xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตซ้อนวิกฤตของแพทองธารและพรรคเพื่อไทย / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 การรั่วไหลของคลิปเสียงบทสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ได้จุดชนวนให้เกิด "วิกฤตซ้อนวิกฤต" ซึ่งขยายผลไปไกลกว่าขอบเขตการทูต จนลุกลามเข้าสู่ความเปราะบางทางการเมืองภายใน และแผ่ขยายไปยังภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีหญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้


ในโลกที่เทคโนโลยีการสื่อสารสามารถกลายเป็นเครื่องมือทางอำนาจ คลิปเสียงความยาวกว่า 17 นาทีนี้ ซึ่งถูกตัดเหลือเพียง 9 นาทีในการเผยแพร่ ได้กลายเป็น “สนามต่อรอง” ใหม่ทางการเมืองระหว่างประเทศ แม้จะอ้างว่าเป็นการพูดคุยส่วนตัวเพื่อลดความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา แต่การกล่าวถึงแม่ทัพภาค 2 ของไทยว่าเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ก็กลายเป็นจุดอ่อนไหวที่ไม่อาจตีความในเชิงมิตรภาพส่วนบุคคลได้ล้วน ๆ อีกต่อไป

การยอมรับโดยตรงจากสมเด็จฮุน เซน ว่าเป็นผู้บันทึกและแจกจ่ายคลิปนี้ไปยังผู้นำระดับสูงในกัมพูชาถึง 80 คน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อ “ความโปร่งใส” ยิ่งเผยให้เห็นกลยุทธ์เชิงรุกที่อาศัยการสื่อสารส่วนตัวเป็นเครื่องมือสร้างพื้นที่อำนาจในเวทีทวิภาคี ซึ่งในทางกลับกัน ก็กระทบต่อความเชื่อมั่นพื้นฐานระหว่างรัฐต่อรัฐอย่างรุนแรง

สิ่งที่น่าวิตกยิ่งกว่าการละเมิดความไว้วางใจในการทูต คือการที่บทสนทนาดังกล่าวเปิดเผยให้เห็นถึงการปะปนกันของผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวเข้ากับวาระแห่งชาติ ความใกล้ชิดระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนที่ย้อนกลับไปถึงยุคของนายทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็นตัวแปรที่สร้างความคลุมเครือในการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ของรัฐ

เมื่อนางแพทองธารเรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “Uncle” ในขณะที่กำลังหารือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ความสัมพันธ์เชิงครอบครัวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัว แต่กลายเป็นประเด็นที่ต้องตั้งคำถามถึงความเป็นกลางและความอิสระในการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศ
การที่มีการพูดคุยเรื่องแม่ทัพภาค 2 ในลักษณะที่อาจตีความได้ว่าเป็นการให้ข้อมูลภายในหรือแสดงจุดยืนทางการเมืองภายในไทยต่อผู้นำต่างชาติ ยิ่งเสริมความกังวลเรื่องการผสมผสานระหว่างวาระส่วนตัวกับหน้าที่รัฐ ในบริบทที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพในไทยยังคงมีความละเอียดอ่อน การที่นายกรัฐมนตรีพูดถึงกองทัพในลักษณะที่อาจถูกตีความว่าเป็นการแบ่งแยกหรือสร้างความขัดแย้ง โดยเฉพาะกับผู้นำต่างชาติที่มีประวัติการใช้กองทัพในการรักษาอำนาจ จึงสร้างคำถามใหญ่เรื่องการใช้ดุลยพินิจและความรอบคอบในการดำเนินหน้าที่

แม้ในการแถลงข่าวฉุกเฉินหลังคลิปหลุดไม่นาน น.ส.แพทองธารจะยืนยันว่าการสนทนาดังกล่าวเป็นการใช้ “เทคนิคการเจรจา” เพื่อรักษาสันติภาพ แต่คำอธิบายกลับถูกบดบังด้วยคำถามที่ใหญ่กว่านั้น

ขอบเขตของความเป็นส่วนตัวของผู้นำในโลกที่ทุกคำพูดอาจกลายเป็นวาทกรรมเชิงอำนาจต่อชาติ การที่เธอต้องออกมาชี้แจงถึงเจตนาและบริบทของการสนทนา แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของวิกฤตความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่จากสาธารณชน แต่รวมถึงจากสถาบันต่าง ๆ ภายในประเทศที่เริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถในการบริหารประเทศและการรักษาดุลยภาพระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับหน้าที่สาธารณะ

