xs
xsm
sm
md
lg

ผู้สร้างสันติภาพหรือผู้ก่อสงคราม?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


โดนัลด์ ทรัมป์
ในสุนทรพจน์หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งปธน.ของโดนัลด์ ทรัมป์ เขาย้ำว่าเขาจะเป็นปธน.ผู้สร้างสันติภาพท่ามกลางการสู้รบที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นที่ยูเครนและที่กาซา

ยิ่งในช่วงหาเสียงก่อนชนะการเลือกตั้ง เขาถึงกับมั่นใจมากว่าจะสามารถหยุดสงครามยูเครนที่ดำเนินมาถึง 3 ปีได้แค่ภายใน 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ เพราะเขาสนิทสนมกับปธน.ปูตินแห่งรัสเซีย และมีวิธีการที่จะโน้มน้าวให้ปูตินทำตามที่เขาขอร้องได้

แต่นี่เข้ามาตั้ง 5 เดือนแล้วหลังเข้าบริหารที่ทำเนียบขาว ดูท่าปธน.ปูตินจะไม่ฟังปธน.ทรัมป์เอาเสียเลย โดยมีลูกเล่นที่ทำให้ทรัมป์เคลิ้มไปได้พักใหญ่ว่าจะหยุดยิง แต่ในทางปฏิบัติทางปูตินกลับยิ่งถล่มเมืองหลวงและเมืองใหญ่อันดับสองของยูเครนหนักข้อยิ่งขึ้น รวมทั้งกำลังคืบหน้าที่อาจยึดเมืองท่าสำคัญในทะเลดำคือ เมืองโอเดสซาได้ด้วยซ้ำ

ด้านข้อตกลงระหว่างปธน.ทรัมป์และอิหร่านที่จะให้อิหร่านหยุดพัฒนากากนิวเคลียร์ (ที่ได้จากโรงไฟฟ้าปรมาณู) ไม่ให้ถึงขั้นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ ได้มีการเจรจากันมาถึง 5 รอบ โดยในช่วงต้นของการเจรจา ทรัมป์ออกมาให้ข่าวว่า การเจรจาเป็นไปด้วยดี, ราบรื่น โดยเพื่อนนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่แมนฮัตตันและเป็นเพื่อนที่ถูกใจร่วมก๊วนกอล์ฟของทรัมป์ชื่อ นายสตีฟ วิทคอฟฟ์ เป็นผู้เจรจากับฝ่ายอิหร่าน และมีรัฐบาลของประเทศโอมานเป็นกาวใจในการเจรจาตั้งแต่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งรอบสองนี้

ในรอบที่ 5 นี้เอง ที่นายสตีฟ วิทคอฟฟ์ ได้ตั้งเงื่อนไขอย่างหินกับทีมของอิหร่านว่า ข้อตกลงนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายอิหร่านจะต้องยอมหยุดพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดยเฉพาะกากนิวเคลียร์จะต้องอยู่ที่ 0% เท่านั้น…ซึ่งจะต่างกับข้อตกลง JC-POA (ซึ่งก็คล้ายกับข้อตกลงฉบับทรัมป์ (2.0) กับอิหร่าน) ที่รัฐบาลโอบามาและประเทศ 5+1 ในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ได้ทำเอาไว้เมื่อ 2015 และซึ่งทรัมป์ (1.0) ได้ฉีกทิ้ง พร้อมบริภาษว่า โอบามาโง่เง่าจนถูกอิหร่านหลอกว่าจะยอมหยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งๆ ที่ยังแอบพัฒนาอยู่ (อันนี้ทางอิสราเอลโดยเนทันยาฮูเป็นฝ่ายกล่าวหา และพูดกล่อมเข้าหูของสหรัฐฯ ตลอดเวลา)

การเจรจารอบที่ 6 ระหว่างทีมของสตีฟ วิทคอฟฟ์ และทีมรมต.ต่างประเทศของอิหร่าน กำหนดจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย.ที่เพิ่งผ่านไป ซึ่งทางอิหร่านได้เตรียมหมายมั่นอย่างยิ่งว่าจะทำให้สหรัฐฯ หายกังวลว่า อิหร่านจะโปร่งใสพร้อมให้ IAEA เข้ามาตรวจสอบว่า เขาไม่ได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่จะไม่ยอมหยุดการพัฒนากากนิวเคลียร์อยู่ที่ 0%

