"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในภาคใต้ของประเทศไทยตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 เป็นต้นมา สะท้อนถึงการสั่นคลอนของโครงสร้างอำนาจดั้งเดิมและการกำเนิดของภูมิทัศน์การเมืองรูปแบบใหม่อย่างเด่นชัด พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยครองความนิยมในฐานะพรรคหลักของภูมิภาคมาหลายทศวรรษ เริ่มสูญเสียฐานเสียงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองที่ยึดโยงกับอุดมการณ์ ไปสู่การเมืองที่อิงทุน อิทธิพล และการต่อรองเชิงผลประโยชน์ในระดับท้องถิ่น
หากย้อนดูผลการเลือกตั้งในปี 2554 พรรคประชาธิปัตย์สามารถคว้าที่นั่ง ส.ส. ในภาคใต้ได้ถึง 50 ที่นั่ง แต่ในการเลือกตั้งปี 2562 จำนวนดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 18 ที่นั่ง และลดลงอีกครั้งเหลือเพียง 17 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2566 ในทางกลับกัน พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเริ่มลงสนามในภาคใต้ครั้งแรกในปี 2554 และได้รับเพียง 1 ที่นั่ง กลับขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง โดยได้ 8 ที่นั่งในปี 2562 และเพิ่มเป็น 12 ที่นั่งในปี 2566
จุดวิกฤติของพรรคประชาธิปัตย์คือการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งไม่เพียงแค่สูญเสียพื้นที่ให้กับพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แต่ยังถูกพรรคพลังประชารัฐเข้ามาแบ่งคะแนนเสียงได้ถึง 9 ที่นั่ง และพรรคประชาชาติเข้ามายึดพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ถึง 6 ที่นั่ง ทั้งสองพรรคสามารถรักษาที่นั่งไว้ได้ต่อเนื่องในการเลือกตั้งปี 2566 โดยพรรคพลังประชารัฐได้ 8 ที่นั่ง และพรรคประชาชาติได้ 7 ที่นั่ง
ในขณะเดียวกัน พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งนำเสนอนโยบายในแนวทางเสรีนิยมเชิงสังคม แม้จะไม่ได้ ส.ส. เขตในภาคใต้ แต่กลับได้รับคะแนนบัญชีรายชื่อในหลายจังหวัดเป็นจำนวนมาก สะท้อนถึงกระแสการเมืองแนวใหม่ที่เริ่มเกิดขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่และเขตเมือง
การเลือกตั้งปี 2566 เป็นอีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญเมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก้าวเข้าสู่สนามภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการดูดอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์เข้าสังกัด และสามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 14 ที่นั่ง ขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกล (สืบทอดจากพรรคอนาคตใหม่) ก็ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระบบบัญชีรายชื่อ และยังสามารถคว้าที่นั่ง ส.ส. เขต 3 ที่นั่งจากจังหวัดภูเก็ต ซึ่งนับเป็นการเจาะพื้นที่ภาคใต้ได้สำเร็จครั้งแรกของพรรคแนวอุดมการณ์เสรีนิยมเชิงสังคม
นอกจากนี้ ยังมีพรรคการเมืองหน้าใหม่ เช่น พรรคกล้าธรรม ซึ่งแตกตัวจากพรรคพลังประชารัฐ เข้าสู่สนามการเมืองภาคใต้ และประเดิมชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดนครศรีธรรมราช สะท้อนถึงการแข่งขันที่ซับซ้อนและกระจายตัวมากยิ่งขึ้น
กล่าวได้ว่า การเลือกตั้งในภาคใต้ปัจจุบันมีลักษณะแบ่งแยกค่อนข้างชัดเจนระหว่างระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งสะท้อน “ความนิยมเชิงอุดมการณ์และพรรค” กับระบบเขตเลือกตั้งที่สะท้อน “ความนิยมตัวบุคคลและเครือข่ายบ้านใหญ่” โดยเฉพาะในการเลือกตั้งปี 2566 การแข่งขันบัญชีรายชื่อเป็นศึกระหว่างพรรคก้าวไกล (แนวเสรีนิยมเชิงสังคม ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน) กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (แนวอนุรักษนิยมเข้มข้น) ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์แทบไม่มีบทบาทในระบบนี้อีกต่อไป