วิกฤตความเชื่อมั่นนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อพิจารณาถึงบริบทที่ตระกูลชินวัตรมีประวัติความสัมพันธ์ทางธุรกิจและการเมืองกับผู้นำในภูมิภาคหลายประเทศ ซึ่งในอดีตเคยก่อให้เกิดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในหลายกรณี การที่บทสนทนาครั้งนี้เผยให้เห็นถึงระดับของความใกล้ชิดและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่อาจมีความละเอียดอ่อน จึงกระตุ้นให้เกิดความระแวงว่าผลประโยชน์ส่วนตัวอาจมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐมากกว่าที่ควรจะเป็น

การกล่าวถึงแม่ทัพภาค 2 แม้ด้วยเจตนาเพื่อบรรเทาความโกรธของอีกฝ่าย แต่กลับเปิดพื้นที่ให้เกิดความระแวงภายในกองทัพไทย และเสี่ยงต่อการถูกตีความว่าเป็นการเลือกข้างหรือประนีประนอมกับผลประโยชน์ต่างชาติ ในบริบทการเมืองไทยที่ทหารยังคงมีอิทธิพลทางอำนาจอย่างลึกซึ้ง และมีประวัติศาสตร์ของการเข้าแทรกแซงการเมืองเมื่อเห็นว่ารัฐบาลพลเรือนไม่สามารถรักษาผลประโยชน์ชาติได้อย่างเหมาะสม ความผิดพลาดเชิงสื่อสารเช่นนี้อาจไม่ใช่เพียงเรื่อง “หลุด” หากแต่เป็น “ร้าว” ที่รอปะทุ

ภาวะผู้นำของนางแพทองธารจึงเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญที่ไม่เพียงแต่ต้องจัดการกับความเสียหายทางการทูต แต่ยังต้องฟื้นฟูความไว้วางใจจากกองทัพ สื่อมวลชน ฝ่ายค้าน และสาธารณชนจำนวนมาก ที่เริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถทางการเมือง ความรอบคอบในเวทีนานาชาติ และบทบาทที่แท้จริงของเธอในรัฐบาล ความท้าทายนี้ยิ่งทวีความซับซ้อนขึ้นเมื่อเธอต้องพิสูจน์ว่าสามารถแยกความสัมพันธ์ส่วนตัวออกจากการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างชัดเจน และไม่ให้ผลประโยชน์หรือความผูกพันส่วนบุคคลมาแทรกแซงการตัดสินใจที่สำคัญของชาติ

เสียงวิจารณ์ที่ว่าเธอเป็นผู้นำที่ “ไร้เดียงสาทางการเมือง” หรือ “ตกเป็นเหยื่อของฮุน เซน” เริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียและในวงการนักวิชาการ นักกฎหมาย และฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่เตรียมเคลื่อนไหวตรวจสอบเธอในประเด็นจริยธรรมอย่างจริงจัง

บางส่วนเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างที่ลึกซึ้งกว่าความผิดพลาดครั้งเดียว โดยชี้ไปที่รูปแบบการบริหารที่อาจมีการผสมผสานระหว่างผลประโยชน์ตระกูลกับผลประโยชน์ของรัฐมาเป็นเวลานาน

ความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อการบริหารประเทศเริ่มสั่นคลอน เมื่อภาพจำของผู้นำที่อาจถูกชี้นำโดยความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ชาติเริ่มชัดเจนขึ้น การที่สมเด็จฮุน เซน สามารถใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจในการสนทนาส่วนตัวเพื่อสร้างเปรียบเทียบทางการเมืองภายในกัมพูชา ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของการดำเนินการทูตที่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเป็นหลัก และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ชาติไม่ได้ถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน

คลิปหลุดที่ดูเหมือนเรื่องส่วนตัว จึงได้กลายเป็นตัวจุดระเบิดที่เปลี่ยนเงื่อนไขของการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ การที่รัฐบาลต้องเร่งสื่อสารกับกองทัพและพรรคการเมืองอื่น ๆ เพื่อสยบความระแวงอาจทำให้การดำเนินนโยบายต่างประเทศและการบริหารภายในประเทศหยุดชะงักในระยะสั้น

ขณะเดียวกัน การที่ประเด็นนี้ถูกตั้งคำถามในเรื่องความไม่โปร่งใสและการผสมผสานระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับหน้าที่สาธารณะ ยิ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมืองภายในเปราะบางและไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น

 ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เหตุการณ์นี้ได้สร้างแบบอย่างใหม่ที่อันตรายสำหรับการดำเนินการทูตในยุคดิจิทัล ที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างเปรียบเทียบหรือบีบบังคับทางการทูต การที่สมเด็จฮุน เซน เลือกเผยแพร่คลิปนี้ในช่วงที่ตระกูลฮุนกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความนิยมภายในประเทศ แสดงให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองภายใน ซึ่งเป็นการทำลายหลักการพื้นฐานของการดำเนินการทูตที่ควรแยกประเด็นภายในออกจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ผลกระทบระยะยาวของเหตุการณ์นี้น่าจะไม่จำกัดอยู่เพียงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา แต่อาจส่งผลต่อการสร้างมาตรฐานใหม่ในการดำเนินการทูตภูมิภาค ที่ผู้นำจะต้องระมัดระวังมากขึ้นในการสื่อสารส่วนตัว และอาจต้องพึ่งพากลไกทางการมากขึ้น ซึ่งแม้จะช่วยป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด แต่ก็อาจลดความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน

นอกจากนี้ ประเด็นการผสมผสานระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับหน้าที่สาธารณะที่เผยออกมาจากเหตุการณ์นี้ อาจกลายเป็นแบบอย่างการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นสำหรับผู้นำในภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือครอบครัวข้ามชาติ

แม้น.ส.แพทองธารจะประกาศว่าจะไม่พูดคุยส่วนตัวกับสมเด็จฮุน เซน อีกต่อไป เนื่องจากขาดความไว้วางใจ และจะหันไปใช้ช่องทางการทูตอย่างเป็นทางการ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งในเรื่องความเชื่อมั่นของสาธารณชน ความไว้วางใจจากสถาบันต่างๆ และความสงสัยเรื่องการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ชาติ ได้ก่อร่างสร้างรอยร้าวที่อาจยากจะเยียวยาในระยะสั้น

หากสถานการณ์นี้ไม่ได้รับการจัดการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในการแยกแยะและสร้างกลไกป้องกันการปะปนของผลประโยชน์ส่วนตัวกับหน้าที่สาธารณะ อนาคตทางการเมืองของเธออาจถึงคราวสะดุด และไม่แน่ว่าการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเธอจะกลายเป็นแค่เรื่องชั่วคราวในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย
วิกฤติภาวะผู้นำที่รุนแรงของ น.ส.แพทองธาร ส่งผลให้เกิดการพังทลายลงในระดับรากฐาน ภาพลักษณ์ของ “ผู้นำรุ่นใหม่” ที่ได้รับความหวังจากมวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย บัดนี้ได้กลายเป็นภาพของผู้นำที่ยังไม่พร้อมรับมือกับภาระหนักหนาทางการเมืองระหว่างประเทศ และยังไม่สามารถแยกแยะผลประโยชน์ของรัฐออกจากความสัมพันธ์ส่วนตัวได้อย่างเด็ดขาด


เมื่อแรงสนับสนุนเริ่มเหือดแห้ง กลับกลายเป็นแรงต่อต้านที่เริ่มส่งเสียงดังขึ้นทุกขณะ แพทองธารจึงถูกผลักให้เข้าสู่ทางแยกแห่งชะตากรรมที่มีอยู่ไม่มากนัก และแต่ละทางต่างมีต้นทุนทางการเมืองที่สูงลิ่ว หากเลือกจะนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยืนหยัดอยู่ต่อโดยใช้กลไกรัฐและเสียงข้างมากในสภาเป็นหลักประกัน

เธออาจยื้อเวลาจนถึงต้นปี 2569 แล้วค่อยยุบสภาเมื่อพรรคพร้อมจะเข้าสู่สนามเลือกตั้งใหม่ แต่ราคาที่ต้องจ่ายอาจไม่ใช่แค่ความชอบธรรมที่ลดลง หากรวมถึงการเผชิญหน้ากับการชุมนุมต่อต้านที่ปะทุรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การตรวจสอบจริยธรรมร้ายแรงโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และการสูญเสียพันธมิตรทางการเมืองที่เริ่มลังเลว่าจะจมเรือไปด้วยกันหรือไม่ เส้นทางนี้คือการเดินหน้าโดยแลกกับการเผชิญหน้าทุกทิศทาง ทั้งภายในพรรค นอกพรรค และในหมู่ประชาชน