ยังไม่ทันถึงวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย. ฝ่ายอิสราเอลก็ได้รีบปฏิบัติการถล่มอิหร่านในเวลาตี 3 ครึ่ง (เวลาที่อิหร่าน) ของวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย. โดยอิหร่านยังไม่ทันตั้งตัว

ทำเอาผบ.หน่วยพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ถูกปลิดชีพ พร้อมผบ.กองทัพแห่งชาติอีก 1 คน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์อีกหลายคน เรียกว่า เป็นการกระทำปลิดชีพจากหน่วย MOSSADของอิสราเอล ที่ใช้ทั้งโดรน (ที่แอบติดตั้งไว้ในเมืองเตหะรานและบริเวณห้องปฏิบัติการนิวเคลียร์หลายแห่งในอิหร่าน)

ทั้งทรัมป์และรมต.ต่างประเทศมาร์โค รูบิโอ รีบออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ ไม่ใช่ผู้ร่วมปฏิบัติการถล่มอิหร่านในครั้งนี้ แต่เป็นปฏิบัติการโดยลำพังของอิสราเอล

ซึ่งก็จะสร้างภาพของทรัมป์ว่าเป็นปธน.ผู้สร้างสันติภาพ ไม่ใช่นักก่อสงครามแบบที่ปธน.ไบเดน ได้เป็นตัวตั้งตัวตีทั้งที่ยูเครนและกาซา

ท่ามกลางการประชุมจี 7 ที่แคนาดา ได้มีออกแถลงการณ์เรื่องสงครามอิสราเอลและอิหร่าน โดยทั้ง 7 ชาติเข้าข้างอิสราเอลที่มีความชอบธรรมที่เริ่มถล่มอิหร่านก่อน เพราะอิหร่านคือรัฐก่อการร้ายที่คุกคามทั้งอิสราเอลและทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง

ทั้งๆ ที่อิหร่านยังไม่มีระเบิดปรมาณูเลยสักลูกเดียว มิไยต้องพูดถึงว่า อิหร่านก็ไม่มีหัวรบนิวเคลียร์เช่นกัน เพราะสมรรถภาพด้านเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านยังไม่ถึงขั้นซึ่งผอ.ข่าวกรองแห่งชาติ (NIA-ได้แก่ Tulsi Gabbard) เพิ่งแถลงในวุฒิสภาเมื่อมีนาคมนี้เองว่า อิหร่านยังพัฒนาไม่ถึงขั้นมีอาวุธนิวเคลียร์

ขณะที่อิสราเอลเป็นรัฐนิวเคลียร์ตั้งแต่ปลายสมัยของปธน.เคนเนดี (1963) จนมีเอกสารจดหมายติดต่อระหว่าง JFK และผู้นำอิสราเอลขณะนั้น ที่ปธน.เคนเนดีไม่พอใจการปกปิดแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล ที่เคนเนดีมองว่าจะทำให้เกิดความไม่สงบในตะวันออกกลาง…และในที่สุด ปธน.เคนเนดีก็ถูกลอบสังหารซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของหน่วย MOSSAD ร่วมกับ CIA
คือ รัฐนิวเคลียร์อิสราเอลกลับถล่มรัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์เช่น อิหร่าน โดยอิสราเอลให้เหตุผลว่า ต้องชิงถล่มก่อนเพื่อความอยู่รอดของประเทศของตน จากภัยคุกคามของอิหร่าน

ตลอด 5 วันแห่งการส่งโดรนและขีปนาวุธทำลายล้างซึ่งกันและกัน โดยอิหร่านบอกว่าต้องล้างแค้นให้กับนายพลและนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ขณะที่อิสราเอลก็ป่าวร้องว่า ตนสามารถเด็ดหัวปลิดชีพเหล่าผบ.เพื่อทำให้อิหร่านขาดผู้นำบัญชาการรบ

แถลงการณ์ฉบับที่สองของทรัมป์ผ่าน Truth Social ของเขา เริ่มเผยให้เห็นว่า เขาได้รับรู้แผนการลับของอิสราเอลมาตั้งแต่ต้นว่าจะบุกถล่มอิหร่าน (ก่อนการประชุมรอบที่ 6 ที่โอมาน) และทรัมป์ยังพูดทวงบุญคุณอีกว่า เขาได้ห้ามปรามเนทันยาฮูไม่ให้ปลิดชีวิตผู้นำจิตวิญญาณของอิหร่าน