สำหรับระบบเขตเลือกตั้ง ยังคงเป็นเวทีของพรรคที่มีเครือข่ายบ้านใหญ่เข้มแข็ง ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ (ยุคใหม่ที่อิงบ้านใหญ่), พรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาชาติ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่เมืองที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่และความตื่นตัวทางการเมืองสูง พรรคก้าวไกลยังคงมีศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีเศรษฐกิจแบบเมืองและระบบอุปถัมภ์ลดบทบาทลง


กล่าวได้ว่าภายหลังการเลือกตั้งปี 2562 และยิ่งชัดเจนขึ้นในการเลือกตั้งปี 2566 ปรากฏว่าภูมิภาคนี้มิใช่ “ฐานที่มั่นผูกขาด” ของพรรคใดอีกต่อไป คะแนนเสียงของประชาธิปัตย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระบบเขตและบัญชีรายชื่อ ขณะที่พรรคอื่น ๆ เช่น พรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และประชาชาติ สามารถเข้ามาแบ่งพื้นที่ได้มากขึ้น สถานการณ์นี้สะท้อนการสิ้นสุดของยุคการเมืองแบบผูกขาด และเปิดพื้นที่ให้กับการแข่งขันอย่างแท้จริง
ในบริบทที่พรรคประชาธิปัตย์เสื่อมความนิยมลง ความเข้มแข็งของ “บ้านใหญ่” หรือเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว นักการเมืองท้องถิ่นที่มีฐานอิทธิพล ผูกพันกับประชาชน และมีทรัพยากรในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดผลการเลือกตั้งในระดับเขต
พรรคการเมืองหลายพรรคจึงเลือกใช้กลยุทธ์ “ดูดตัวบุคคล” ที่มีอิทธิพลในพื้นที่เข้าสังกัดพรรคตน มากกว่าการสร้างความนิยมผ่านนโยบายระดับชาติ ส่งผลให้การเมืองภาคใต้เข้าสู่ยุคที่ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งไม่ได้สะท้อนความนิยมในพรรคเป็นหลัก แต่สะท้อนพลังของเครือข่ายอุปถัมภ์ท้องถิ่นที่ยังคงแข็งแรง
ในอีกด้านหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้ครอบครองจำนวนที่นั่ง ส.ส. อย่างถล่มทลายในภาคใต้ แต่การที่พรรคก้าวไกล (อดีตพรรคอนาคตใหม่) สามารถคว้าที่นั่งในระบบเขตจากจังหวัดภูเก็ต และได้คะแนนบัญชีรายชื่อในระดับสูงในหลายจังหวัด แสดงให้เห็นว่า “อุดมการณ์ใหม่” กำลังมีที่ทางในพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าอนุรักษนิยม พรรคก้าวไกลไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของแนวคิดเสรีนิยมก้าวหน้า แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเมืองเชิงอุดมการณ์ที่แตกต่างจากการเมืองแบบบ้านใหญ่และอุปถัมภ์ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าประชาชนภาคใต้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ กำลังเปิดรับแนวทางการเมืองที่หลากหลายและพร้อมท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิม
ภูมิทัศน์การเมืองภาคใต้ได้เปลี่ยนจาก “ความนิ่ง” สู่ “ความไม่แน่นอน” จาก “การผูกขาดของพรรคเดียว” สู่ “การแข่งขันแบบพหุพรรค”
การเมืองภาคใต้ไม่ได้มีคำตอบเดียวอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนทั้งอิทธิพลของทุน วัฒนธรรมท้องถิ่น และอุดมการณ์ใหม่ที่กำลังเติบโต การเลือกตั้งแต่ละครั้งจึงไม่ใช่เพียงการตัดสินอนาคตของผู้แทนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของการต่อสู้เชิงโครงสร้าง ระหว่าง “อดีต” กับ “อนาคต” ที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ในภูมิภาคนี้.