อีกทางหนึ่ง คือการลาออกอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับความผิดพลาด และเปิดทางให้พรรคสามารถฟื้นฟูภาพลักษณ์ของตนเองได้ทันเวลา แม้การตัดสินใจเช่นนี้จะถูกมองว่าเป็นความพ่ายแพ้ แต่ก็อาจเป็นความพ่ายแพ้ที่มีเกียรติ และยังเปิดโอกาสให้พรรคส่งนายชัยเกษม นิติสิริ ขึ้นมาแทนในจังหวะที่เหมาะสม การถอยเพื่อรักษาอนาคตของพรรคอาจเป็นการตัดสินใจที่มีวิสัยทัศน์มากกว่าการยื้อไปจนสูญสิ้นทั้งตัวตนและองค์กร

ส่วนทางออกสุดท้ายคือการยุบสภาโดยทันทีภายในเดือนนี้ ซึ่งเป็นการ “บีบเกม” กลับไปหาประชาชน หวังให้การเลือกตั้งใหม่เป็นเวทีที่ช่วยรีเซ็ตความชอบธรรมและภาพลักษณ์ของรัฐบาล แต่ทางนี้ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะหากประชาชนไม่ให้อภัย คลื่นความไม่พอใจอาจกลายเป็นคลื่นสึนามิที่ซัดพรรคให้สูญสิ้นพื้นที่ทางการเมืองในระดับที่ไม่อาจฟื้นคืนได้อีกเลย กลยุทธ์นี้จึงเป็นเสมือนการเสี่ยงเดิมพันครั้งสุดท้าย ที่อาจกลายเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองอย่างเป็นทางการ

แม้จะดูเหมือนว่าน.ส.แพทองธารยังมีทางเลือกหลากหลายให้ตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ต่อ ยุบสภา หรือถอยหลังด้วยการลาออก แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะพบว่าแต่ละเส้นทางล้วนเป็นทางที่ทอดยาวเข้าสู่เงามืดทางการเมืองที่ยากจะหลีกเลี่ยง ทางใดก็ไม่มีชัยชนะชัดเจน ราวกับกำลังต้องเลือกระหว่าง “ความพ่ายแพ้แบบผ่อนส่ง” กับ “ความพินาศฉับพลัน” ทั้งสิ้น

หากเลือกจะยื้ออำนาจต่อไปโดยไม่แสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง ก็จะยิ่งสะสมความโกรธแค้นของสาธารณชน การชุมนุมจะขยายตัว การโจมตีทางการเมืองจะทวีความรุนแรง และบทบาทผู้นำของเธอจะถูกกัดกร่อนจากทั้งภายในและภายนอก

ส่วนการยุบสภาแม้ดูเสมือนการ “คืนอำนาจให้ประชาชน” หากแต่ในสถานการณ์ที่ศรัทธาถูกทำลายไปแล้ว การเลือกตั้งใหม่ก็อาจกลายเป็นเวทีที่ประชาชนพร้อมจะลงโทษทางการเมืองอย่างไร้ความปรานี ขณะที่การลาออกแม้จะรักษาเกียรติส่วนตัวได้ แต่ก็เท่ากับยอมรับความล้มเหลวของรัฐบาลและพรรคโดยปริยาย

ในทุกทางเลือก ไม่มีทางใดที่พรรคเพื่อไทยจะสามารถรอดพ้นจากความเสียหายเชิงโครงสร้างและความเสื่อมศรัทธาในระดับมวลชนได้โดยไม่สูญเสียทุนทางการเมืองจำนวนมาก การจัดการผิดพลาดของผู้นำหญิงที่พรรคเคยวาดฝันไว้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่าน กลับกลายเป็นปมวิกฤติที่อาจพาพรรคทั้งพรรคเดินเข้าไปสู่กับดักความเสื่อมถอย

เมื่อ “ความหวัง” กลับกลายเป็น “ภาระ” เมื่อ “ความสดใหม่” กลับกลายเป็น “จุดอ่อนที่เปิดโปงโครงสร้างอำนาจ” พรรคเพื่อไทยในเวลานี้จึงมิได้กำลังเลือกทางเดินเพื่อ “ฟื้นตัว” หากแต่กำลังพยายามเลือก “วิธีรับมือกับความพินาศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ต่างหาก

 ดังนั้น ไม่ว่าจะเลือกทางใด ทั้งทางแห่งการดื้อแพ่ง การถอยด้วยศักดิ์ศรี หรือการทอยลูกเต๋าด้วยการยุบสภา ล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปในหุบเหวทางการเมือง ซึ่งไม่เพียงแต่แพทองธารจะต้องเผชิญ หากแต่จะฉุดรั้งพรรคเพื่อไทยให้ตกลงไปพร้อมกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง.




กำลังโหลดความคิดเห็น