ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ฉากทัศน์การเมืองไทยที่มีนัยสำคัญยิ่งในห้วงเวลานี้มีอยู่ 2 เหตุการณ์ด้วยกัน
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นหลังการปรากฏตัวครั้งแรกของอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตนักโทษเด็ดขาดชายที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” นับตั้งแต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งนัดไต่สวนพร้อมในคดี “ป่วยทิพย์” จนมีเสียงร่ำลือไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่า “หนีออกนอกประเทศ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สังคมไทยได้เห็นว่า “ทักษิณ” นั้นยังคงเป็น “ทักษิณคนเดิม” ที่พร้อมจะชนและเปิดศึกกับทุกปัญหา
ทั้งนี้ ในเวทีสัมมนาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ที่เชิญ “ทักษิณ” มาเป็นองค์ปาฐก นอกจาก “ทักษิณ” จะแสดงถึงความมั่นอกมั่นใจใน “คดีป่วยทิพย์” ด้วยการเปิดฉากโจมตี “แพทยสภา” ที่มีมติลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องอย่างหนักหน่วงรุนแรงแล้ว เขายังได้แสดงวิสัยทัศน์ประหนึ่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด กระท่อม กัญชา การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ ไปจนถึงเรื่องการยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)ลฯ
แต่ที่ถือเป็นไฮไลท์ก็คือ ประเด็นเรื่อง “คดีฮั้วเลือกตั้ง สว.” ที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่มีกับ “ค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย”
“ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ในตอนนี้ยังกอดได้อยู่” พร้อมกับยกแขนไปกอดบริเวณไหล่ของ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
เป็น “กอด” ที่ต้องถือว่า มีนัยทางการเมืองที่สำคัญไม่น้อย เพราะตามมาด้วยการสำทับอย่างหนักแน่นจาก “ทักษิณ” ว่า รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ต่อไปจนครบวาระของการดำรงตำแหน่ง
ส่วนเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์แรกไม่นานนัก นั่นคือ การที่ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรืออดีตประธานคนเสื้อแดง ไปปรากฏกายบนเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 2/2568” ของ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เป็นการพบปะกันที่สร้างความฮือฮาทางการเมืองเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนซึ่งเคยยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามกันจะมาผนึกกำลังกันต่อสู้ พร้อมๆ กับการ “กอด” ที่กลายเป็น “ภาพประวัติศาสตร์ทางการเมือง” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายจตุพรอธิบายถึงที่มาที่ไปของการมาปรากฏตัวบนเวทีของนายสนธิเอาไว้ว่า เกิดขึ้นตอนที่ตนเองและนายสนธิถูกคุมขังในเรือนจำ และได้เจอกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งขณะนั้นนายสนธิได้ชวนกินข้าว แล้วก็ชักชวนว่าในวันข้างหน้าหากมีโอกาสควรจะแถลงร่วมกันสักครั้งหนึ่ง เรื่องของชาติบ้านเมือง ตนจึงตอบรับว่ายินดี ซึ่งตอนนั้นก็พูดอยู่ในจุดที่ต่ำสุดของชีวิต เป็นนักโทษอยู่ในสุสานคนเป็น และก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะได้ออกกันไปเมื่อไหร่ จนกระทั่งต่างคนต่างได้ออกมา แล้วนายทักษิณก็เดินทางกลับมาพอดี พร้อมกับเผยให้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณพอดี
อย่างไรก็ดี นายจตุพรยืนยันว่า การเดินหน้าจับมือกันครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขจัดระบอบทักษิณ เพราะไม่ต้องจับมือกับนายสนธิ นายทักษิณก็จะมีอันเป็นไป ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้อยู่แล้ว พร้อมๆ กับการที่รัฐบาลจะปรับคณะรัฐมนตรีโดยเขี่ยพรรคร่วมรัฐบาลออกที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว หรือหากจะเจอสึนามิทางการเมือง รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณการใช้หนี้ ก็จะเกิดโทษที่ต้องให้พ้นจากตำแหน่ง ทั้ง ครม. , สส. และ สว. เกลี้ยงกระดานก็รออยู่แล้ว ยังไม่นับรวมเรื่องคุณสมบัติส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี
“ไม่จำเป็นต้องจับมือโค่นล้ม เพราะอย่างไรก็ไปตามเวลาอยู่แล้ว ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ว่าหลังจากนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ ปัญหาของชาติที่มันตกต่ำทุกอย่าง จะพลิกฟื้นกันอย่างไร ดังนั้น หลังจากนี้คงจะได้หารือ กันอย่างเป็นรูปธรรมกับนายสนธิ”