ปัจจัยขับเคลื่อนและผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจทางการเมืองในภาคใต้มีสองมิติหลัก คือ มิติที่ส่งเสริมการเมืองแบบบ้านใหญ่ และมิติที่ส่งเสริมการเมืองแบบพลเมือง สำหรับปัจจัยที่เอื้อต่อมิติการเมืองแบบบ้านใหญ่มีสามประการหลัก ดังนี้
ประการแรก ความเสื่อมถอยของพรรคประชาธิปัตย์และวิกฤตการปรับตัว พรรคประชาธิปัตย์ในอดีตเคยมีสถานะเสมือน “สถาบันการเมืองประจำภาคใต้” ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคสะอาด (เมื่อเทียบกับพรรคอื่น ๆ) ผู้แทนเป็นคนในพื้นที่ และมีผู้นำที่เป็นคนใต้โดยตรง ตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 2530 พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างรากฐานความเชื่อมั่นจากประชาชนภาคใต้ด้วยการนำเสนอตัวเองในฐานะตัวแทนของประชาชนที่ต่อต้านการทุจริต และเป็นเสียงของคนใต้ในเวทีการเมืองแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2562 เป็นต้นมา พรรคประชาธิปัตย์เริ่มเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น การตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลทหาร การไม่สามารถพัฒนาแนวทางนโยบายให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม และการขาดความสามารถในการสื่อสารกับประชาชนรุ่นใหม่ ส่งผลให้พรรคสูญเสียความน่าเชื่อถือและฐานเสียงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความล้มเหลวในการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองต่อปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ การขาดโอกาสทางการศึกษาและการทำงานสำหรับคนรุ่นใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า ได้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์สูญเสียความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน จนกลายเป็นพรรคที่มีสถานะเทียบเคียงพรรคบ้านใหญ่ในบางพื้นที่ แทนที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองของภูมิภาคอย่างในอดีต
ประการที่สอง การขยายตัวของพรรคบ้านใหญ่และกลไกเครือข่ายท้องถิ่น ขณะเดียวกันกับการเสื่อมถอยของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคอย่างภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาชาติ ได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในภาคใต้อย่างมีกลยุทธ์ โดยอาศัยเครือข่ายบ้านใหญ่และการสนับสนุนทรัพยากรในระดับท้องถิ่น พรรคเหล่านี้สามารถสร้างฐานเสียงผ่านกลไกอุปถัมภ์ ทั้งในเชิงโครงการพัฒนา การสนับสนุนงบประมาณ และการเจรจาผลประโยชน์เชิงท้องถิ่น
การเติบโตของพรรคการเมืองที่มีฐานทรัพยากรขนาดใหญ่ในภาคใต้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของกลไกการเมืองที่เน้นการใช้ทุนและเครือข่ายในการสร้างอิทธิพล พรรคเหล่านี้ได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนในเครือข่ายท้องถิ่นผ่านการสนับสนุนโครงการพัฒนา การให้ทุนการศึกษา และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำชุมชนในระดับรากหญ้า
กลไกการซื้อเสียงที่ซับซ้อนขึ้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางการเมืองในภาคใต้ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะการให้เงินสดหรือของรางวัลโดยตรง แต่รวมถึงการสัญญาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างโอกาสทางการค้า และการให้การสนับสนุนทางการเมืองในระดับท้องถิ่น รูปแบบการซื้อเสียงใหม่นี้ได้สร้างความท้าทายต่อการบังคับใช้กฎหมายและการรักษาความเป็นธรรมในการเลือกตั้ง
ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงความหมายของศักดิ์ศรีทางการเมืองและการแบ่งแยกในกลุ่มอนุรักษนิยม ในอดีต ภาคใต้เคยภาคภูมิใจว่าเป็นพื้นที่ที่ “ไม่ขายเสียง” และยึดมั่นในอุดมการณ์พรรค แต่ในช่วงหลังศักดิ์ศรีทางการเมืองถูกนิยามใหม่ โดยมุ่งเน้นความสามารถในการดึงทรัพยากรและโอกาสเข้าพื้นที่ มากกว่าความซื่อสัตย์ของพรรค
ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางยังส่งเสริมให้ระบบอุปถัมภ์กลับมาเฟื่องฟูในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น การเกิดขึ้นและการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมหลายพรรคได้สร้างการแบ่งแยกฐานเสียงที่เคยเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ การเกิดขึ้นของพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และประชาชาติ ที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันได้ทำให้เกิดการกระจายตัวของเสียงสนับสนุนที่เคยรวมศูนย์อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ การแข่งขันภายในกลุ่มอนุรักษนิยมนี้ได้สร้างพลวัตทางการเมืองที่ซับซ้อนขึ้น โดยแต่ละพรรคพยายามแสดงความแตกต่างและสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การแข่งขันนี้ได้นำไปสู่การสร้างความสับสนและการแบ่งแยกในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวคิดใกล้เคียงกัน
ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยที่เกื้อหนุนต่อมิติการเมืองแบบพลเมืองก็มีสามปัจจัยหลักเช่นเดียวกัน ได้แก่
ประการแรก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและพลวัตทางสังคม การเพิ่มขึ้นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล ได้สร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน กลุ่มประชากรเหล่านี้มีการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ได้ผูกพันกับความจงรักภักดีต่อพรรคการเมืองแบบดั้งเดิม
สิ่งที่สำคัญคือ กลุ่มประชากรรุ่นใหม่มีแนวโน้มในการประเมินนักการเมืองและพรรคการเมืองจากประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และแนวคิดเชิงนโยบายมากกว่าการยึดติดกับเครือข่ายอุปถัมภ์หรือประเพณีทางการเมือง ความหลากหลายทางประชากรที่เพิ่มขึ้นในภาคใต้ โดยเฉพาะการเติบโตของชุมชนเมืองและกลุ่มประชากรที่มีการศึกษาสูงขึ้น ปัจจัยนี้ส่งผลเชิงบวกต่อพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน)
ประการที่สอง บทบาทของโซเชียลมีเดียและการเปลี่ยนแปลงของการสื่อสารทางการเมือง การแพร่หลายของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัลได้สร้างการปฏิวัติในวิธีการรับและแบ่งปันข้อมูลข่าวสารทางการเมืองในภาคใต้ โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้พรรคใหม่และแนวคิดทางการเมืองใหม่สามารถเจาะเข้าถึงประชาชนภาคใต้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการใช้ TikTok, Facebook, และ Twitter ในการอธิบายนโยบาย และชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของรัฐ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ได้พึ่งพาแหล่งข่าวสารแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายและมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับนักการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลาย
การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนโต้ตอบ สร้างความใกล้ชิดที่พรรคแบบเก่าไม่สามารถตามทัน รูปแบบการสื่อสารใหม่นี้ได้บังคับให้นักการเมืองและพรรคการเมืองต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และทักษะในการสื่อสารเพื่อให้สามารถเข้าถึงและโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สาม การเติบโตของการเมืองปฏิรูปและบทบาทของพรรคก้าวไกล ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเสื่อมถอย พรรคก้าวไกล ได้เติบโตขึ้นมาเป็นพรรคที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชากรรุ่นใหม่ในภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองและจังหวัดที่มีคนรุ่นใหม่อยู่หนาแน่น ด้วยนโยบายปฏิรูปสถาบันทางการเมือง เน้นสิทธิเสรีภาพ การต่อต้านคอร์รัปชัน และการกระจายอำนาจ
พรรคก้าวไกลได้นำเสนออุดมการณ์ปฏิรูปที่เน้นความโปร่งใส การกระจายอำนาจ และการแก้ไขปัญหาโครงสร้างของสังคมไทย ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม การเน้นประเด็นปฏิรูปกองทัพ การต่อต้านการทุจริต และการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพได้ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มประชากรที่เคยไม่ให้ความสำคัญกับการเมือง
