ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุด “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ก็ยอมรับแล้วว่าจะมีการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” หลังจากที่ปล่อยข่าวและโยนหินถามทางมาเป็นเวลานานสองนาน
“ยอมรับว่ามีการคิดในเรื่องการปรับ ครม. แต่ยังไม่ 100%.”นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 และบอกด้วยว่า “ยังไม่ได้คุยกับพรรคภูมิใจไทยในเรื่องนี้ และจะคุยเมื่อจำเป็นว่าถ้าจะต้องปรับอย่างไรก็จะต้องคุยอยู่แล้ว จู่ๆ เราจะปรับโดยไม่บอกเขาไม่ได้ โดยพรรคร่วมต้องคุยอยู่แล้วว่าจะทำอย่างไร ซึ่งหากจะปรับก็ต้องปรับในส่วนของพรรคเพื่อไทยด้วย ในเรื่อง ครม. ทั้งหมดจะต้องคุยกัน ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องคุยในรายละเอียดแบบนั้น การคิดแต่อยู่ในช่วงของการประเมิน และคิดว่าจะปรับแบบไหนแล้วดีขึ้น”
ความจริงกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรีมีมาอย่างต่อเนื่อง และโหมกระหน่ำมาทุกทิศทุกทาง กระทั่งมีความชัดเจนแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีตัวจริง ออกมาพูดตรงๆ เมื่อครั้งไปร่วมงานของค่ายเนชั่นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมาและถูกตั้งคำถามว่า พรรคเพื่อไทยควรมีคนของตัวเองไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย หรือไม่ว่า “การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทย ยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่”
แถมยังพูดด้วยความมั่นใจด้วยว่า พรรคภูมิใจไทยจะไม่ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล
ดูตามไทม์ไลน์ “ทักษิณ” พูดเรื่องกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมไม่ใช่บังเอิญ หรือเพิ่งคิดได้ แต่เพิ่งพูดเพราะไม่พอใจ “อนุทิน” ที่ไปจ้อผ่านรายการเล่าข่าวชื่อดัง ก่อนหน้านั้น 1 วัน เป็นการตอบคำถามเรื่องอุบัติเหตุทางการเมือง และโอกาสการเป็นนายกฯ ว่า ไม่อยากเป็นนายกฯในโครงสร้างนี้ หรือนายกฯ ขัดตาทัพที่ “ไม่สง่างาม” หากจะเป็นต้อง “สมาร์ท” เป็นพรรคอันดับ 1 ในซีกรัฐบาล ไม่เป็นเบี้ยล่างใคร ทำงาน-สั่งการได้ ที่พูดไปแทบจะตรงกันข้ามกับ “นายกฯอิ๊งค์” สิ้นเชิง เสมือนด่ากันซึ่งหน้าว่า รัฐบาล-นายกฯ “ไม่สง่างาม”
นอกเหนือจาก “กระทรวงมหาดไทย” ที่เป็นเป้าหมายหลัก แล้ว อีกหนึ่งกระทรวงที่ “ทักษิณ” เอ่ยถึงและเป็นประเด็นไม่แพ้กันก็คือ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่วันนี้อยู่ในความดูแลของ “พรรคกล้าธรรม” แต่จะว่าไปก็มิได้มีนัยเท่าใดนัก แม้จะมีปฏิกิริยาออกมาจาก “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” เพราะใครๆ ก็รู้ว่าเป็นพรรคสาขาและโวยวายพอเป็นพิธี
หลัง “ทักษิณ” พูดจบ คลื่นลมทางการเมืองก็ปั่นป่วนทันที โดยเฉพาะในฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมายสำคัญนั่นก็คือ “กระทรวงมหาดไทย” ที่อยู่ในโควต้าของ “ค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย” โดยมี “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการอยู่
จากนั้นก็มีกระแสข่าวปล่อยออกมาจากค่ายสีน้ำเงินว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้ประสานมาที่แกนนำพรรคภูมิใจไทยให้พิจารณาเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งแกนนำพรรคภูมิใจไทยได้ยืนยันแล้วว่า ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยยังไม่มีแนวคิดเรื่องปรับคณะรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค แต่ถ้าหากเป็นความต้องการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การทำงานแก้ปัญหาของประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ควรจะปรับคณะรัฐมนตรีแบบปรับใหญ่ทั้งคณะ
