"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การเมืองไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้เผยให้เห็นถึงรูปแบบการเมืองที่น่าสนใจและซ้ำซากประหนึ่งเป็นวงจรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือการเกิดขึ้นและการล่มสลายของพรรคการเมืองที่มีจุดกำเนิดจากการรัฐประหาร พรรคเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเจตจำนงของประชาชนหรือจากอุดมการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน แต่เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ยึดอำนาจมาได้ด้วยกำลัง ในการแปลงร่างจากผู้นำรัฐประหารให้กลายเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในระบอบประชาธิปไตย
ความจำเป็นในการสร้างพรรคการเมืองของผู้นำรัฐประหารไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นกลยุทธ์ที่คำนวณอย่างพิถีพิถัน เพราะอำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหารมีความชอบธรรมทางการเมืองอย่างจำกัด และต้องเผชิญกับแรงต้านจากประชาชนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การเลือกตั้งจึงกลายเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม และพรรคการเมืองก็กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ที่ต้องการความยั่งยืน
โครงสร้างของพรรคการเมืองประเภทนี้มักจะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกได้ว่าเป็นแบบฉบับไตรภาคี
กลุ่มแรกคือแกนกลางของอำนาจเดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล่าทหารหรือข้าราชการระดับสูงที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร กลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องออกมาแสดงตัวบนเวทีการเมืองโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดทิศทางและควบคุมกลไกสำคัญจากเบื้องหลัง พวกเขาเป็นเสมือนกรรมการบริหารที่แท้จริงของพรรค ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ทั้งหมด
กลุ่มที่สองประกอบด้วยนักเทคโนแครตและผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกดึงตัวเข้ามาเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของพรรคให้ดูมีความน่าเชื่อถือและมีขีดความสามารถในการบริหารประเทศ พวกเขามักจะมีประวัติการศึกษาที่ดี มีผลงานเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการหรือภาคเอกชน แต่ขาดประสบการณ์และฐานเสียงทางการเมือง
บทบาทของกลุ่มนี้คือการเป็นหน้าตาของพรรคต่อสาธารณะ และเป็นผู้ที่ออกมาอธิบายนโยบายหรือป้องกันพรรคเมื่อเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์
กลุ่มที่สามซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กันคือกลุ่มนักการเมืองบ้านใหญ่และเครือข่ายของพวกเขา เหล่านี้เป็นบุคคลที่มีฐานเสียงและอิทธิพลในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ พวกเขาเข้าใจกลไกของการเลือกตั้งและสามารถจัดการกับสนามเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทบาทของกลุ่มนี้คือการเป็นตัวเชื่อมระหว่างพรรคกับประชาชนในระดับรากหญ้า และเป็นผู้ที่ทำหน้าที่หาเสียงและสร้างฐานสนับสนุนให้กับพรรค กลุ่มนี้มักจะมีแรงจูงใจหลักคือการได้รับตำแหน่งทางการเมืองและผลประโยชน์ที่ตามมา
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง โครงสร้างไตรภาคีนี้ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จที่สมบูรณ์แบบ แต่ละกลุ่มมีจุดแข็งที่แตกต่างกันและสามารถเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มแกนกลางให้ทิศทางและทรัพยากร กลุ่มเทคโนแครตให้ความน่าเชื่อถือและแนวทางในการบริหาร ส่วนกลุ่มนักการเมืองบ้านใหญ่ให้ฐานเสียงและความสามารถในการชนะเลือกตั้ง ความสำเร็จในช่วงแรกนี้มักจะทำให้ผู้ก่อตั้งพรรคเกิดความมั่นใจว่าพวกเขาได้พบกับสูตรสำเร็จที่จะทำให้พรรคอยู่ได้ยาวนาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและพรรคเริ่มเข้าสู่การบริหารงานที่แท้จริง ความแตกต่างในแรงจูงใจของแต่ละกลุ่มก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน กลุ่มแกนกลางต้องการควบคุมอำนาจและรักษาผลประโยชน์ของตนเองและเครือข่าย พวกเขามักจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงอำนาจหรือเปลี่ยนแปลงระบบที่พวกเขาสร้างขึ้น ในขณะที่กลุ่มเทคโนเครตต้องการมีอิสระในการบริหารงานตามหลักวิชาการและสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าดีที่สุดสำหรับประเทศ พวกเขามักจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อถูกบังคับให้ทำตามคำสั่งที่ขัดต่อหลักการของตนเอง
