xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เสียงปืนแตกที่ “ช่องบก” แผนร้าย “พระยาละแวก”!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมาย สำหรับการปะทะกันระหว่าง “ไทยและทหารกัมพูชา” ที่บริเวณ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานี เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดความสุ่มเสี่ยงอันเกิดจากการยั่วยุด้วย “ความตั้งใจ” ของทหารกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมกัมพูชาถึงตั้งใจทำเยี่ยงนั้น

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดที่ช่องบกนั้น แม้ “สหายอ้วน-นายภูมิธรรม เวชชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะบอกว่า “ไม่มีอะไร” แต่ความจริงก็คือ “มีอะไร” และ “มีมาก” เสียด้วย หากดูพฤติกรรมของทหารกัมพูชาที่เข้ามาขุด “คูเลต” หรือ “สนามเพลาะ” ก่อนที่จะเปิดฉากยิงเข้าใส่ทหารไทย

กล่าวคือ หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ตรวจพบการขุดสนามเพลาะเป็นระยะทาง 650 เมตรและมีการเคลื่อนกำลังพลของฝ่ายกัมพูชา โดยได้เข้าไปเจรจาให้ถอนกำลัง แต่ทางทหารกัมพูชายิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน ก่อนที่ผู้นำทางทหารในพื้นที่และระดับนโยบายจะต่อสายเพื่อยุติศึกระหว่างกันได้เป็นการ “ชั่วคราว”

ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา โดย  “พล.ต.เหมา พัลลา (Mao Phalla)” โฆษกกองทัพกัมพูชา ให้ข้อมูลไปในทิศทางตรงกันข้ามกับฝ่ายไทย อ้างว่า กองทัพกัมพูชาอยู่ระหว่างการลาดตระเวนตามปกติตามแนวชายแดน แต่ฝ่ายไทยได้เปิดฉากยิงใส่ก่อน พร้อมระบุในแถลงการณ์ว่า “หนึ่งในทหารของพวกเราเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง”

ส่วนปฏิกิริยาจาก “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเสียใจกับครอบครัวทหารที่เสียชีวิต พร้อมระบุด้วยว่า “ผมขอประณามบุคคลหรือชนชั้นใดที่ตัดสินใจจะทำการรุกรานดังกล่าว ซึ่งคล้ายกับการบุกรุกเมื่อปี 2018-2011ที่ปราสาทเขาพระวิหาร

สมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุว่า ไม่ต้องการเห็นการต่อสู้เกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลตัดสินใจส่งทหารและอาวุธหนักไปยังชายแดนเพื่อเตรียมความพร้อมหากมีกรณีบุกรุกเพิ่มเติม ก่อนที่โพสต์ดุเดือดเลือดพล่านในวันถัดมา โดยนำสารพิเศษที่ตนเองกล่าวในการประชุมวุฒิสภากัมพูชามาเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 สรุปใจความได้ว่า จุดปะทะเป็นของกัมพูชา ตนเองเคยไปเยือนในปี 2552 พร้อมท้ากองทัพไทยบุกนครวัต จะได้ร้องยูเอ็นว่าไทยรุกราน และทำลายกองทัพไทยให้ย่อยยับ

เช่นเดียวกับ “สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นลูกชายที่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นายคือ “สิบเอกซวน รูน (Suan Roan)” อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นทหารท้องถิ่นในพื้นที่มอมเตย อำเภอจอมกราน จังหวัดพระวิหาร และถูกส่งมาประจำการชายแดนไทย-กัมพูชา โดยร่างของเขาถูกนำออกจากพื้นที่ชายแดนไปประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหารได้นำเงินมามอบให้กับภรรยาของสิบเอกซวน รูน พร้อมยกย่องให้เป็น “นักรบวีรชน”

ส่วนทหารกัมพูชาได้รับบาดเจ็บนั้น มีข้อมูลยืนยันตรงกันว่ามีจำนวน 4 นาย ขณะที่ฝ่ายไทยไม่มีรายงานการสูญเสียแต่อย่างใด