สิ่งที่สำคัญคือ พรรคก้าวไกลสามารถเปลี่ยนสนามเลือกตั้งจากระบบอุปถัมภ์เป็นการแข่งขันเชิงแนวคิด การใช้โซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีดิจิทัลในการสื่อสารกับประชาชนได้สร้างรูปแบบการเมืองใหม่ที่แตกต่างจากแนวทางดั้งเดิม การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการนำเสนอนโยบาย การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และการตอบสนองต่อความคิดเห็นสาธารณะอย่างที่พรรคการเมืองแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ภาคใต้ไม่มีพรรคใดสามารถผูกขาดอำนาจทางการเมืองได้อีกต่อไป นี่คือการสิ้นสุดของยุคประชาธิปัตย์ผูกขาด และการก้าวเข้าสู่ยุคพหุพรรคที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของภาคใต้ การเลือกตั้งในภาคใต้ไม่ใช่การแข่งขันที่รู้ผลล่วงหน้าอีกต่อไป แต่กลายเป็น “สมรภูมิที่ไม่มีพรรคใดถือไพ่เหนือกว่าอย่างถาวร” พรรคการเมืองต้องเผชิญกับการแข่งขันหลายชั้น ทั้งในเชิงอุดมการณ์ เชิงเครือข่ายท้องถิ่น และเชิงยุทธศาสตร์นโยบาย
การหาเสียงในภาคใต้จึงต้องปรับตัวมากขึ้น ทั้งในด้านการนำเสนอนโยบาย การสื่อสารกับประชาชน และการสร้างพันธมิตรในพื้นที่ พรรคที่เคยพึ่งพาความนิยมเชิงประวัติศาสตร์อย่างประชาธิปัตย์ไม่สามารถคงความได้เปรียบโดยไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่พรรคใหม่ต้องแข่งขันทั้งกับระบบทุนและวัฒนธรรมการเมืองดั้งเดิมที่ฝังรากลึก
ทิศทางในอนาคตของการเมืองภาคใต้เป็นพลวัตของการต่อสู้ของการเมืองสองแนวอย่างชัดเจน คือ การเมืองแบบพลเมือง ที่เน้นเจตจำนงเสรีของผู้เลือกตั้ง เน้นอุดมการณ์ และนโยบาย กับการเมืองแบบบ้านใหญ่ที่เน้นการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ ระบบจัดตั้งหัวคะแนน และการซื้อเสียง ผู้เลือกตั้งชาวใต้ส่วนใหญ่จะเลือกแนวทางใดคำตอบอยู่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในภาคใต้ของประเทศไทยตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 เป็นต้นมา สะท้อนถึงการสั่นคลอนของโครงสร้างอำนาจดั้งเดิมและการกำเนิดของภูมิทัศน์การเมืองรูปแบบใหม่อย่างเด่นชัด พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยครองความนิยมในฐานะพรรคหลักของภูมิภาคมาหลายทศวรรษ เริ่มสูญเสียฐานเสียงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองที่ยึดโยงกับอุดมการณ์ ไปสู่การเมืองที่อิงทุน อิทธิพล และการต่อรองเชิงผลประโยชน์ในระดับท้องถิ่น
หากย้อนดูผลการเลือกตั้งในปี 2554 พรรคประชาธิปัตย์สามารถคว้าที่นั่ง ส.ส. ในภาคใต้ได้ถึง 50 ที่นั่ง แต่ในการเลือกตั้งปี 2562 จำนวนดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 18 ที่นั่ง และลดลงอีกครั้งเหลือเพียง 17 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2566 ในทางกลับกัน พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเริ่มลงสนามในภาคใต้ครั้งแรกในปี 2554 และได้รับเพียง 1 ที่นั่ง กลับขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง โดยได้ 8 ที่นั่งในปี 2562 และเพิ่มเป็น 12 ที่นั่งในปี 2566
จุดวิกฤติของพรรคประชาธิปัตย์คือการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งไม่เพียงแค่สูญเสียพื้นที่ให้กับพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แต่ยังถูกพรรคพลังประชารัฐเข้ามาแบ่งคะแนนเสียงได้ถึง 9 ที่นั่ง และพรรคประชาชาติเข้ามายึดพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ถึง 6 ที่นั่ง ทั้งสองพรรคสามารถรักษาที่นั่งไว้ได้ต่อเนื่องในการเลือกตั้งปี 2566 โดยพรรคพลังประชารัฐได้ 8 ที่นั่ง และพรรคประชาชาติได้ 7 ที่นั่ง
ในขณะเดียวกัน พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งนำเสนอนโยบายในแนวทางเสรีนิยมเชิงสังคม แม้จะไม่ได้ ส.ส. เขตในภาคใต้ แต่กลับได้รับคะแนนบัญชีรายชื่อในหลายจังหวัดเป็นจำนวนมาก สะท้อนถึงกระแสการเมืองแนวใหม่ที่เริ่มเกิดขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่และเขตเมือง
การเลือกตั้งปี 2566 เป็นอีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญเมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก้าวเข้าสู่สนามภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการดูดอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์เข้าสังกัด และสามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 14 ที่นั่ง ขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกล (สืบทอดจากพรรคอนาคตใหม่) ก็ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระบบบัญชีรายชื่อ และยังสามารถคว้าที่นั่ง ส.ส. เขต 3 ที่นั่งจากจังหวัดภูเก็ต ซึ่งนับเป็นการเจาะพื้นที่ภาคใต้ได้สำเร็จครั้งแรกของพรรคแนวอุดมการณ์เสรีนิยมเชิงสังคม