กลุ่มนักการเมืองบ้านใหญ่และเครือข่ายก็มีความต้องการของตนเองที่ชัดเจนเช่นกัน พวกเขาต้องการตำแหน่งที่มีอำนาจและผลประโยชน์ที่จับต้องได้ เพื่อที่จะสามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้สนับสนุนในพื้นที่ และรักษาฐานเสียงของตนเองไว้ เมื่อพรรคไม่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม หรือเมื่อมีการแบ่งผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม ความไม่พอใจก็เริ่มสะสมและกลายเป็นความขัดแย้งภายในที่รุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปรากฏการณ์นี้คือพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถือเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองที่เกิดจากรัฐประหารในยุคปัจจุบัน พรรคนี้ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีอำนาจควบคุมประเทศอยู่อย่างเต็มที่ หลังจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 วัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งพรรคนี้คือการสร้างเครื่องมือทางการเมืองที่จะช่วยให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้งผ่านกระบวนการเลือกตั้งในปี 2562
พรรคพลังประชารัฐในช่วงแรกของการก่อตั้งมีพลังที่น่าเกรงขาม ทั้งในด้านทรัพยากรที่มีอยู่อย่างล้นหลาม การสนับสนุนจากกลไกของรัฐ และที่สำคัญคือการได้เปรียบจากกติกาของรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งอำนวยให้วุฒิสภา 250 คนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งเอง มีสิทธิในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีไปพร้อมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กติกาพิเศษนี้ทำให้พรรคพลังประชารัฐแม้จะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนไม่ถึงร้อยละ 25 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็ยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลและดันให้พลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ
ความสำเร็จในช่วงแรกนี้ทำให้หลายคนคิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นพรรคที่มีความมั่นคงและอยู่ได้ยาวนาน แต่เมื่ออำนาจเริ่มกระจายและแต่ละกลุ่มภายในพรรคเริ่มมีบทบาทในการบริหารประเทศมากขึ้น ความขัดแย้งภายในก็เริ่มปรากฏให้เห็น ปัญหาแรกที่เกิดขึ้นคือการแบ่งตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ภายในพรรค แต่ละกลุ่มต้องการให้บุคคลของตนเองได้รับตำแหน่งที่สำคัญ ทั้งเพื่อแสดงอำนาจและเพื่อควบคุมทรัพยากรของรัฐ
ปัญหาที่ตามมาคือการแย่งชิงอิทธิพลในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ กลุ่มนักการเมืองบ้านใหญ่ที่เข้าร่วมพรรคต่างคาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการดำเนินโครงการในพื้นที่ของตนเอง แต่เมื่อทรัพยากรมีจำกัดและต้องแบ่งปันกันหลายกลุ่ม ความไม่พอใจก็เริ่มเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาการแย่งชิงอิทธิพลระหว่างบุคคลสำคัญภายในพรรค โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นสองบุคคลหลักที่มีอิทธิพลมากที่สุดในพรรค
ความขัดแย้งระหว่างสองบุคคลนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความขัดแย้งส่วนตัว แต่สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พลเอกประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องการมีอิสระในการบริหารประเทศและคาดหวังให้พรรคเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนนโยบายของตนเองอย่างไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่พลเอกประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรคต้องการมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของพรรคและรักษาผลประโยชน์ของสมาชิกพรรคที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของตนเองให้ได้มากที่สุด
และที่สำคัญคือพลเอกประวิตรแสดงออกถึงความต้องการในการนั่งตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลแทนพลเอกประยุทธ์อย่างชัดเจนมากขึ้น เมื่อความต้องการทั้งสองขัดแย้งกัน ความรอยร้าวก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนในที่สุดไม่สามารถแก้ไขได้