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ก่อนหน้านี้ มีการรายงานว่า บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อน เป็นที่ที่ทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ ที่ทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดพบว่า เป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมคูเลตที่ขุดก็รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยเกือบ 100 เมตรเลยทีเดียว

ฮุน เซน

 ฮุน มาเนต

 ทักษิณ ชินวัตร

 แพทองธาร ชินวัตร
ด้านนายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ปมประเด็นดังกล่าวว่า ต้องหาข้อสรุปให้ได้ ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของใคร หรือเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ ก็ต้องเคลียร์ว่า MOU 2543 ปฏิบัติกันอย่างไร

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทหารกัมพูชาเคลื่อนกำลังรุกเข้ามาในบริเวณช่องบก โดยก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ทหารกัมพูชาก็มีการเคลื่อนพลในลักษณะเดียวกันที่ช่องบกเช่นกัน โดยเกิดเหตุที่บริเวณ  “เนิน 745” ซึ่งต้องบอกว่า ไม่ใช่ความเข้าใจคลาดเคลื่อนในพื้นที่ทับซ้อนอย่างที่ฝ่ายการเมืองอ้าง

เพราะมีการละเมิดMOU 2543 ถึง 2 ครั้งอย่างต่อเนื่อง และดำเนินการในลักษณะเดียวกันคือมีการเคลื่อนกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือเกือบร้อยนายเข้ามา “ขุดคูเลต” ซึ่งแปลว่า จะต้องมีการวางแผนและเตรียมการล่วงหน้า

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีที่ทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตว่า จากการพูดคุย รมว.กลาโหมกัมพูชาให้เหตุผลอย่างไร นายภูมิธรรมไม่ตอบคำถามตรงๆ โดยบอกแต่เพียงว่า “ระดับนโยบายเข้าใจกันดี ต่างฝ่ายต่างอยู่ระดับบน ดังนั้นสิ่งที่ไม่เข้าใจในพื้นที่ต้องให้เขาคุยกันจะดีกว่า แต่เรายืนยันในหลักการว่าจะรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดความรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต้องแยกจากกัน ไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า เพื่อการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการเข้าไปคุยในพื้นที่ ซึ่งจะง่ายกว่า ตอนนี้ทหารทั้งสองฝ่าย ยังนั่งอยู่ตามแนวพื้นที่และคุยกันไป การใช้คำว่าเผชิญหน้าอาจเกินเลยเกินไป เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากเกิดไป ตราบใดที่ทหารยังคุยกันได้”

พร้อมบอกด้วยว่า “ปะทะกันก็คงมีบ้าง เป็นธรรมดา อย่าไปขยายความเลย เพราะจะไปเกิดอารมณ์กับผู้คน และเหตุที่เกิดเล็กมาก เมื่อเกิดเหตุก็ระงับและพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า”

อย่างไรก็ดี หากยังจำกันได้ทหารกัมพูชาก็มีพฤติกรรมในทำนองนี้อย่างต่อเนื่อง โดยย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญ เมื่อ “พล.ต.เนี๊ยะ วงศ์” ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ภาคทหาร 4 ประเทศกัมพูชา และคณะของภรรยา พากันมาทำกิจกรรมที่ปราสาทตาเมือนธม ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์

กิจกรรมอื่นใดไม่สำคัญเท่ากับการที่ “คณะทหารกลุ่มนี้พากันร้องเพลงชาติเขมรในดินแดนอธิปไตยของประเทศไทย” ซึ่งทหารไทยที่ประจำการอยู่ที่นั่นไม่ยอม ทำให้ “พล.ต.เนี๊ยะ วงศ์” บันดาลโทสะต่อหน้าทหารไทยว่า “ห้ามไม่ให้ทหารฝั่งไทยเข้ามาเหยียบพื้นที่บริเวณนี้ซักขาเดียว ถ้าจะยิงก็ยิง” ก่อนที่จะเดินทางกลับไป

หลังเกิดเหตุกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้ทำหนังสือประท้วงการกระทำดังกล่าวของคณะนายทหารกัมพูชาไปแล้วว่าอย่าให้เกิดขึ้นอีก เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและผิดตามข้อตกลง พร้อมยืนยันว่า ปราสาทตาเมือนธมเป็นดินแดนอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย

ขณะที่ทาง “ฝั่งรัฐบาลไทย” ดูเหมือนว่า จะไม่ได้อนาทรร้อนใจเท่าในนัก ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ยิ่งตัว “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรียิ่งแล้วใหญ่

คูเลตความยาว 650 เมตรบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี จุดที่เกิดการปะทะกับทหารไทย


นายกฯ แพทองธารให้สัมภาษณ์เสียงดังฟังเอาไว้ว่า “ไม่มีปัญหาอะไร” ซึ่งก็ไม่ต่างจากความเห็นต่อกรณีช่องบกที่บอกว่า “ระดับผู้นำพูดคุยกันเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร”

ตรงกันข้ามกับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและ “ฮุน เซน” ผู้พ่อที่เป็นไปอย่างแข็งกร้าว

และทุกวันนี้ ก็ต้องยอมรับว่า พื้นที่รอบๆ ปราสาทตาเมือนธมก็ยังคงไม่สามารถไว้วางใจได้ แต่น่าเป็นห่วงเสียยิ่งกว่าก็คือที่ “ปราสาทโดนตวน” จังหวัดศรีสะเกษ เพราะมีการเสริมทหารเข้ามาจำนวนมากเช่นกัน

ที่ร้อนไม่แพ้กันก็คือ เหตุการณ์ “เผาศาลาตรีมุข” ที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี รอยต่อไทย-ลาว-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเกิดขึ้นหลังเกิดเรื่องร้อนที่ปราสาทตาเมือนธมไม่นานนัก ทำให้มีการวิเคราะห์กันว่า อาจมีการสร้างสถานการณ์ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี จากการเจรจาของผู้นำทหารทั้งสองฝ่ายเพื่อสอบสวนทวนความต้นสายปลายเหตุ ก็มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการว่า เป็นอุบัติเหตุ และทางกัมพูชาได้ยินยอมขอโทษประเทศไทย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความกินแหนงแคลงใจระหว่างทหารฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่อยู่ไม่น้อย

นอกจากนั้น ยังมีเหตุการณ์ที่ทหารกัมพูชาสร้างเพิงพักในพื้นที่ห้ามใช้ประโยชน์ ตาม MOU 2543 ที่บ้านคลองแผง ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ตรงข้ามกับบ้านบันเตียเมียนริด ตำบลโคกละเมียด อำเภอทมอพวก จังหวัดบันเตียเมียนเจย โดยปรากฏเป็นคลิปการโต้เถียงระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา หลังทหารไทยแจ้งให้ทหารกัมพูชารื้อเพิงพัก แต่ทหารกัมพูชาไม่ยอม

เรียกว่า สถานการณ์ทางทหารบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาไม่อยู่ในจุดที่ไว้วางใจอะไรได้ ด้วยสามารถเกิด “อะไรๆ” ขึ้นได้เสมอ

อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาทำท่าจะคลี่คลาย เมื่อ “พลเอกเตีย เซร็ยฮา” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยทั้งสองประเทศตกลงให้แต่ละฝ่ายถอยกำลังออกจากกัน ให้กลับไปสู่จุดเดิม ที่เคยอยู่ก่อนเดือนมีนาคม 2558 และยึดแนวปฏิบัติตาม MOU 2543

