ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สถานการณ์ของลูกหนี้ที่ “หนีหนี้” เพราะไม่มีเงินจ่าย รายได้ไม่พอกิน ลุกลาม ทำให้ “พิโกไฟแนนซ์” หรือบริษัทปล่อยกู้สินเชื่อรายย่อยแบกหนี้เสียไม่ไหว จนต้องขอคืนไลเซนต์ เตรียมปิดกิจการกันเป็นทิวแถว
เรื่องนี้ กระทรวงการคลัง กำลังเข้ามาแก้ไข โดย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สั่งการให้ดูตัวเลขที่ผู้ให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ปิดกิจการ และคืนใบอนุญาตกว่า 104 ราย ว่ามีต้นสายปลายเหตุจากอะไร รวมทั้งข้อมูลการขออนุญาตผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้ามาด้วย เพราะมีผู้ให้บริการเข้า ๆ ออก ๆ จากธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ อยู่เสมอ จะต้องนำข้อมูลทั้งสองฝั่งมาเทียบกัน และประมวลผล
แต่ที่แน่ ๆ เงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดของพิโกไฟแนนซ์ คือ การอนุญาตให้ปล่อยกู้แค่ภายในจังหวัดที่ได้รับอนุญาต ทำให้เติบโตได้ช้า และเป็นข้อจำกัดของผู้ให้บริการ ทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการแก้ไขให้สามารถปล่อยสินเชื่อข้ามจังหวัดได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่มีข้อขัดข้อง เพื่อให้เกิดการกระจายพิโกไฟแนนซ์มากยิ่งขึ้น ส่วนจะขยายการให้บริการสินเชื่อผ่านโทรศัพท์มือถือ ได้หรือไม่ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาข้อดีข้อเสีย
ขณะที่ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กำลังตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการคืนใบอนุญาตพิโกฯ ว่า มีสาเหตุแท้จริงจากอะไร สถานการณ์หนี้เสียของพิโกไฟแนนซ์เท่าที่ดูก็ไม่ได้ดูผิดปกติอย่างเด่นชัด ซึ่งการมีพิโกไฟแนนซ์ก็เพื่อทำให้คนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้โดยถูกกฎหมาย ไม่ต้องถูกตามทวงหนี้โหดแบบรายวัน สำหรับผู้ประกอบธุรกิจก็กำหนดต้องใช้เงินตัวเอง ให้ปล่อยสินเชื่อเฉพาะในพื้นที่ การทำธุรกิจก็ต้องรู้จักพื้นที่ รู้จักลูกค้า
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังให้การส่งเสริมการประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เป็นประชาชนทั่วไป สามารถดำเนินธุรกิจสินเชื่ออย่างถูกกฎหมายในพื้นที่ที่ผู้ให้กู้และผู้กู้มีภูมิลำเนา หรือมีถิ่นที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน โดยมุ่งหวังดึงผู้ปล่อยกู้และผู้กู้ที่เคยอยู่นอกระบบ เข้ามาอยู่ในระบบ เป็นการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ รีดดอกเบี้ยโหด
ตามเงื่อนไข กระทรวงการคลัง กำหนดให้ผู้ประกอบการพิโกไฟแนนซ์ ต้องมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาทขึ้นไป วงเงินปล่อยสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน คิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดไม่เกิน 36% ต่อปี กรณีเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ไม่มีบุคคลค้ำประกัน แต่ถ้ามีบุคคลค้ำประกัน กำหนดดอกเบี้ย 33% ต่อปี
ตามหลักการดูเหมือนว่าพิโกไฟแนนซ์จะไปได้ดี และลูกหนี้เองก็ไม่ต้องถูกรีดดอกเบี้ยโหดเหมือนหนี้นอกระบบ แต่เอาเข้าจริงด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ยังทรง ๆ ทรุด ๆ ฟื้นตัวได้ไม่ดีนับตั้งแต่เกิดโรคโควิด – 19 มาจนบัดนี้ ทำให้พิโกไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้รายเล็ก สายป่านไม่ยาว อยู่ไม่ได้เมื่อเจอปัญหาลูกหนี้ชักดาบ หนี้ที่ปล่อยกู้ไปกลายเป็นหนี้เสีย จนต้องขอคืนไลเซนต์ดังข่าวคราวที่ปรากฏออกมา