นอกจากนี้ ยังมีพรรคการเมืองหน้าใหม่ เช่น พรรคกล้าธรรม ซึ่งแตกตัวจากพรรคพลังประชารัฐ เข้าสู่สนามการเมืองภาคใต้ และประเดิมชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดนครศรีธรรมราช สะท้อนถึงการแข่งขันที่ซับซ้อนและกระจายตัวมากยิ่งขึ้น
กล่าวได้ว่า การเลือกตั้งในภาคใต้ปัจจุบันมีลักษณะแบ่งแยกค่อนข้างชัดเจนระหว่างระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งสะท้อน “ความนิยมเชิงอุดมการณ์และพรรค” กับระบบเขตเลือกตั้งที่สะท้อน “ความนิยมตัวบุคคลและเครือข่ายบ้านใหญ่” โดยเฉพาะในการเลือกตั้งปี 2566 การแข่งขันบัญชีรายชื่อเป็นศึกระหว่างพรรคก้าวไกล (แนวเสรีนิยมเชิงสังคม ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน) กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (แนวอนุรักษนิยมเข้มข้น) ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์แทบไม่มีบทบาทในระบบนี้อีกต่อไป
สำหรับระบบเขตเลือกตั้ง ยังคงเป็นเวทีของพรรคที่มีเครือข่ายบ้านใหญ่เข้มแข็ง ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ (ยุคใหม่ที่อิงบ้านใหญ่), พรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาชาติ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่เมืองที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่และความตื่นตัวทางการเมืองสูง พรรคก้าวไกลยังคงมีศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีเศรษฐกิจแบบเมืองและระบบอุปถัมภ์ลดบทบาทลง
กล่าวได้ว่าภายหลังการเลือกตั้งปี 2562 และยิ่งชัดเจนขึ้นในการเลือกตั้งปี 2566 ปรากฏว่าภูมิภาคนี้มิใช่ “ฐานที่มั่นผูกขาด” ของพรรคใดอีกต่อไป คะแนนเสียงของประชาธิปัตย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระบบเขตและบัญชีรายชื่อ ขณะที่พรรคอื่น ๆ เช่น พรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และประชาชาติ สามารถเข้ามาแบ่งพื้นที่ได้มากขึ้น สถานการณ์นี้สะท้อนการสิ้นสุดของยุคการเมืองแบบผูกขาด และเปิดพื้นที่ให้กับการแข่งขันอย่างแท้จริง
ในบริบทที่พรรคประชาธิปัตย์เสื่อมความนิยมลง ความเข้มแข็งของ “บ้านใหญ่” หรือเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว นักการเมืองท้องถิ่นที่มีฐานอิทธิพล ผูกพันกับประชาชน และมีทรัพยากรในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดผลการเลือกตั้งในระดับเขต
พรรคการเมืองหลายพรรคจึงเลือกใช้กลยุทธ์ “ดูดตัวบุคคล” ที่มีอิทธิพลในพื้นที่เข้าสังกัดพรรคตน มากกว่าการสร้างความนิยมผ่านนโยบายระดับชาติ ส่งผลให้การเมืองภาคใต้เข้าสู่ยุคที่ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งไม่ได้สะท้อนความนิยมในพรรคเป็นหลัก แต่สะท้อนพลังของเครือข่ายอุปถัมภ์ท้องถิ่นที่ยังคงแข็งแรง
ในอีกด้านหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้ครอบครองจำนวนที่นั่ง ส.ส. อย่างถล่มทลายในภาคใต้ แต่การที่พรรคก้าวไกล (อดีตพรรคอนาคตใหม่) สามารถคว้าที่นั่งในระบบเขตจากจังหวัดภูเก็ต และได้คะแนนบัญชีรายชื่อในระดับสูงในหลายจังหวัด แสดงให้เห็นว่า “อุดมการณ์ใหม่” กำลังมีที่ทางในพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าอนุรักษนิยม พรรคก้าวไกลไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของแนวคิดเสรีนิยมก้าวหน้า แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเมืองเชิงอุดมการณ์ที่แตกต่างจากการเมืองแบบบ้านใหญ่และอุปถัมภ์ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าประชาชนภาคใต้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ กำลังเปิดรับแนวทางการเมืองที่หลากหลายและพร้อมท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิม
ภูมิทัศน์การเมืองภาคใต้ได้เปลี่ยนจาก “ความนิ่ง” สู่ “ความไม่แน่นอน” จาก “การผูกขาดของพรรคเดียว” สู่ “การแข่งขันแบบพหุพรรค”
การเมืองภาคใต้ไม่ได้มีคำตอบเดียวอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนทั้งอิทธิพลของทุน วัฒนธรรมท้องถิ่น และอุดมการณ์ใหม่ที่กำลังเติบโต การเลือกตั้งแต่ละครั้งจึงไม่ใช่เพียงการตัดสินอนาคตของผู้แทนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของการต่อสู้เชิงโครงสร้าง ระหว่าง “อดีต” กับ “อนาคต” ที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ในภูมิภาคนี้.
