ใช่เลยที่ได้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดินไทยไปเรียบร้อยแล้วแล้วใครจะรับผิดชอบต่อความเสียหายแก่แผ่นดินไทยในครั้งนี้ ในเมื่อฝ่ายการเมืองของไทยไม่ได้ออกมารีบทันทีทันควันปกป้องความเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินของเราเอง...ที่บรรพบุรุษของเราได้เคยสละเลือดเนื้อชีวิตปกป้องแผ่นดินนี้เพื่อพวกเราและลูกหลานจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่พึงมีพึงได้จากผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้ว (ทั้งบนบก, ในทะเล, ในอากาศ) ที่เหล่าบรรพชนของเราต้องเหนื่อยยากต่อสู้ปกป้องมาตลอด
ตั้งแต่เช้าตรู่ประมาณตี 5 ที่มีการปะทะกันที่ช่องบกระหว่างกองกำลังเขมรที่รุกเข้ามาในเขตราชอาณาจักรไทย และกองทัพไทยได้ตอบโต้
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น นายฮุนเซน จอมทรราชที่ปล้นแผ่นดินเขมรจากพี่น้องชาวเขมรมาตลอด 42 ปี ก็รีบประกาศฟ้องชาวโลกโดยปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายประเทศไทยว่า กองทัพไทยรุกล้ำดินแดนเขมรและลงมือยิงทหารเขมรก่อน และทำให้ทหารเขมรตาย 1 คน (อาจเป็นเรื่องเท็จทั้งเพ เพราะไม่มีการตรวจสอบจากฝ่ายที่เป็นกลางฝ่ายที่สาม…หรือว่าจะเป็น Friendly Fire ที่เขมรทำพลาดยิงทหารเขมรตายก็เป็นได้...หรืออย่างที่บางคนมองว่า ตอนปีนเขาอาจลื่นล้มไปโดนปืนตัวเองลั่นก็เป็นไปได้ทั้งนั้น!! เพราะทำไมถ้าปะทะกันกระสุนที่แลกกันไม่น่าจะตายคนเดียวนะ)
เจ้าลูกชายนายฮุนเซนซึ่งเป็นคนเนรคุณทั้งพ่อและลูก ที่ไม่แม้แต่จะสำนึกบุญคุณที่ได้เรียนจบ West Point ก็เพราะกองทัพไทยได้ยอมสละเก้าอี้ 1 ที่ของนักเรียนนายร้อยจปร. ให้กับไอ้คนเนรคุณนี้ไปเรียน...แต่กลับตอบ แทนบุญคุณของประเทศไทย โดยรีบออกมาแถลงว่า กองทัพไทยบุกรุกยึดครองดินแดนเขมร, เปิดฉากยิงก่อน และฆ่าทหารเขมร…นอกจากนั้นประเทศเขมรภายใต้การบริหารของเขา จะนำเรื่องการบุกรุกดินแดนของไทย ทั้งที่ช่องบกและอีก 3 ปราสาท (ในเขตไทยที่ได้ประกาศเป็นโบราณสถานและอุทยานแห่งชาติมานานนม รวมทั้งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ได้เคยเสด็จมายังปราสาทเหล่านี้...โดยมีภาพถ่ายยืนยันพร้อมคำประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติด้วย) เข้าฟ้องยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICJ-International Court of Justic-ที่กรุงเฮก) ที่ไทยได้เคยเสียเปรียบในการฟ้องที่นี่แหละ ที่ทำให้เราต้องสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 จนชาวไทยต้องหลั่งน้ำตาอย่างไม่น่าเชื่อ และจอมพลสฤษดิ์ ถึงกับประกาศด้วยเสียงสะอื้นว่า ตัวเองเสียใจยิ่งกว่าคนไทยทั้งแผ่นดิน เพราะในฐานะทหารหาญที่ไม่สามารถรักษาแผ่นดินนี้ไว้ได้ เมื่อสู้กับจอมปลิ้นปล้อนอย่างผู้นำเขมรขณะนั้น
พ่อลูกจอมอันธพาลออกมาย่ำยีเกียรติภูมิของชาติไทยถึงขนาดนี้ แต่ฝ่ายการเมืองของเรากลับเย็บปากนิ่งเงียบ ออกมาโกหกรับหน้ากับคนไทยว่า เป็นเรื่องเล็ก, อย่าทำเรื่องให้ใหญ่โต...ฝ่ายการเมืองกำลังเจรจากันอยู่...ฝ่ายไทยต้องไม่กระพือให้เกิดความเกลียดชังกับเพื่อนบ้าน (ชาติเขมรคือเพื่อนรักของไทย!!!)...ฝ่ายไทยต้อง “รักสงบ” อย่า “คลั่งชาตินะ”...