จุดจบของความขัดแย้งนี้คือการที่พลเอกประยุทธ์ตัดสินใจแยกตัวออกจากพรรคพลังประชารัฐในปี 2565 และไปตั้งพรรคใหม่ที่ชื่อว่า "รวมไทยสร้างชาติ" การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของพรรคพลังประชารัฐในการรักษาความสามัคคีภายใน แต่ยังเป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงธรรมชาติที่แท้จริงของพรรคประเภทนี้ ซึ่งคือการเป็นเครื่องมือของบุคคลมากกว่าการเป็นองค์กรที่มีหลักการและอุดมการณ์ที่ชัดเจน
การตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติของพลเอกประยุทธ์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการพยายามสร้างเครื่องมือทางการเมืองที่ใหม่เมื่อเครื่องมือเดิมไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้แล้ว พรรคใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น "ยานพาหนะส่วนตัว" ของพลเอกประยุทธ์อย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีกลุ่มอิทธิพลอื่นเข้ามาแย่งชิงอำนาจภายในพรรค อย่างไรก็ตาม พรรคใหม่นี้ก็เผชิญกับปัญหาพื้นฐานที่ร้ายแรงกว่าพรรคเดิมอีก
ปัญหาหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติคือการขาดฐานเสียงที่แท้จริง ไม่มีผลงานที่ประชาชนจดจำได้ และไม่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจนเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของประชาชน สิ่งเดียวที่พรรคมีคือชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งในขณะนั้นก็เริ่มเสื่อมลงจากการวิจารณ์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลงานในการบริหารประเทศ การพึ่งพาบุคคลเพียงคนเดียวทำให้พรรคมีความเปราะบางอย่างมาก เพราะเมื่อบุคคลนั้นสูญเสียความนิยมหรือตัดสินใจถอนตัวจากการเมือง พรรคก็จะสูญเสียเหตุผลในการดำรงอยู่ไปด้วย
ผลการเลือกตั้งในปี 2566 แสดงให้เห็นถึงทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคสามารถคว้าที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาได้ 36 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าไม่น้อยสำหรับพรรคที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ แต่ตัวเลขนี้ยังห่างไกลจากความมั่นคงทางการเมืองที่แท้จริง และที่สำคัญคือการที่พรรคได้รับเสียงสนับสนุนหลักจากกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่เคยสนับสนุนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ในขณะที่ไม่สามารถขยายฐานเสียงไปสู่กลุ่มใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาลผสมกับพรรคเพื่อไทย บทบาทของพรรคก็ไม่เด่นชัดนักเนื่องจากมีที่นั่งน้อยและไม่ใช่พรรคหลักของรัฐบาล สถานการณ์นี้ทำให้สมาชิกพรรคเริ่มรู้สึกท้อแท้และสงสัยในอนาคตของพรรค โดยเฉพาะเมื่อพลเอกประยุทธ์วางมือจากการเมืองเพื่อไปดำรงตำแหน่งองคมนตรี ความไม่แน่นอนนี้ทำให้พรรคขาดทิศทางและเริ่มเผชิญกับปัญหาภายในที่คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐ
ความวุ่นวายภายในพรรครวมไทยสร้างชาติเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในปี 2568 เมื่อกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่นำโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น เริ่มออกมาเรียกร้องให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี โดยแสดงความไม่พอใจต่อการทำงานของรัฐมนตรีจากพรรคตนเอง เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพรรคนี้ไม่มีความเหนียวแน่นและกำลังเริ่มแตกหักภายใน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐก่อนหน้านี้
เส้นทางของพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติทำให้เห็นถึงรูปแบบการล่มสลายที่เหมือนกันของพรรคการเมืองที่เกิดจากรัฐประหาร ทั้งสองพรรคล้วนเริ่มต้นด้วยความแข็งแกร่งและความมั่นใจ มีทรัพยากรมากมาย มีการสนับสนุนจากกลไกของรัฐ และมีกลุ่มคนที่มีความสามารถเข้าร่วม แต่เมื่อเวลาผ่านไปและอำนาจเริ่มกระจาย ความขัดแย้งภายในก็เริ่มปรากฏและนำไปสู่การแตกแยก ขณะที่ฐานเสียงแท้จริงจากประชาชนยังคงอ่อนแอเนื่องจากไม่มีอุดมการณ์หรือนโยบายที่ชัดเจนเพียงพอที่จะสร้างความผูกพันในระยะยาว
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย หากมองย้อนกลับไป พรรคการเมืองที่เกิดจากรัฐประหารหรือจากการแทรกแซงของกองทัพในอดีตก็เคยมีชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน ล้วนมีลักษณะร่วมกันคือการมีอายุสั้นและการสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเมื่อผู้ก่อตั้งหรือผู้ให้การสนับสนุนหลักสูญเสียอำนาจหรืออิทธิพล