ปัจจัยขับเคลื่อนและผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจทางการเมืองในภาคใต้มีสองมิติหลัก คือ มิติที่ส่งเสริมการเมืองแบบบ้านใหญ่ และมิติที่ส่งเสริมการเมืองแบบพลเมือง สำหรับปัจจัยที่เอื้อต่อมิติการเมืองแบบบ้านใหญ่มีสามประการหลัก ดังนี้
ประการแรก ความเสื่อมถอยของพรรคประชาธิปัตย์และวิกฤตการปรับตัว พรรคประชาธิปัตย์ในอดีตเคยมีสถานะเสมือน “สถาบันการเมืองประจำภาคใต้” ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคสะอาด (เมื่อเทียบกับพรรคอื่น ๆ) ผู้แทนเป็นคนในพื้นที่ และมีผู้นำที่เป็นคนใต้โดยตรง ตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 2530 พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างรากฐานความเชื่อมั่นจากประชาชนภาคใต้ด้วยการนำเสนอตัวเองในฐานะตัวแทนของประชาชนที่ต่อต้านการทุจริต และเป็นเสียงของคนใต้ในเวทีการเมืองแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2562 เป็นต้นมา พรรคประชาธิปัตย์เริ่มเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น การตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลทหาร การไม่สามารถพัฒนาแนวทางนโยบายให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม และการขาดความสามารถในการสื่อสารกับประชาชนรุ่นใหม่ ส่งผลให้พรรคสูญเสียความน่าเชื่อถือและฐานเสียงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความล้มเหลวในการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองต่อปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ การขาดโอกาสทางการศึกษาและการทำงานสำหรับคนรุ่นใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า ได้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์สูญเสียความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน จนกลายเป็นพรรคที่มีสถานะเทียบเคียงพรรคบ้านใหญ่ในบางพื้นที่ แทนที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองของภูมิภาคอย่างในอดีต
ประการที่สอง การขยายตัวของพรรคบ้านใหญ่และกลไกเครือข่ายท้องถิ่น ขณะเดียวกันกับการเสื่อมถอยของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคอย่างภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาชาติ ได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในภาคใต้อย่างมีกลยุทธ์ โดยอาศัยเครือข่ายบ้านใหญ่และการสนับสนุนทรัพยากรในระดับท้องถิ่น พรรคเหล่านี้สามารถสร้างฐานเสียงผ่านกลไกอุปถัมภ์ ทั้งในเชิงโครงการพัฒนา การสนับสนุนงบประมาณ และการเจรจาผลประโยชน์เชิงท้องถิ่น
การเติบโตของพรรคการเมืองที่มีฐานทรัพยากรขนาดใหญ่ในภาคใต้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของกลไกการเมืองที่เน้นการใช้ทุนและเครือข่ายในการสร้างอิทธิพล พรรคเหล่านี้ได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนในเครือข่ายท้องถิ่นผ่านการสนับสนุนโครงการพัฒนา การให้ทุนการศึกษา และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำชุมชนในระดับรากหญ้า
กลไกการซื้อเสียงที่ซับซ้อนขึ้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางการเมืองในภาคใต้ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะการให้เงินสดหรือของรางวัลโดยตรง แต่รวมถึงการสัญญาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างโอกาสทางการค้า และการให้การสนับสนุนทางการเมืองในระดับท้องถิ่น รูปแบบการซื้อเสียงใหม่นี้ได้สร้างความท้าทายต่อการบังคับใช้กฎหมายและการรักษาความเป็นธรรมในการเลือกตั้ง
ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงความหมายของศักดิ์ศรีทางการเมืองและการแบ่งแยกในกลุ่มอนุรักษนิยม ในอดีต ภาคใต้เคยภาคภูมิใจว่าเป็นพื้นที่ที่ “ไม่ขายเสียง” และยึดมั่นในอุดมการณ์พรรค แต่ในช่วงหลังศักดิ์ศรีทางการเมืองถูกนิยามใหม่ โดยมุ่งเน้นความสามารถในการดึงทรัพยากรและโอกาสเข้าพื้นที่ มากกว่าความซื่อสัตย์ของพรรค
ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางยังส่งเสริมให้ระบบอุปถัมภ์กลับมาเฟื่องฟูในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น การเกิดขึ้นและการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมหลายพรรคได้สร้างการแบ่งแยกฐานเสียงที่เคยเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ การเกิดขึ้นของพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และประชาชาติ ที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันได้ทำให้เกิดการกระจายตัวของเสียงสนับสนุนที่เคยรวมศูนย์อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ การแข่งขันภายในกลุ่มอนุรักษนิยมนี้ได้สร้างพลวัตทางการเมืองที่ซับซ้อนขึ้น โดยแต่ละพรรคพยายามแสดงความแตกต่างและสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การแข่งขันนี้ได้นำไปสู่การสร้างความสับสนและการแบ่งแยกในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวคิดใกล้เคียงกัน
ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยที่เกื้อหนุนต่อมิติการเมืองแบบพลเมืองก็มีสามปัจจัยหลักเช่นเดียวกัน ได้แก่