ย้อนหลังกลับไปเมื่อครั้งที่ “พรรคเพื่อไทย” ล้มดีลจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ “ค่ายสีส้ม” ค่ายสีแดงจำต้องยอมต้องยกเก้าอี้กระทรวงคลองหลอดให้กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อให้การตั้งรัฐบาลดำเนินด้วยความราบรื่น และผลลัพธ์ของการเสี่ยเหลี่ยมในครั้งนั้น ส่งผลทำให้พรรคภูมิใจไทยสามารถขยายเครือข่ายอำนาจให้ดำเนินไปได้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
นอกจากนี้ หนึ่งในผลลัพธ์ประการสำคัญก็คือ การเลือกตั้ง “วุฒิสมาชิก(สว.)” ที่เครือข่ายสีน้ำเงินสามารถขนคนเข้ามาเป็นกอบเป็นกำ และทำให้ปวดใจอยู่จนถึงทุกวันนี้จนต้องเคลื่อนเกมเพื่อตัดแขนตัดขาให้ได้
หากนับเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ปฐมบทของการการวัดพลัง "ทักษิณ-เนวิน" คงไม่พ้นร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือสถานบันเทิงครบวงจร อันเป็นนโยบาย “เรือธง” ที่ถูกหยิบมาใช้แบบฉุกเฉิน โดยมีเหตุผล “หน้าม่าน” ว่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ส่วนเหตุผล “หลังม่าน” ก็เป็นเรื่องที่มโนกันได้แบบปลายเปิดว่า ทำไมจู่ๆ พรรคเพื่อไทย ถึงเร่งเครื่องแบบตบเกียร์ห้า
แต่ไม่ว่าเหตุผลแบบไหน “บ้านใหญ่เขากระโดง” ก็ยืนตระหง่านขวางทุกเวทีมาตั้งแต่ต้น ด้วย ”ไอเดียโลว์คอส“ ที่เสนอพ่วงเข้าไปไม่ได้รับการตอบรับ ก็เท่ากับ “ตกรถ” ไปโดยปริยาย
อีกทั้งจุดยืนของพรรคภูมิใจไทย ก็มาชัดเจนแจ่มแจ้ง เมื่อ “พ่อเน” ร่างสคริปต์ปล่อยคิวให้ “ลูกนก” ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ไปประกาศจุดยืน ลูกคนโตของ “พ่อโอ้ง-แม่ต่าย” ที่หัวเด็ดตีนขาดก็จะสนังสนุน “บ่อนพนันกาสิโน” โดยไม่สนว่า ที่ประชุมกำลังถกเถียงเอาสาระเรื่องอะไรอยู่
เป็นการส่งสารโดยตรงถึง “เถ้าแก่ทักษิณ” ว่านายห้างอีสานใต้“ ไม่ยอมนะ กระทั่ง พรรคเพื่อไทนต้องขอถอนวาระออกไปก่อน แต่ก็ยังคาอยู่ในวาระประขุมสภาฯ
นำมาซึ่ง ”เกมสวนกลับ“ จาก ”บ้านจันทร์ส่องหล้า“ กับการกดไนตรัสเร่งคดีฮั้วเบือก สว. ที่อืดอาดอยู่ในชั้นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนต้องส่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปแจม
ไม่ทันไรคดีฮั้วเลือก สว. ที่มองมาจากดาวอังคารก็เห็นว่า ”ไม่ปกติ“ แต่ประธาน กกต., กรรมการ กกต. และโดยเฉพาะเลขาธิการ กกต.ที่เดินสวนกับมือวางงาน” ทั้งหลายในสถานที่เลือก สว. กลับบอกว่า เรียบร้อยดี แล้วประกาศรับรอง “สว.สีน้ำเงิน” อย่างรวดเร็ว
การเร่งจังหวะของ “ดีเอสไอ” ที่ดันจนมีการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาหลายชุดอย่างต่อเนื่อง และเริ่มลามเข้า ”บ้านใหญ่เขากระโดง“ ที่แม่ทัพนายกองแกนนำพรรคภูมิใจไทยเริ่มโดนเรียกทีละคนมองคน
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ลอตสุดท้ายชื่อของ เนวิน, กรุณา, อนุทิน หรือแม้แต่ “ลูกนก-ไชยชนก” ก็จะถูกเรียกไปปักชนักกันไว้ด้วย
ก่อนจะมีการปรากฏตัวของ ณฐพร โตประยูร นักร้อง (เรียน) อาชีพ ที่ยื่นเรื่องร้องยุบ “ภูมิใจไทย” ผลพวงว่ายุบไม่ยุบ ไม่เท่าร่องรอยเบื้องหลังของ “ณฐพร” ที่เข้าสังกัด “ซุ้มพะเยา” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม มาพักใหญ่แล้ว
ฉายภาพเชื่อมโยง “ทักษิณ” กับคดีฮั้วเลือก สว.อย่างมีนัย ผ่านมืองานซ้าย-ขวา คนหนึ่ง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ที่เดินเกทคดีฮั้วเลือก สว.อย่างแข็งขัน จนเข้าลู่เรียบร้อย ถึงถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติหน้าที่คุม “ดีเอสไอ” อีกคน ก็ ร.อ.ธรรมนัส ที่กำลังขึ้นหม้อ และโดดลงมาเล่นด้วย
