xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (39): “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค.ศ. 1680” การสถาปนาอำนาจนำของราชาธิปไตย (the Primacy of Monarchy)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพเหมือน พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดแห่งสวีเดน โดย David Kl?cker Ehrenstrahl , 1689 (ภาพ: วิกิพีเดีย)
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร


ในตอนก่อนๆ ผู้เขียนได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดในการทำความเข้าใจ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน” และเค้าโครงของประวัติศาสตร์ของกฎหมายในฐานะที่เป็นกรอบกติกาการปกครองหรือ “รัฐธรรมนูญ” รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมของสวีเดนก่อนการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วง ค.ศ. 1680 ไปบางส่วน รวมทั้งคำอธิบายการกำเนิดสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดน ค.ศ. 1680 ไปแล้ว

ในตอนนี้จะขอกล่าวถึงการปฏิรูปราชอาณาจักรสวีเดนหลังการสถาปานาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดและการดำเนินนโยบายต่างประเทศของพระองค์ต่อจากตอนที่แล้ว

การปรับทิศทางของนโยบายต่างประเทศทำให้สวีเดนต้องแสวงหาพันธมิตรหลักใหม่ ด้านหนึ่ง  สวีเดนกับเนเธอร์แลนด์ ได้ลงนามในสัญญาพันธมิตรในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ.1681 บนฐานที่จะรักษาสถานะตามความตกลงปี ค.ศ.1648, 1660 และ 1678 แม้ว่าสมาชิกสภาบริหารขณะนั้น จะไม่พอใจ แต่ก็ต้องยอมรับสัญญาดังกล่าวเพราะเป็นพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ (พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด: Charles XI ) ที่เสร็จสิ้นลุล่วงไปแล้ว

ส่วนทาง ฝรั่งเศส  พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ทรงไม่พอพระทัยและสั่งให้มีการลดทอนความน่าเชื่อถือต่อสวีเดน ทูตฝรั่งเศสมองว่าสมาชิกสภาบริหารใหม่สี่คนที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าไปนั้น ล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีทัศนะเป็นปฏิปักษ์กับฝรั่งเศส

ขณะที่  เดนมาร์ก ดำเนินนโยบายที่บั่นทอนสถานะของสวีเดน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาความร่วมมือกับ Brandenburg หรือการเข้าร่วมกับฝรั่งเศส ดังการตีความความข้อตกลงระหว่างประเทศใหม่ที่สนับสนุนอำนาจของเดนมาร์กเหนือพื้นที่  Holstein-Gottorp 
อีกด้านหนึ่ง Oxenstierna เข้ากระชับความสัมพันธ์กับพระจักรพรรดิแห่ง  จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  และเข้าเจรจาความเป็นพันธมิตรบนฐานข้อตกลง “Guarantee Treaty”  ระหว่างสวีเดนกับเนเธอร์แลนด์ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1682 โดยบรรลุข้อตกลงสำเร็จในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ทิศทางดังกล่าว พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดและ Oxenstierna มีจุดยืนที่แตกต่างขัดแย้งกัน อันเป็นเงื่อนไขที่สำคัญต่อการต่างประเทศของสวีเดนในช่วงปี ค.ศ.1682-1686 นั่นคือ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงมุ่งรักษาสันติภาพและไม่ต้องการสร้างพันธะทางการเมืองทางการทหารแก่สวีเดน ขณะที่ Oxenstierna ต้องการให้สวีเดนส่งกำลังสนับสนุนและมีพันธะต่อความร่วมมือบนฐานของ “Guarantee Treaty” รวมถึงการส่งกำลังไปประจำการในดินแดนที่ผู้คนอยู่ภายใต้เยอรมันของสวีเดนเพื่อแสดงอำนาจของสวีเดนทั้งภายในและภายนอกกลุ่มพันธมิตร

จุดยืนที่แตกต่างดังกล่าวส่งผลต่อการเจรจาระหว่างพันธมิตรกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดต้องการลดพันธะทางการทหารของสวีเดนลงถึงหนึ่งในสาม