ทว่า การพบปะพูดคุยดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นสักเท่าไหร่ ด้วยหลังจากนั้น ไม่นานนักก็มีการเคลื่อนกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันหนักถึงท่าทีของ “นายภูมิธรรม” ไปในทำนองมีความขัดแย้งกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะ “กองทัพภาคที่ 2” ในฐานะหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ที่มีแนวทางไม่ตรงกัน แม้ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องออกมายืนยันด้วยตัวเองว่า ฝ่ายทหารมิได้มีปญหาอะไรกับฝ่ายการเมือง

เช่นเดียวกับ “กองทัพบก” ที่ “พลตรี วินธัย สุวารี” โฆษกกองทัพบก ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันเช่นกันว่า สถานการณ์โดยรวม ยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใด ที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด แต่ก็มิอาจลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย

กองทัพกัมพูชาแถลงการณ์ระบุว่า มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 รายจากเหตุปะทะดังกล่าว

  กองทัพกัมพูชาก็ส่งทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่เช่นกัน


กระทั่งล่าสุดเกิดเหตุปะทะกันที่ “ช่องบก” อีกครั้ง แถมฝ่ายทหารกัมพูชายังเปิดฉากยิงเข้าใส่ทหารไทยเป็น “ครั้งแรก” อีกต่างหาก

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ “ช่องบก” มิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า เป็นความตั้งใจของ “ทหารฮุน มาเนต” ที่จะเข้ามาครอบครองพื้นที่อ้างสิทธิ์ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ด้วยการสร้าง “สัญลักษณ์” ที่แสดงความเป็นเจ้าของ รวมถึงเคลื่อนกำลังทหารเข้ามาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ อันเป็นยุทธวิธีที่ประเทศกัมพูชาใช้มาอย่างต่อเนื่อง

และเชื่อขนมกินได้ว่า การปะทะกันที่ช่องบกน่าจะไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ส่วนการเจรจาปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นบริเวณช่องบกนั้น หลังจาก “พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผู้บัญชาการทหารบกไทย และ “พลเอกเมา โซะ พัน” รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ได้เปิดฉากเจรจากันที่ “ช่องจอม” เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ก็บรรลุ ข้อตกลงเบื้องต้น 3 ข้อ ประกอบด้วย

หนึ่ง – ทั้งสองฝ่ายถอยกำลังทหารออกจากจุดที่ขัดแย้งกันไปยังพื้นที่เดิม

สอง - ส่วนแนวเส้นเขตแดน ให้คณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค(Regional Border Committee) หรือ RBC และคณะกรรมการปักปันเขตแดน( Joint Boundary Commission JBC ) ของทั้งสองฝ่าย เร่งหารือร่วมกันในอีกประมาณ2 สัปดาห์ข้างหน้า

สาม- ทั้งสองฝ่ายจะใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ ให้มากยิ่งขึ้น โดยให้รักษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน

ก็เป็นอันว่า สถานการณ์ที่ช่องบกก็คลี่คลายลงไปได้ในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นก็ดีคำถามที่จะต้องแสวงหาคำตอบก็คือ ทำไมกัมพูชาถึงตั้งใจสร้างปัญหาบริเวณชายแดนโดยไม่ลดละดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ?

ทั้งนี้ ถ้าหากติดตามยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่กัมพูชาดำเนินต่อไทย ไม่ว่าจะเป็นการส่งทหารเข้ามากระทำการบริเวณแนวชายแดนหลายครั้งหลายครา รวมถึงปฏิบัติการที่รู้จักกันในชื่อ “เคลมโบเดีย” ด้วยการเคลมสารพัดศิลปวัฒนธรรมไทยว่าเป็นของตนเอง เช่น มวยไทย ชุดไทย ผัดไทย เรือสุพรรณหงส์ ฯลฯ ก็จะพบว่า มีความเกี่ยวโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไมกัมพูชาเดินในแนวนี้นอกเสียจากต้องการสร้าง “ความเกลียดชังร่วมของคนแขมร์ที่มีต่อคนไทย” ให้โหมกระพือออกไปเพื่อเสริมพลังทางการเมือง