ข้อมูลในเว็บไซต์สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานตัวเลขการประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ ประจำเดือนเมษายน 2568 มีการยื่นขออนุญาตพิโกไฟแนนซ์ 1,438 ราย ใน 75 จังหวัด ได้รับใบอนุญาต 1,168 ราย ในจำนวนนี้เปิดดำเนินการ 1,155 ราย ขณะที่มีการขอคืนใบอนุญาตสะสม จำนวน 104 ราย ใน 42 จังหวัด และมีธุรกิจที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต จำนวน 2 ราย ใน 2 จังหวัด
ทั้งนี้ ภูมิภาคที่ขอคืนใบอนุญาตสะสมมากที่สุดคือ ภาคอีสาน 42 ราย รองลงมาภาคกลาง 33 ราย กรุงเทพมหานคร 16 ราย ภาคเหนือ 14 ราย ภาคตะวันออก 11 ราย และ ภาคใต้ 4 ราย ซึ่งหากพิจารณาเป็นรายจังหวัด พบว่า กรุงเทพมหานคร มีการขอคืนใบอนุญาตมากที่สุด
การปล่อยกู้ของพิโกไฟแนนซ์ ตัวเลข ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีสินเชื่ออนุมัติสะสม จำนวน 5,081,240 บัญชี วงเงินรวม 50,066 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อแบบมีหลักประกัน 17,713 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35.38 และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 32,352 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.62 ในจำนวนดังกล่าว มีสินเชื่อคงค้าง 393,010 บัญชี จำนวนเงินรวม 7,429 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน (NPLs) 1,738 ล้านบาท หรือ 23.40% และหนี้ค้างชำระ 1-3 เดือน 894 ล้านบาท หรือ 12.04%
นายสมเกียรติ จตุราบัณฑิต นายกสมาคมพิโกไฟแนนซ์ ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์สื่อว่า หนี้เสียในธุรกิจพิโกไฟแนนซ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุที่มีปัญหาหนี้เสียเยอะ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มพนักงานที่มีรายได้ประจำ ทำงานโรงงาน และไม่มีหลักประกันในการกู้ยืม ลูกหนี้เอ็นพีแอลเหล่านี้มีหนี้สินหลายทาง และเริ่มผิดนัดชำระหนี้พิโกฯ ก่อน เพราะธุรกิจพิโกฯ ไม่ได้เข้าร่วมเครดิตบูโร ส่วนลูกหนี้กลุ่มที่นำโฉนดมาวางค้ำประกัน ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกษตร ก็ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทำให้ชำระคืนล่าช้า
สำหรับผู้ประกอบการพิโกฯ ในเขตกรุงเทพฯ ที่ขอคืนใบอนุญาตสูงสุด เพราะมาจากพื้นที่อื่น ไม่คุ้นเคยกับคนในพื้นที่ เมื่อปล่อยสินเชื่อไปจึงมีความเสี่ยงสูง การติดตามหนี้ยาก เพราะลูกหนี้บางรายถูกเลิกจ้าง ย้ายงาน ย้ายถิ่น ทำให้ติดตามหนี้ไม่ได้
ส่วนในต่างจังหวัด มีผู้ประกอบการนอนแบงก์ (Non-Bank) ที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดกิจการจำนวนมาก การแข่งขันสูง อีกทั้งผู้ประกอบการบางรายมีใบอนุญาตหลายใบในพื้นที่จังหวัดเดียวกัน จึงคืนใบอนุญาตบางส่วนหรือทั้งหมดเพื่อเลิกกิจการ รวมทั้งมีปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทำให้ผู้ประกอบการพิโกฯไม่มีสายป่านยาวพอ
สมาคมพิโกฯ จึงเสนอขอให้กระทรวงการคลัง ประสานกับแบงก์รัฐปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการพิโกฯ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนเสริมสภาพคล่อง และขยายสินเชื่อดึงหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งที่ผ่านมาแบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อให้พิโกฯ เพราะมองว่าเป็นคู่แข่งขันในการปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายย่อย แต่ถ้าคิดในมุมกลับ หากผู้ประกอบการพิโกฯ ช่วยลูกหนี้รายย่อยได้มากขึ้น แบงก์เองก็ได้ลูกค้าเพิ่มและไม่เสี่ยง