ขณะที่นายฮุนเซนออกมาตัดไม้ข่มนามสร้างความชอบธรรมให้แก่พฤติกรรมยั่วยุของกองทัพเขมรที่ช่องบก โดยพูดย่ำยีประเทศไทยและกองทัพไทยว่า กองทัพเขมรจะจัดการจนเมืองไทยเป็นแบบกาซา!!! เดี๋ยวนี้ ฉนวนกาซาเหมือนดังยุคหินคือ เหลือแต่ซากอิฐ, หิน, ปูน, ทราย และสารเคมีจากวัตถุระเบิด, ขีปนาวุธ, ฟอสฟอรัสขาว, ดินปืน, เป็นต้น ไม่มีน้ำสะอาดเพราะแม่น้ำและทางน้ำถูกทำลายหมดสิ้น
แล้วใครเป็นต้นเสียงที่ยกเอาวรรคตอนของเพลงชาติไทยว่า “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” มาพูดซ้ำๆๆ นับเป็นการวางแผนที่แยบยลมากที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างตระกูลฮุนและตระกูลชิน จนวลีอันอ่อนปวกเปียกนี้นำมา Go Viral ในวันที่ 28 พฤษภาคม
แทนที่จะตัดไม้ข่มนาม โดยยกเอาวรรคตอนต่อมา ที่บ่งบอกถึงความหวงแหนในทุกตารางนิ้วของแผ่นดินที่ว่า “เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่-สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี” ที่แสดงถึงสิทธิบนดินแดนทุกตารางนิ้วของเรา
เพื่อไม่ให้ต้องเสียเลือดเนื้อชีวิตของทหารในแนวหน้าที่เผชิญกับข้าศึก กลยุทธ์ของการสร้างความกร้าวแกร่งความเกรงขามของกองทัพ ด้วยท่าทีแข็งกร้าวเป็นสิ่งที่จำเป็นในบริบท (Context) นี้ ไม่ใช่เอา “รักสงบ” มากล่อมปลอบใจคนไทยเหมือนดังที่ปธน.เรแกนได้ยกเอายุทธวิธี “Peace through Strength” ที่ไม่ต้องเสียกระสุนแม้แต่นัดเดียวคือ สันติจะเกิดได้เมื่อใช้ความกร้าวแกร่งมาข่ม (ขวัญ) กัน ซึ่งทำให้สหรัฐฯ อวดกองกำลังทั้งอาวุธ (นิวเคลียร์, ขีปนาวุธ ฯลฯ) จนสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายไป
เช่นเดียวกับวิธีสู้ของนายกฯ มาร์ค คาร์นีย์ แห่งแคนาดาโดยทูลเชิญกษัตริย์ Charles III เสด็จมาเปิดสภา (ห่างไปถึง 50 ปี) เพราะต้องการส่งสัญญาณว่าแคนาดาไม่ใช่อยู่โดดเดี่ยวในการสู้กับทรัมป์ที่ต้องการเข้ายึดครองแคนาดามาเป็นรัฐที่ 51…เพราะประเทศแคนาดามีงบทหารต่ำมากไม่ถึง 2% ของ GDP และไม่ใช่รัฐนิวเคลียร์ ขณะที่อังกฤษเป็นประเทศนิวเคลียร์ และยังมีเครือจักรภพ (Commonwealth) อีก 50 ประเทศอิงหลังอยู่…คือ แคนาดามีพวกมากนะ
ในร่างพระราชดำรัสที่นายกฯ ใหม่แกะกล่องของแคนาดาถวายให้เป็นพระราชดำรัสของกษัตริย์อังกฤษ ได้เน้นความแข็งแกร่งของแคนาดาโดยไปยกเอาวลีเด็ดในเพลงชาติของแคนาดาว่า “Strong and Free” หมายถึงแคนาดาแข็งแกร่งและเป็นเอกราชไม่ใช่จะยอมให้สหรัฐฯ บุกยึดครองได้ง่ายๆ...
เพราะทรัมป์จะพูดเสมอว่า “Everything is on the Table”เพื่อแสดงท่าทีกร้าวแกร่งไม่ให้ฝ่ายศัตรูกล้ามารบด้วย...ไม่ใช่ไปบอกเขาว่า... “ไทยนี้รักสงบ” และเราจะค่อยๆ ทำไปเจรจาไป...จากเบาไปหาหนัก!!!