ในช่วงปี ค.ศ.1682-1684 สวีเดนดูจะเลือกพันธมิตรผิดฝั่ง เพราะในดุลอำนาจระดับทวีปนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และในดุลอำนาจระดับภูมิภาคทางตอนเหนือของเยอรมนีนั้น รัฐใกล้เคียงอย่างเดนมาร์กและ Brandenburg ได้รวมตัวกันและพร้อมที่จะยึดดินแดนเยอรมนีของสวีเดนในปี ค.ศ.1682แต่ถือเป็นโชคดีสำหรับสวีเดน ที่พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ยังต้องการให้สวีแดนถือครองดินแดนในเยอรมันต่อไปและเข้ามาขัดขวางความพยายามของเดนมาร์กและ Brandenburg
ในช่วงเดียวกันนั้น เดนมาร์กตัดสินใจที่จะจัดการกับปัญหา Holstein-Gottorp ทำให้สภาบริหารของสวีเดนและ Oxenstierna พยายามโน้มน้าวให้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดส่งกองกำลังทางทหารเข้าไปสนับสนุนดยุคแห่ง Holstein-Gottorp แต่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงตัดทางเลือกใดก็ตามที่ต้องใช้การกองกำลังทหาร

ต่อมาในปี ค.ศ.1683 เดนมาร์กและ Brandenburg ตกลงที่จะเข้าโจมตีดินแดนเยอรมนีของสวีเดนหากฝรั่งเศสเห็นด้วย แต่โชคดีที่ฝรั่งเศสยังคงไม่เห็นด้วยกับเดนมาร์ก กระนั้น เหตุการณ์ในสวีเดนก็เผยให้เห็นถึงความลังเลที่จะเข้าร่วมกิจการทางทหารของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด ดังที่พระองค์ทรงพยายามจำกัดพันธะความร่วมมือระหว่างสวีเดนกับ Lüneburg ในการทัดทานความพยายามของเดนมาร์ก ดังที่พระองค์ทรงปฏิเสธการส่งกำลังทหารเมื่อฝรั่งเศสเปิดการโจมตีต่อดินแดน Spanish Netherlands
ปี ค.ศ.1684 ถือเป็นจุดตกต่ำที่สุดของสวีเดนในเวทีต่างประเทศ ด้วยในเดือนธันวาคม ค.ศ.1683 สภาบริหารของสวีเดนได้ถกเถียงในประเด็นภัยคุกคามที่ดยุคแห่ง Holstein ต้องเผชิญ Oxenstierna ได้เสนอให้เสริมกองกำลังทหารที่มีอยู่ในดินแดนเยอรมนีของสวีเดน (Bremen-Verden และ Pomerania) แต่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงเห็นค้านนโยบายดังกล่าวด้วยเหตุผลที่ว่า  “สวีเดนไม่ควรให้คำสัญญาในสิ่งที่สวีเดนไม่สามารถทำได้” และไม่รับฟังหรือไม่เข้าใจข้อโต้แย้งของ Oxenstierna ว่าความน่าเชื่อถือและอำนาจการต่อรองของสวีเดนขึ้นอยู่กับพันธะทางทหารที่สวีเดนมีแก่ประเทศอื่น (military commitment)

ความพยายามหลีกเลี่ยงพันธะทางการทหารในกรอบ  “Guarantee Treaty”   ในเวลาต่อมา ทำให้พันธมิตรดังกล่าวต้องพังลงในปี ค.ศ.1684 สวีเดนหันไปให้ความสำคัญกับ  “Truce of Ratisbon”   ระหว่างฝรั่งเศส-จักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์-จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยคาดหวังว่าจะสามารถผลักดันประเด็นวาระของตน (Holstein-Gottorp และ Zweibrücken) ในเวทีดังกล่าวในฐานะเจ้าครองดินแดนเยอรมนี