กรณีตัวอย่างผู้ประกอบการพิโกฯ ที่ไปไม่รอดและหยุดปล่อยสินเชื่อแล้ว เช่น บริษัท ทรีมันนี่ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ประกอบการฯในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่เผชิญปัญหาลูกหนี้ซึ่งเป็นพนักงานโรงงานบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ มีปัญหาการส่งออกชะลอตัว สต็อกล้น งดโอที ทำให้ลูกหนี้มีปัญหาเรื่องรายได้ไม่พอจ่ายหนี้ ซึ่งเป็นสภาพที่พิกโกฯ ในจังหวัดที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เช่น ชลบุรี ระยอง มีปัญหากันถ้วนหน้า
อีกรายคือ บริษัท กิจวัฒนา 99 จำกัด ที่จังหวัดขอนแก่น ที่มียอดสินเชื่อคงค้าง 25 ล้านบาท เป็นหนี้เอ็นพีแอล 40-60% ตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา บริษัทมีการฟ้องลูกหนี้ไปแล้วกว่า 100 ราย เฉลี่ยเดือนละ 30 กว่าราย ตอนนี้แทบไม่ปล่อยกู้รายใหม่ และผู้ประกอบการพิกโกฯ ในภาคอีสานหลายราย อยู่ระหว่างเคลียร์บัญชี เตรียมปิดกิจการ ไปต่อไม่ไหว หนี้เสียเยอะเกินไป
พิษเศรษฐกิจซบเซา ที่ทำให้เกิดสภาพชักหน้าไม่ถึง ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งหนี้เสีย ทั้งการจ้างงาน ที่หดตัวลง ค่าจ้างเฉลี่ยก็ลดลง ตัวเลขคนว่างงานก็เพิ่มขึ้น ตามรายงานล่าสุดของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เผยว่า การจ้างงานหดตัว 5 ไตรมาสติดต่อกัน โดยจำนวนผู้มีงานทำในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 39.4 ล้านคน จากกำลังแรงงานรวมทั้งหมดที่ 40.5 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.5% (YoY) หรือลดลงราว 2 แสนคน โดยมีปัจจัยจากการจ้างงานภาคเกษตรกรรม ที่หดตัวเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน โดยลดลง 3.1% (YoY) เหลือ 10.6 ล้านคน
ส่วนการจ้างงานนอกภาคเกษตร ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% (YoY) อยู่ที่ 28.8 ล้านคน ในสาขาการขนส่งและเก็บสินค้า สาขาโรงแรมหรือภัตตาคาร ส่วนภาคการก่อสร้างหดตัว 5.1% ตามการซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับสาขาการค้าส่งหรือค้าปลีก หดตัว 3.1% และสาขาการผลิต ปรับตัวลงเล็กน้อยที่ 0.4% ซึ่งลดลงมากในสาขาการผลิตเครื่องดื่ม เครื่องหนัง และอุปกรณ์ไฟฟ้า
สำหรับอัตราการว่างงานในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 0.88% คงที่จากไตรมาส 4/2567 โดยมีจำนวนผู้ว่างงานอยู่ที่ 3.8 แสนคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.3% (YoY) ขณะที่จำนวนผู้เสมือนว่างงานกลับปรับตัวขึ้น 14.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) อยู่ที่ 4.3 ล้านคนในไตรมาส 1/68
ทั้งนี้ อัตราการว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน มาจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยผู้ที่ว่างงานหมายถึงผู้ที่ไม่มีชั่วโมงการทำงานเลยทั้งสัปดาห์ ขณะที่ผู้เสมือนว่างงาน หมายถึงผู้ที่มีชั่วโมงทำงาน 0-20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในภาคเกษตรกรรม และผู้ที่มีชั่วโมงทำงาน 0-24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นอกภาคเกษตรกรรม
สำหรับกลุ่มที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ยังคงมีอัตราการว่างงานสูงสุดที่ 1.84% เทียบกับอัตราการว่างงานโดยรวมที่ 0.88% ในไตรมาส 1/2568 ส่วนค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยในภาพรวมลดลงเหลือ 16,246 บาทต่อเดือน ลดลง 0.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องมาจากรายได้ของแรงงานในภาคเกษตรและผู้ประกอบอาชีพอิสระเป็นแรงฉุดหลัก แม้ว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะทำให้ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.5% อยู่ที่ 14,273 บาทต่อคนต่อเดือน เช่นเดียวกับค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานในระบบอยู่ที่ 15,565 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 3.4%