วิธีตัดไม้ข่มนาม (เพื่อไม่ต้องเสียกระสุนรบและไม่ต้องเสียชีวิตทหาร) คือ จากหนักไปหาเบา!!! แบบทรัมป์ในสงครามTariffs นั้น เขาสร้างกำแพงภาษีสูงลิ่วถึง 100% กว่า…ทุกประเทศต้องวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อไปเจรจาเรื่องภาษีการค้ากับเขา...ซึ่งเขาก็ยอมลดระดับความรุนแรงโดยผ่อนปรน 90 วันเพื่อเจรจา
ทำไมไทยไม่ปิดด่านทันทีหลังปะทะกันในวันที่ 28
พฤษภาคม...ทั้งๆ ที่แม่ทัพภาค 2 ก็ออกมายืนยันว่า เขตแดนไทยถูกบุกรุกล้ำโดยทหารเขมร
วันที่ 1 มิถุนายน ท่ามกลางการประชุม Shangri-La Dialogue ที่สิงคโปร์ ที่มีผู้นำจากทั่วโลกนำคณะมาร่วมถึง 5 พันคน ประเทศไทยก็ต้องเสียเกียรติภูมิถูกย่ำยีอย่างมาก เมื่อมีทหารในคณะจากเขมรลุกขึ้นกล่าวในเวทีการประชุมว่า ไทยเป็นฝ่ายรังแกเขมรโดยกองทัพได้บุกเข้าไปในดินแดนของเขมร และเปิดฉากยิงก่อนจนทหารของเขาตาย
ฝ่ายตัวแทนไทยในที่ประชุมนี้เช่น รมต.กลาโหม กลับเงียบกริบ บางคนมองว่าลืมเอาปากไปมั้ง รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศที่ลืมเอาปากและสมองไป ที่สำคัญคือ เอาความรักชาติเก็บไว้ในลิ้นชักลั่นกุญแจเลย!!!
ไม่มีเสียงตอบโต้จากฝ่ายไทยต่อการใส่ร้ายย่ำยีจากทีมเขมร...โดยเฉพาะที่มีปธน.มาครงจากฝรั่งเศสเป็น Keynote Speaker ซะด้วย (ฝรั่งเศสคือเจ้าอาณานิคมเก่าของเขมร ซึ่งมีผู้พิพากษาที่ ICJ และเคยตัดสินให้เขมรชนะกรณีพิพาทเขาพระวิหารถึงสองครั้ง ครั้งหลังก็ในการตีความว่า พื้นที่รอบเขาพระวิหารก็เป็นของเขมร)
แม้เราจะไม่ไปขึ้นศาล ICJ ในครั้งนี้ เพราะเป็นสิทธิของเรา แต่การที่เราปิดปากเงียบไม่แสดงท่าทีประท้วงแสดงความเป็นเจ้าของดินแดนไทย ทั้งที่ช่องบกและอีก 3 ปราสาท...เราก็จะแพ้มติของชาวโลก ที่ถูกผู้นำทรราชของเขมรป่าวประกาศใส่ร้ายไทยว่าเป็นประเทศจอมรังแก บุกเข้ายึดดินแดนเขมรและปราสาทของเขา
ตัวอย่างการเสียเขาพระวิหารกำลังจะเป็นประวัติศาสตร์ที่จะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้งในการเสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลกครั้งนี้ กร้าวมาก็ต้องกร้าวตอบ
บูรพกษัตริย์ไทยตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ยังจำได้มั้ยประวัติศาสตร์ที่พญาละแวกแอบเข้าตีประเทศไทยจากเขมร ขณะที่เรากำลังรบทัพจับศึกด้านตะวันตกกับพม่า) ซึ่งสืบต่อมาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ที่ประเทศสยามได้ครอบครองแต่งตั้งเจ้าผู้ครองเขมร โดยเฉพาะในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ร.๓ ที่มีแม่ทัพคนสำคัญคือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา ที่ไปปราบเขมรอย่างราบคาบ
บูรพกษัตริย์, บรรพชนของไทยเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไรกับผู้บริหารประเทศชาติขณะนี้ ที่ไม่สามารถรักษาผืนแผ่นดินไทยที่พวกท่านได้ต่อสู้ปกป้องกันมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ เป็นเพราะผู้บริหารบ้านเมืองขณะนี้อ่อนด้อยปัญญา หรือว่ามีอะไรมาบดบังให้พวกเขาอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้