สาเหตุสำคัญของความล้มเหลวนี้คือการที่พรรคเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อประชาชน แต่เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของกลุ่มคนจำนวนน้อยที่มีอำนาจ โครงสร้างภายในของพรรคจึงเป็นแบบอุปถัมภ์ที่ผู้นำใหญ่ประทานผลประโยชน์ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา มากกว่าการเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อความเชื่อหรือหลักการใดหลักการหนึ่ง เมื่อผู้นำใหญ่ไม่สามารถแจกจ่ายผลประโยชน์ได้ตามความคาดหวัง หรือเมื่อมีการแย่งชิงอำนาจภายใน ความสามัคคีก็พังทลายลงทันที
นอกจากนี้ พรรคเหล่านี้ยังขาดอุดมการณ์ที่ชัดเจนและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนได้ นโยบายของพรรคมักเป็นเพียงการรวบรวมประเด็นต่าง ๆ ที่คิดว่าจะเป็นที่นิยมของประชาชน โดยไม่มีเส้นทางความคิดที่สอดคล้องกันหรือวิสัยทัศน์ระยะยาวที่ชัดเจน การขาดแก่นแท้ทางอุดมการณ์นี้ทำให้พรรคไม่สามารถสร้างความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับประชาชนได้ เพราะประชาชนไม่เข้าใจว่าพรรคนี้ยืนหยัดเพื่ออะไรอย่างแท้จริง นอกเหนือจากการแสวงหาอำนาจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง
ความไม่มั่นคงของพรรคประเภทนี้ยังสะท้อนผ่านการที่สมาชิกภายในพรรคมักจะมีความภักดีที่ไม่แน่นอน พวกเขาเข้าร่วมพรรคไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในอุดมการณ์หรือภารกิจของพรรค แต่เพราะผลประโยชน์ส่วนตัวหรือความจำเป็นทางการเมือง เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปหรือเมื่อมีโอกาสที่ดีกว่าเกิดขึ้น การย้ายพรรคก็กลายเป็นเรื่องปกติ ดังที่เราเห็นในกรณีของสมาชิกหลายคนของพรรคพลังประชารัฐที่เริ่มเตรียมตัวย้ายไปยังพรรคอื่น เช่น พรรคภูมิใจไทย เมื่อเห็นว่าอนาคตของพรรคเดิมไม่สดใส
สภาวะความไม่แน่นอนนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองในปัจจุบัน ประชาชนไทยในยุคนี้มีการศึกษาและการเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น พวกเขาสามารถแยกแยะและวิเคราะห์การเมืองได้ดีขึ้น การที่พรรคการเมืองถูกสร้างขึ้นอย่างประดิษฐ์เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของกลุ่มเฉพาะจึงไม่อาจหลอกลวงประชาชนได้อีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ผลของการเปลี่ยนแปลงนี้คือพรรคการเมืองที่เกิดจากรัฐประหารต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นในการรักษาความน่าเชื่อถือและการสร้างฐานสนับสนุนที่ยั่งยืน ประชาชนไม่เพียงแต่ต้องการผู้นำที่มีความสามารถ แต่ยังต้องการผู้นำที่มีความโปร่งใสและมีความซื่อสัตย์ต่อหลักการประชาธิปไตย การที่พรรคเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากการรัฐประหารซึ่งขัดต่อหลักการประชาธิปไตยจึงเป็นภาระหนักที่ติดตามมาตลอดไป
ในมุมมองที่กว้างขึ้น การล่มสลายของพรรคการเมืองที่เกิดจากรัฐประหารอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในระบบประชาธิปไตยที่มีการพัฒนา เพราะธรรมชาติของประชาธิปไตยคือการให้อำนาจแก่ประชาชนในการเลือกและควบคุมผู้นำ การที่พรรคการเมืองถูกสร้างขึ้นเพื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งจึงขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานนี้ เมื่อประชาชนมีการศึกษาและความเข้าใจในการเมืองที่มากขึ้น พวกเขาก็จะเลือกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ชัดเจนและทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง
ในท้ายที่สุด ชะตากรรมของพรรคการเมืองที่เกิดจากรัฐประหารจึงเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงและยั่งยืนต้องมาจากการยอมรับของประชาชน ไม่ใช่จากการใช้กำลังหรือการบิดเบือนกติกา การที่พรรคเหล่านี้มาเร็วและไปเร็วเป็นเพียงการยืนยันให้เห็นว่า ในระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่ไม่ได้มาจากเจตจำนงของประชาชนก็ไม่อาจอยู่ได้นาน
เมื่ออำนาจที่เป็นรากฐานหมดลง เงาของพรรคการเมืองเหล่านี้ก็จะจางหายไปพร้อมกันด้วย โดยทิ้งไว้เพียงบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่เตือนให้รุ่นต่อไประลึกถึงความสำคัญของการสร้างพรรคการเมืองที่มีรากฐานมาจากประชาชนอย่างแท้จริง