แต่ภาพลักษณ์ที่กล่าวมา (การไม่ใช่กำลังทหาร) ทำให้ข้อเรียกร้องของสวีเดนไม่มีน้ำหนักในสายตาของสมาชิกอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่างเดนมาร์ก-Brandenburg-Lüneburg ต่อสวีเดนก็ยังไม่สำเร็จเพราะฝรั่งเศสยังไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นไร พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดก็ทรงยังคงปฏิเสธที่จะส่งกำลังเข้าประจำการเพิ่งเติมในดินแดนเยอรมนีของพระองค์
ต่อมา เหตุการณ์เริ่มดีขึ้นด้วยเหตุปัจจัยภายนอก นั่นคือ จากการที่ Frederick-William แห่ง Brandenburg  เปลี่ยนท่าทีถอยห่างจากฝรั่งเศสและหันมาเป็นมิตรกับสวีเดนมากขึ้นด้วยกระแสชาตินิยม และเหตุการณ์ที่ Huguenot ในฝรั่งเศส จนนำไปสู่ข้อตกลงเป็นพันธมิตรกันในปี ค.ศ.1686 จักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มีสถานะมั่นคงยิ่งขึ้นหลังการทำสงครามขับไล่พวกเติร์กออตโตมันออกไป กระนั้น พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดก็ยังคงหลีกเลี่ยงที่จะส่งกำลังทางทหารเช่นเดิม

ในปี ค.ศ.1686 พระองค์ปฏิเสธการส่งกำลังที่ Holstein-Gottorp ร้องขอ ที่การปฏิเสธนั้นอาจขัดต่อสนธิสัญญาในปี ค.ศ.1679 และในปีเดียวกัน พระองค์ก็ปฏิเสธการส่งกองกำลังไปสนับสนุนการรบของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อจักรวรรดิออตโตมัน โดยอ้างประเด็นแหล่งที่มาของค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการทางทหาร โดยพระองค์อ้างว่า พระองค์  “จำเป็นต้องปรึกษาเหล่าฐานันดรเสียก่อน” 

แต่ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงยินยอมที่จะส่งกองกำลังสนับสนุนจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  “ในจำนวนที่ได้สัดส่วนและเพียงพอ”  ในฐานะเจ้าครองดินแดนเยอรมนี (ไม่ใช่ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งสวีเดน) ต่อการรุกโจมตีของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ แม้ว่าเจ้าครองดินแดนเยอรมันอื่น ๆ จะไม่พอใจ แต่จำนวนดังกล่าวก็ไม่ได้น้อยเมื่อเทียบกับเนเธอร์แลนด์และ Brandenburg ที่ปฏิเสธไม่ส่งกองกำลังเลย
แต่เมื่อถึงปี ค.ศ.1686 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของทิศทางการต่างประเทศของสวีเดน พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงยอมรับมุมมองของ Oxenstierna ที่เห็นว่า พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อสันติภาพ แต่ทั้งนี้ การที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเปลี่ยนท่าที เกิดขึ้นจากการโน้มน้าวของ Oxenstierna ที่ผูกเอาประเด็นในความสนใจของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเข้ากับประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ นับจากปี ค.ศ. 1686 พระองค์ทรงเริ่มปกป้อง Oxenstierna จากคำวิพากษ์วิจารณ์ของอภิชนรุ่นเก่าที่นิยมฝรั่งเศส

ในด้านการต่างประเทศ กล่าวในภาพรวมได้ว่า  “พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดแห่งสวีเดน ทรงขาดทักษะทางการเมืองที่จำเป็นต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศในยุคก่อนสมัยใหม่” 

พระองค์มีมุมมองต่อการเมืองระหว่างประเทศแบบขาว-ดำ นั่นคือ มองมิตรและศัตรูผ่านกรอบศาสนาและกรอบกฎหมายเท่านั้น ดังตัวอย่างการหลีกเลี่ยงสงครามอย่างถึงที่สุด ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะทัศนะที่ว่า สงครามคือการลงโทษที่รุนแรงที่สุดที่พระผู้เป็นเจ้าจะมีต่อมนุษย์ และแน่นอนว่าอีกส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากประสบการณ์ก่อนหน้าของพระองค์เองด้วย

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น