ทรัมป์รีบเดินทางออกจากการประชุมจี 7 ก่อนหน้าสิ้นสุดการประชุมถึง 1 วัน เพื่อรีบกลับไปบัญชาการสงครามอิสราเอลกับอิหร่านที่ห้อง Situation Room ในทำเนียบขาว...โดยได้ให้สัมภาษณ์บนเครื่องบิน Air Force I ว่า “เรา ได้ควบคุมน่านฟ้าของอิหร่านไว้ได้สมบูรณ์ทั้งหมด” (เหมือนกับช่วงที่ฝ่ายนาโตนำโดยสหรัฐฯ ได้ควบคุมน่านฟ้าของลิเบียที่จัดเป็น No-Fly-Zone จนทำให้กัดดาฟีต้องพ่ายแพ้ในการสู้กับนาโต)…ซึ่งคำว่า “เรา” นี้หมายถึงสหรัฐฯและอิสราเอลได้ผนึกกำลังร่วมเพื่อถล่มอิหร่านให้ราบคาบ...ทั้งพยายามกำจัดโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ขณะเดียวกันก็ต้องการเปลี่ยนแปลง (รัฐประหาร) คณะผู้นำของอิหร่านด้วย

ทรัมป์ยังขู่ให้ชาวอิหร่านรีบเดินทางออกจากเตหะรานทันทีก่อนที่เมืองจะถูกถล่มจากสหรัฐฯ และอิสราเอล

และสมทบด้วยว่า ที่ (ซ่อนตัว) อยู่ของผู้นำจิตวิญญาณของอิหร่านนั้น เราได้ทราบพิกัดแล้ว

แน่ชัดแล้วว่า ทรัมป์กำลังร่วมกับอิสราเอลเพื่อถล่มอิหร่านในสงครามดุเดือดครั้งนี้ แม้ว่าในช่วงศุกร์ที่ 13 จะแบ่งรับแบ่งสู้ว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ร่วมกับอิสราเอลในการถล่มก่อน แต่เป็นการกระทำเดี่ยวของอิสราเอลก็ตาม

และทรัมป์ได้แสดงท่าทีไม่ไยดีกับคำร้องขอของอิหร่านผ่านประเทศยูเออีและโอมาน (ในสื่อฝ่ายตะวันตก) ว่า ต้องการให้ทรัมป์มาเป็นตัวกลางเพื่อให้หยุดยิงในครั้งนี้ (เหมือนที่ทรัมป์ทำได้สำเร็จระหว่างคู่อินเดียและปากีสถานในกรณียิงถล่มในแคชเมียร์เมื่อเดือนที่แล้ว)...โดยเขาได้ขู่ว่า เขาเคยให้โอกาส 60 วันแก่อิหร่านเพื่อให้ตกลงกับเงื่อนไขที่สหรัฐฯ (โดยวิทคอฟฟ์) เสนอให้อิหร่านหยุดพัฒนานิวเคลียร์จนเหลือแค่ 0%...แต่อิหร่านมัวชักช้าจนถึงวันที่ 61 ก็เกิดการถล่มเมื่อศุกร์ที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดยทรัมป์ขู่ว่า อารยธรรมอายุ 5 พันปีของอิหร่านจะไม่เหลือแม้แต่ซาก ถ้าอิหร่านไม่รีบตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งก็ดูจะสายเกินไปเพราะอิสราเอลรีบชิงโจมตีก่อน

รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพดูว่ากำลังหลุดลอยไปจากมือเปื้อนเลือดของทรัมป์

แต่ขณะนี้ ได้มีการเคลื่อนไหวจากสมาชิกของพรรครีพับลิกันบางส่วนที่เริ่มออกมาแสดงความเห็นว่า ไม่เห็นด้วยที่ทรัมป์จะกอดคอกับอิสราเอลในการถล่มอิหร่าน-ทั้งทำให้โครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านต้องพังทลายสิ้นซาก และการเปลี่ยนผู้นำของอิหร่าน

เช่นนายทักเกอร์ คาร์ลสัน, นางMarjorie Taylor Greene และอีกหลายคน เป็นต้น ด้วยเหตุผลไม่อยากให้สหรัฐฯ เข้าสู่สงครามในตะวันออกกลาง หลังจากไปจมอยู่กับสงครามอิรัก และก่อนนั้นในอัฟกานิสถานและเวียดนาม จนทำให้ทหารอเมริกันตายเป็นจำนวนมาก

ดูเหมือนทรัมป์ได้เลือกแล้วที่จะเป็น War President


กำลังโหลดความคิดเห็น