ทั้งนี้ โครงสร้างกำลังแรงงานไทย มีแรงงานในภาคเอกชนอยู่มากกว่า 10 ล้านคน และมีข้าราชการและรัฐวิสาหกิจราว 3-4 ล้านคน ที่เหลือกลุ่มใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตรและผู้ประกอบการอิสระ
สอดคล้องกับข้อมูลของสภาพัฒน์ ซึ่งรายงานสถานการณ์ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ เอสเอ็มอี มีการจดทะเบียนเลิกกิจการไปเกือบ 2.4 หมื่นแห่ง และมีโรงงานเลิกกิจการไปกว่า 1,234 โรงงาน เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา โดยเป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นหลัก กระทบกับแรงงานกว่า 3.5 หมื่นคน ซึ่งโรงงานที่เลิกกิจการส่วนใหญ่เป็นโรงงานในภาคการผลิตที่มีปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขัน
ส่วนตัวเลขหนี้สินครัวเรือน เลขาธิการสภาพัฒน์ เผยว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4 ปี 2567 มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของแบงก์พาณิชย์ ส่วนหนี้ครัวเรือนไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 88.4% ลดลงจากไตรมาส 4/2567 ซึ่งอยู่ที่ 88.9% โดยหนี้ในกลุ่มยานยนต์ สินเชื่อธุรกิจปรับลดลง ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลยังขยายตัว
ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.22 ล้านล้านบาท ขยายตัว 16.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.94% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% ของไตรมาสที่ผ่านมา
โดยสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น ๆ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ และสินเชื่อเช่าซื้ออื่นที่ไม่ใช่รถยนต์มีสัดส่วนสูง สำหรับสินเชื่อที่มีสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลง ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และการเกษตร ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลมีสัดส่วนคงที่
ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30 – 90 วัน (SMLs) มีมูลค่า 5.68 แสนล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณารายประเภทสินเชื่อ พบว่า SMLs ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ มีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมและมูลค่าขยายตัวมากขึ้น สะท้อนแนวโน้มที่อาจมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น
สัดส่วนหนี้ SM ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 4.17% เพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 3.52% ดังนั้น มาตรการแก้หนี้อย่างคุณสู้เราช่วยอาจต้องปรับเงื่อนไขที่เหมาะสมเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้ SM กลายเป็น NPL
รายงานของสภาพัฒน์ ยังชี้ว่า หนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังสูง มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ กล่าวคือ คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคแบบติดหรู ใช้จ่ายเกินตัว จากความต้องการได้รับการยอมรับและแสดงสถานะทางสังคม
จึงไม่น่าแปลกใจที่คนไทยรสนิยมสูง รายได้ต่ำ จะเป็นหนี้ท่วมหัวกันไม่สิ้นสุด