1 ทวี 1 ธรรมนัส เช่นนี้ มีหรือเจ้าของรหัส “V 1” จะไม่รู้เห็น และเป็นใจ
คำถามมีอยู่ว่า พรรคเพื่อไทยจะเอากระทรวงอะไรไปแลกถึงจะทำให้พรรคภูมิใจไทยยอม
กระแสข่าวที่ออกมามีหลายสูตรด้วยกัน
สูตรแรก อาจเอากระทรวงเกรดเอ แลกกับกระทรวงมหาดไทย
สูตรที่สอง อาจจะเป็นสองแลกสอง โดยเอากระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แลกกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้พรรคภูมิใจไทยยื่นข้อเสนอว่า นายอนุทินจะนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐนตรีควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่พรรคเพื่อไทยยังคงหวงเก้าอี้เอาไว้ให้กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ด้วยพอใจในการทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นายใหญ่ด้วยการมีความเห็นวีโต้มติของแพทยสภาในคดีป่วยทิพย์ ทำให้หวยออกที่เก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแทน พร้อมกับเพิ่มเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการให้อีก 1 กระทรวง ส่วนจะเป็นกระทรวงใดนั้น ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
ทว่า ก็ยังไม่แน่นัก เพราะแว่วว่า “น้องสาวนาย” ก็อยากได้กระทรวงศึกษาธิการมาไว้ในมือเช่นกัน
แต่โปรดอย่าลืม “สูตรที่สาม” นั่นคืออัปเปหิพ้นจากพรรคร่วมรัฐบาลเพราะเจ้าบ้านแสดงให้เห็นแล้วว่า “หมดใจ” เอือมกับที่ถูก “ขี่คอ” มาตลอดไม่ได้ ยอมเสี่ยงเสียงปริ่มน้ำ ดีกว่าทนอยู่ในชายคา
รัฐบาลเดียวกัน
ถัดจาก “พรรคภูมิใจไทย” เกมการเมืองในช่วง 2 ปีสุดท้ายของรัฐบาลก็ดุเดือดเลือดพล่านอีก เมื่อปรากฏข่าวว่า “เสี่ยเฮ้ง-นายสุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แห่งพรรคลุงตู่หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้นัด สส.ประมาณ 20 คน ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่โรงแรมคอนราด ย่านถนนวิทยุ เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2568
“ขณะนี้ ผมโฟกัสไปที่พรรคโอกาสใหม่ เพราะเป็นพรรคที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ น้ำยังไม่เต็มแก้ว เติมได้ หากน้ำเต็มแก้ว เติมไม่ได้ เท่ากับว่าไปอาศัยเขาอยู่”นายสุชาติให้สัมภาษณ์สื่อ
ที่ต้องจับตาไม่แพ้ “เสี่ยเฮ้ง” ก็คือ “มาดามออย-พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ” เพราะนอกจากจะเป็นแกนนำระดับตัวแทนกลุ่มทันแล้ว น้องสาวของมาดามก็คือ “ภัทรานันท์ ทองประพาฬ” เวลานี้ นั่งเก้าอี้กรรมการบริหารพรรคโอกาสใหม่รออยู่แล้ว
ตามต่อด้วย “เศกสกล อัตถาวงศ์” ที่เปิดฉากออกมาโจมตี “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ว่า ไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรค และประกาศขอทวงคืนพรรค
เป็น 2 ความเคลื่อนไหวที่กระเทือนพรรครวมไทยสร้างชาติที่เดิมก็มีความระส่ำระสายภายในเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังจาก “นายทุนพลังงาน” ซึ่งเป็น “นายทุนพรรครายสำคัญ” ถอนการสนับสนุนออกไป
ทางหนึ่ง มีเป้าหมายเพื่อไล่ “พีระพันธุ์” ให้พ้นจากหัวหน้าพรรค
ส่วนอีกทางหนึ่งก็คือ กวาดต้อนผู้คนย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ที่เตรียมไว้ ซึ่งก็คือ “พรรคโอกาสใหม่”
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ เป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจที่ “นายทุนพลังงาน” คนนั้น ให้การสนับสนุน “พรรคโอกาสใหม่” เพื่อรองรับสส.และนักการเมืองที่เตรียมจะโบกมือลามาร่วมงานด้วยกัน
เรียกว่า “แผน 1-แผน 2” สอดประสานเป็น “จังหวะจะโคน” ที่สอดคล้องกันพอดิบพอดี
สถานการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ณ เวลานี้ จึงยืนอยู่บนหุบเหวแห่งความแตกแยก ด้วยมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่พรรคจะแตกออกเป็น 2 เสี่ยง โดยครึ่งหนึ่งอาจจะยังคงสังกัดป้อมค่ายเดิม แต่อีกครึ่งหนึ่งจะโบกมือลาไปอยู่ป้อมค่ายใหม่ นั่นก็คือ พรรคโอกาสใหม่
ซ้ำรอย “พรรคกล้าธรรม” ที่ “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” นำพาสส.ย้ายออกมาจาก “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่อ่อนพลังทางการเมืองลงทุกขณะ และน่าจะเป็นอีกตัวแปรที่สำคัญใน “สงครามแดง-น้ำเงิน”
ที่แน่ๆ เสียยิ่งกว่าแช่แป้งว่าจะตาม “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” ไป ก็อย่างเช่น กุลวลี นพอบรมดี สส.ราชบุรี ,จิรวุฒิ สิงโตทอง สส.ชลบุรี ชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ สส.บัญชีรายชื่อ และสองบ้านใหญ่จากจังหวัดเพชรบุรีคือ กระแต-ธิวัลรัตน์ อังกินันท์และเสี่ยต้อย-อภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรบุรี
และจำนวนนี้มีที่แน่นปึ้กกับ “เสี่ยขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการพรรค พอสมควร แม้ “เลขาฯ ขิง” จะไม่ใช่เป้าหมาย แต่ก็จำเป็นต้องแอคชันบางประการอย่างที่ปรากฏเป็นข่าว
สำหรับ สส.คนอื่นๆ คงต้องรอความชัดเจนทางการเมืองอีกสักระยะหนึ่ง จึงจะเปิดตัวกับพรรคโอกาสใหม่
ส่วนที่น่าจะปักหลักอยู่กับ “หัวหน้าพีระพันธุ์” ก็น่าจะมีวิทยา แก้วภราดัย ,จุติ ไกรฤกษ์ ,ชัชวาลย์ คงอุดม , ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ,ธนกร วังบุญคงชนะ และดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง,อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์,พท.สินธพ แก้วพิจิตร,ชุมพล จุลใส, ชุมพล กาญจนะ และวิสุทธิ์ ธรรมเพชร
ยกเว้น 2 สส.สุราษฎร์อย่าง พันธ์ศักดิ์ บุญแทน และปรเมษฐ์ จินา ที่มีรายงานว่า จะย้ายไปพรรคกล้าธรรมของ “ผู้กอง”
แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่ดอกนาย เพราะแม้แต่ “เลขาฯขิง” ก็ยังเฟดตัวออกห่าง “หัวหน้าพี” ด้วยกลัวจะโดนลูกหลง และเชื่อว่าผลงานในตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม น่าจะค้ำให้อยู่ต่อได้
กล่าวสำหรับพรรคโอกาสใหม่นั้น ตัวละครสำคัญที่ต้องจับตาเป็นพิเศษนอกเหนือจาก “นายทุนพลังงาน” ก็คือ “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดมหาดไทย ที่นั่งประจำการอยู่เป็นมือประสานสิบทิศระหว่างนักการเมืองกับกลุ่มทุน พร้อมรวบรวมอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดและบรรดาบิ๊กๆ ข้าราชการมาแต่งตัวรอตั้งแต่ไก่โห่ จนทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งพรรคที่ “เนื้อหอมขั้นสุด” ไม่เช่นนั้นคนอย่าง “เสี่ยเฮ้ง” คงไม่ปักหมุดล่วงหน้าอย่างที่เห็น
เท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่ทราบได้ แต่มีข่าวปล่อยออกมาว่า สส.จังหวัดแถวฝั่งอันดามัน 3 คน ค่ายสีน้ำเงิน ก็เปิดดีลกับ “ปลัดฉิ่ง” ไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นหลัง “นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์” ยอมรับ ก็มีความเป็นไปได้สูงถึงสูงมากที่สัดส่วนรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติจะหดลง โดยหนึ่งในเก้าอี้ที่จะถูกยึดคืนไปอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยก็คือ “กระทรวงพลังงาน” ที่ “หัวหน้าพีระพันธุ์” รั้งตำแหน่งอยู่ในเวลานี้ ด้วยสภาพพรรคเวลานี้ ไม่เหลืออะไรที่จะไปต่อรองอะไรได้
2 ความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” และ “นายทุนพลังงาน” ที่มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นต่อกัน กำลังทำให้สมการการเมืองไทยพลิกโฉมในเร็วๆ นี้.