ประการแรก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและพลวัตทางสังคม การเพิ่มขึ้นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล ได้สร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน กลุ่มประชากรเหล่านี้มีการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ได้ผูกพันกับความจงรักภักดีต่อพรรคการเมืองแบบดั้งเดิม
สิ่งที่สำคัญคือ กลุ่มประชากรรุ่นใหม่มีแนวโน้มในการประเมินนักการเมืองและพรรคการเมืองจากประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และแนวคิดเชิงนโยบายมากกว่าการยึดติดกับเครือข่ายอุปถัมภ์หรือประเพณีทางการเมือง ความหลากหลายทางประชากรที่เพิ่มขึ้นในภาคใต้ โดยเฉพาะการเติบโตของชุมชนเมืองและกลุ่มประชากรที่มีการศึกษาสูงขึ้น ปัจจัยนี้ส่งผลเชิงบวกต่อพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน)
ประการที่สอง บทบาทของโซเชียลมีเดียและการเปลี่ยนแปลงของการสื่อสารทางการเมือง การแพร่หลายของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัลได้สร้างการปฏิวัติในวิธีการรับและแบ่งปันข้อมูลข่าวสารทางการเมืองในภาคใต้ โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้พรรคใหม่และแนวคิดทางการเมืองใหม่สามารถเจาะเข้าถึงประชาชนภาคใต้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการใช้ TikTok, Facebook, และ Twitter ในการอธิบายนโยบาย และชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของรัฐ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ได้พึ่งพาแหล่งข่าวสารแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายและมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับนักการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลาย
การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนโต้ตอบ สร้างความใกล้ชิดที่พรรคแบบเก่าไม่สามารถตามทัน รูปแบบการสื่อสารใหม่นี้ได้บังคับให้นักการเมืองและพรรคการเมืองต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และทักษะในการสื่อสารเพื่อให้สามารถเข้าถึงและโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สาม การเติบโตของการเมืองปฏิรูปและบทบาทของพรรคก้าวไกล ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเสื่อมถอย พรรคก้าวไกล ได้เติบโตขึ้นมาเป็นพรรคที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชากรรุ่นใหม่ในภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองและจังหวัดที่มีคนรุ่นใหม่อยู่หนาแน่น ด้วยนโยบายปฏิรูปสถาบันทางการเมือง เน้นสิทธิเสรีภาพ การต่อต้านคอร์รัปชัน และการกระจายอำนาจ
พรรคก้าวไกลได้นำเสนออุดมการณ์ปฏิรูปที่เน้นความโปร่งใส การกระจายอำนาจ และการแก้ไขปัญหาโครงสร้างของสังคมไทย ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม การเน้นประเด็นปฏิรูปกองทัพ การต่อต้านการทุจริต และการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพได้ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มประชากรที่เคยไม่ให้ความสำคัญกับการเมือง
สิ่งที่สำคัญคือ พรรคก้าวไกลสามารถเปลี่ยนสนามเลือกตั้งจากระบบอุปถัมภ์เป็นการแข่งขันเชิงแนวคิด การใช้โซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีดิจิทัลในการสื่อสารกับประชาชนได้สร้างรูปแบบการเมืองใหม่ที่แตกต่างจากแนวทางดั้งเดิม การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการนำเสนอนโยบาย การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และการตอบสนองต่อความคิดเห็นสาธารณะอย่างที่พรรคการเมืองแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ภาคใต้ไม่มีพรรคใดสามารถผูกขาดอำนาจทางการเมืองได้อีกต่อไป นี่คือการสิ้นสุดของยุคประชาธิปัตย์ผูกขาด และการก้าวเข้าสู่ยุคพหุพรรคที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของภาคใต้ การเลือกตั้งในภาคใต้ไม่ใช่การแข่งขันที่รู้ผลล่วงหน้าอีกต่อไป แต่กลายเป็น “สมรภูมิที่ไม่มีพรรคใดถือไพ่เหนือกว่าอย่างถาวร” พรรคการเมืองต้องเผชิญกับการแข่งขันหลายชั้น ทั้งในเชิงอุดมการณ์ เชิงเครือข่ายท้องถิ่น และเชิงยุทธศาสตร์นโยบาย
การหาเสียงในภาคใต้จึงต้องปรับตัวมากขึ้น ทั้งในด้านการนำเสนอนโยบาย การสื่อสารกับประชาชน และการสร้างพันธมิตรในพื้นที่ พรรคที่เคยพึ่งพาความนิยมเชิงประวัติศาสตร์อย่างประชาธิปัตย์ไม่สามารถคงความได้เปรียบโดยไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่พรรคใหม่ต้องแข่งขันทั้งกับระบบทุนและวัฒนธรรมการเมืองดั้งเดิมที่ฝังรากลึก
ทิศทางในอนาคตของการเมืองภาคใต้เป็นพลวัตของการต่อสู้ของการเมืองสองแนวอย่างชัดเจน คือ การเมืองแบบพลเมือง ที่เน้นเจตจำนงเสรีของผู้เลือกตั้ง เน้นอุดมการณ์ และนโยบาย กับการเมืองแบบบ้านใหญ่ที่เน้นการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ ระบบจัดตั้งหัวคะแนน และการซื้อเสียง ผู้เลือกตั้งชาวใต้ส่วนใหญ่จะเลือกแนวทางใดคำตอบอยู่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า