแล้วขับ ท้ายที่สุดจะไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมาย ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังถือเป็นหัวใจสำคัญในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากกรณีดื่มแล้วขับ
สำหรับเงื่อนไขการริบรถของกลางคดีเมาแล้วขับ รศ.ดร.ปกป้อง อธิบายว่ากรณีผู้กระทำความผิดโดยไม่ได้ใช้รถของตนเอง หากมีพบว่าทรัพย์นั้นเป็นของคนอื่น ที่ไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำความผิด เจ้าของทรัพย์สามารถขอคืนทรัพย์หรือรถคันดังกล่าวได้
แต่หากบุคลคลผู้เป็นเจ้าของรถให้ยืมรถ โดยรู้ว่าผู้ที่ยืมรถมีอาการเมา และจะนำรถของตนไปขับ กรณีเช่นนี้จะสามารถริบรถได้ เพราะถือว่าได้มีส่วนรู้เห็นกับการที่ผู้อื่นเมาแล้วขับและได้กระทำความผิด ซึ่งหลักกฎหมายมีอยู่แล้วไม่ต้องแก้ไขหรือปรับปรุงเพิ่มเติม
ในประเด็นนี้ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ ได้อธิบายอ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาหลายคดีวางหลักไว้ชัดความว่า ถ้ารถยนต์ไม่ใช่ของผู้กระทำผิด และเจ้าของทรัพย์ (เช่น ไฟแนนซ์) ไม่รู้เห็นกับความผิด “ริบไม่ได้” นอกจากนี้ ศาลจะพิจารณาว่ารถคันนั้นเป็นเครื่องมือในการกระทำผิดโดยตรงหรือไม่ ถ้าเป็นการใช้รถตามปกติ และไม่ได้มีการดัดแปลง/ใช้เฉพาะกิจเพื่อก่ออาชญากรรม “มักจะไม่ริบ”
กล่าวสำหรับกฎหมายเมาแล้วขับของไทยกำหนดว่า ผู้ขับขี่ที่มีอายุเกิน 20 ปี และมีใบขับขี่ (แบบ 5 ปี หรือตลอดชีวิต) และมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ แต่หากเป็นผู้ขับขี่อายุต่ำกว่า 20 ปี หรือ ไม่มีใบขับขี่ หรือ มีใบขับขี่ชั่วคราว หากพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีความผิดเมาแล้วขับ
ส่วนบทลงโทษทางกฎหมาย กรณีเมาแล้วขับโดยไม่มีเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หากผิดครั้งแรก จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000 – 100,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
กรณีเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ จำแนกเป็น หากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ จำคุก 1–5 ปี ปรับ 20,000–100,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่, หากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส จำคุก 2 – 6 ปี ปรับ 40,000 – 120,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ และหากทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จำคุก 3–10 ปี ปรับ 60,000–200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ทันที
ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่ปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ จะถือว่า “เมาแล้วขับโดยปริยาย” และจะมีบทลงโทษเทียบเท่ากับกรณีที่ตรวจพบว่ามีแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะมีบทลงโทษคือจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000 -20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรืออาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต ละยึดรถได้ไม่เกิน 7 วัน
กระทั่ง ล่าสุดปี 2568 มีการพิจารณาเพิ่มโทษยึดรถคดีเมาแล้วขับตามรายละเอียดข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ภาพจำถนนเมืองไทยสุดอันตรายมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดติด TOPS 10 ของโลก จากาการจัดอันดับขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2018 เปิดเผยว่า ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 9 ของถนนที่อันตรายที่สุดในโลก โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย ร้อยละ 32.7 รายต่อปี ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากพฤติกรรมการขับขี่ อาทิ ขับมอเตอร์ไซค์ไม่สวมกันน๊อค, เมาแล้วขับ, ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ฯลฯ
ขณะที่ Statista ระบุว่าประเทศไทยติดอันดับ 4 จาก 10 ประเทศที่อันตรายที่สุดในการใช้รถใช้ถนน โดยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดในโลก โดยมีอัตราการเสียชีวิตถึง 25.4 คนต่อประชากร 100,000 คนต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอย่างมาก
นอกจากนี้ จากสถิติยังพบสัดส่วนผู้กระทำความผิดซ้ำดื่มแล้วขับเพิ่มขึ้น โดยกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยข้อมูล ปี 2562 – 2566 มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากดื่มแล้วขับ จำนวนกว่า 284,253 ราย หรือเฉลี่ยปีละ 56,850 ราย โดยมีมูลค่าความสูญเสียสูงกว่า 3.7 แสนล้านบาท
อีกทั้ง อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากคดีเมาแล้วจะเพิ่มสูงอย่างมีนัยในช่วงเทศกาล เช่น สงกรานต์ มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เฉลี่ยถึง 4,519 ราย ซึ่งในปี 2567 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากผู้ก่อเหตุดื่มแล้วขับมากถึง 207 ราย หรือ เฉลี่ย 1 รายต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ สัดส่วนผู้กระทำความผิดซ้ำดื่มแล้วขับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สถิติคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ เรื่องขับขี่ขณะเมาสุราหรือเมาด้วยอื่นๆ ย้อนกลับไป ปี 2566 รวมทั้งสิ้น 77,341 คดี ขณะที่ ปี 2567 เพียง 6 เดือน ระหว่าง ม.ค. – มิ.ย. ตัวเลขพุ่งกว่า 64,805 คดี นอกจากนี้ ยังพบผู้กระทำผิดซ้ำกว่า 100 กว่าราย
ขณะที่รายงานของกองพัฒนาการคุมประพฤติ กรมคุมประพฤติ ระบุตัวเลขคดีดื่มแล้วขับที่ถูกศาลสั่งสืบเสาะและคุมประพฤติมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าต้องเร่งยกระดับมาตรการให้ผู้กระทำผิดไม่กล้ากระทำผิดซ้ำ
นายสุรสิทธิ์ ศิลปะงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่ามีการบังใช้กฎหมายเมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ มาไม่ต่ำกว่า 2 ปี แต่ยังไม่สามารถสร้างความเกรงกลัวให้กับประชาชน ยังมีผู้กระทำผิดซ้ำเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การเพิ่มโทษและความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ที่เคยกระทำผิดไม่กล้าเสี่ยงและรับโทษที่รุนแรง
สุดท้าย การปรับเพิ่มบทลงโทษผู้ขับขี่ยานพาหนะขณะเมาสุรา นับเป็นการยกระดับความเข้มข้นทางกฎหมายเพื่อสร้างวินัยจราจรและลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ประการสำคัญต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้และการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคมไทยอย่างแท้จริง.