ภาพเหตุการณ์ที่พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผู้บัญชาการทหารบกไทย และ “พลเอกเมา โซะ พัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา เจรจากันที่ “ช่องจอม” เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
เป็นไปได้หรือไม่ที่เป้าหมายสำคัญของปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชาก็คือ ความปรารถนาที่จะครอบครองดินแดนทั้งที่เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์และดินแดนของราชอาณาจักรไทยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังผลและช่วงชิงความได้เปรียบในการเจรจาผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเลใน “อ่าวไทย”

ขณะเดียวกันก็เกี่ยวโยงไปถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง “ตระกูลฮุน” กับ “ตระกูลชิน” ที่มีอำนาจปกครองแต่ละประเทศ โดยเฉพาะผู้นำฝ่ายไทยซึ่งท่องคาถา “ไม่มีอะไร ระดับนำของทั้งสองประเทศ สามารถเคลียร์กันได้” จนได้ยินได้ฟังกันจนคุ้นหู

เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายไทย “นิ่ง” เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชา “เปิดเกม”

เป็นไปได้หรือไม่ที่กองทัพซึ่งอดรนทนไม่ไหวกับสภาพการกดทับดังกล่าว จนนำไปสู่การตอบโต้เหมือนดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณ “ช่องบก

เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ไม่อาจมองข้ามสิ่งที่เรียกว่า “แผนร้ายพระยาละแวก” ที่ดำเนินไปภายใต้แนวทาง CAMBODIA CONSPIRACYได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่งผลทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาตั้งอยู่บน “ความไม่ไว้วางใจ” ของชาวไทย เนื่องจากกริ่งเกรงว่าจะมี “ดีล” ระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศหรือไม่ อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างกันมาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น

 ฝูงบิน 211 กองบิน 21 (อุบลราชธานี) เตรียมพร้อมรับมือหากมีสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จำเป็นต้องใช้กำลังทางอากาศ


ขณะที่ตัวนายภูมิธรรมซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็มีอากัปกิริยาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน เสมือนว่า สามารถเคลียร์ปัญหากับฝ่ายบนหรือฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาได้ เพียงแต่เกิดความไม่เข้าใจในระดับปฏิบัติการ

“จากที่คุยกับฝ่ายกัมพูชา ก็ยืนยันว่าในระดับพื้นที่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา พร้อมยังพูดถึงสมเด็จฮุน เซ็น ที่มีการพูดคุยในหลายๆส่วน เป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกันของระดับปฏิบัติ ก็ต้องเคลียร์ แต่ระดับนโยบายก็เข้าใจกันดี ซึ่งในพื้นที่อาจทำความเข้าใจกันไม่ดี ก็ต้องให้เวลา”นายภูมิธรรมกล่าว ซึ่งก็เป็นแนวทางเดียวกับนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีรายงานของหน่วยข่าวด้านความมั่นคงซึ่งมีเป็นสิบๆ หน่วยส่งตรงขึ้นไปถึง “หน่วยเหนือ” เกี่ยวกับการที่ทหารกัมพูชารุกล้ำดินแดนพร้อมกับขุดคูเลตในพื้นที่พิพาทที่ไทยอ้างสิทธิ์ และกระทำการในลักษณะดังกล่าวชนิดที่ต้องใช้คำว่า “นานมาก”

ทว่า เมื่อรายงานขึ้นไปแล้ว ไม่มีการตอบรับใดๆ จาก “เบื้องบน” แถมยังมีทีท่าว่าจะหายไปกับสายลมอีกต่างหาก

ดังนั้น จึงต้องตั้งความหวังกับ “ฝ่ายทหารไทย” ว่า จะปฏิบัติหน้าที่ปกป้องดินแดนของราชอาณาจักรไทยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และหยุด “แผนร้ายของพระยาละแวก” โดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลของฝ่ายการเมือง


กำลังโหลดความคิดเห็น