ขณะที่นายสนธิบอกว่า รู้จักกับนายจตุพรมาตั้งแต่สมัยเป็นศัตรูกัน ในขณะที่ลุกขึ้นต่อสู้กับนายทักษิณ ชินวัตร โดยขณะนั้นมีการปะทะกันมากมายหลายยก หลังจากนั้นวิถีชีวิตของแต่ละคนก็ต้องจากกันไป จนมาพบกันอีกครั้งที่ศาลอาญา และในเรือนจำ ขณะที่ตัวเองอยู่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนนายจตุพรอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เราพูดคุยกันปกติธรรมดาในฐานะคนที่รักชาติรักบ้านเมืองเหมือนกัน วันนั้นสัมผัสได้พอสมควรว่า นายจตุพรไม่ใช่คนเก่า กลายเป็นคนที่มีความขมขื่น เจ็บปวด กับชีวิตของตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองเคยเชื่อมาก่อน
นายจตุพรไม่ใช่คนเดิม ความสัมพันธ์ครั้งนี้เพื่อทวงคืนความถูกต้องให้พี่น้องประชาชน อยากให้ทุกคนให้โอกาสนายจตุพรในการทำคุณงามความดีให้ชาติบ้านเมือง เขามีความกล้าหาญมากพอ เขาคืออีกคนที่ร่วมต่อสู้กับหลายเหตุการณ์ของปัญหาบ้านเมือง และตอนนี้รับนายจตุพรมาเป็นน้องแล้ว
การปรากฏกายของนายจตุพรบนเวทีพร้อมกับนายสนธิมีนัยทางการเมือง และสร้างความปริวิตกกับรัฐบาล ตลอดรวมถึงตัว “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะหัวหน้าป้อมค่ายเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงนำไปสู่การเห็นภาพ “ทักษิณ” โอบไหล่กอดคอ “เสี่ยหนู-นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในงานสัมมนาของ ป.ป.ส. ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายกำลังรบราฆ่าฟันกันอย่างหนักในคดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.) พร้อมๆ กับคำประกาศที่จะเดินหน้าเป็นพันธมิตรทางการเมืองของ “ค่ายสีน้ำเงินกับค่ายสีแดง” ต่อไป
กล่าวคือเมื่อถูกถามว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยจะกอดคอไปด้วยกันจนจบใช่หรือไม่ นายทักษิณตอบทันทีว่า “ก็ตอนนี้ยังกอดได้อยู่” พร้อมยกมือขึ้นโอบไหล่นายอนุทิน ซึ่งนายอนุทินยิ้มแล้วยกมือไหว้
และเมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่จะเห็นภาพการกอดคอระหว่างตนกับ “นายเนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย นายทักษิณระบุว่าพบเจอกันเป็นประจำ ล่าสุดเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนทักษิณว่าไว้อย่างนั้น
ส่วนความเป็นไปของคดีฮั้ว สว.นั้น ทักษิณร่ายยาวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งคณะกรรมการสืบสวนฯ ขึ้นมา เพราะมีการร้องเรียนไปที่ กกต. โดยมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าร่วมด้วย มีพยานหลักฐานต่างๆ ไหลไปที่ DSI เขาจึงทำตามหน้าที่ ไม่ต้องมีใครไปสั่ง ถ้าไม่ทำเขาอาจจะโดนมาตรา 157 เมื่อ DSI มีพยานหลักฐาน ส่วน สว. หรือผู้ถูกกล่าวหาก็แก้ไปตามประมวลกฎหมาย ทุกอย่างเมื่อมีกระบวนการเข้าไปแล้ว ก็ต้องจบที่กระบวนการ
“เหมือนผมที่ถูกทหารเกี่ยวเบ็ดไว้ 112 ตอนสมัยปฏิวัติ เมื่อผมกลับมาก็ต้องเข้าสู่กระบวนการให้จบ เราบริสุทธิ์ก็อธิบายให้บริสุทธิ์ ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องนี้เมื่อมีกระบวนการแล้ว การจะหยุดกลางกระบวนการไม่ได้ ไม่งั้นทุกคนก็ยังมีปัญหาหรือคดีค้างอยู่”
ขณะที่นายอนุทินกล่าวถึงการที่นายทักษิณกอดคอตนเองเอาไว้ว่า “ผมเคยบอกแล้วว่า ไม่มีใครรู้ดีกว่าผู้เล่น นักวิเคราะห์นักวิจารณ์นักคาดคะเนอะไรต่างๆ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ข้อเท็จจริงคือมันไม่ใช่การแสดง ความสัมพันธ์จริงๆ เป็นแบบที่เห็นในภาพ”
แต่จะว่าไปคงเป็นความกล้ำกลืนฝืนทนของทั้งสองฝ่ายที่ต้องแสดงสัญลักษณ์ในทางการเมืองลักษณะนั้น ด้วยต้องไม่ลืมว่า “ทักษิณ” นั้นมีปัญหากับค่ายสีน้ำเงินมาตลอด โดยเฉพาะตัว “ครูใหญ่เน-นายเนวิน ชิดชอบ” อดีตตะพุ่นหญ้าช้างที่เคยถวายตัวรับใช้ในทุกรูปแบบ ก่อนที่จะสะบั้นความสัมพันธ์จากประโยคเด็ดที่ยังคงกึกก้องจนถึงทุกวันนี้ว่า “มันจบแล้วครับนาย”
“ทักษิณกับเนวิน” โคจรกลับมาบรรจบกันได้ด้วยไฟท์บังคับทางการเมืองหลังมี “ดีลพิเศษ” เพื่อสกัดกั้น “พรรคส้ม” เพื่อแลกกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยและการเดินทางกลับประเทศไทยของเขา ทว่า ในระหว่างทางของการร่วมงานกันก็เต็มไปด้วยความขัดแย้งหนัก
ยิ่งหลังจาก “ทักษิณ” พบว่า ค่ายสีแดงเสี่ยเหลี่ยมทางการเมืองในการเลือกตั้ง สว.ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดการปะทะกันในแทบจะทุกแนวรบ
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีการตีความภาพที่ทักษิณกอดนายอนุทินว่า เป็นการส่งสัญญาณ “พักรบ” ชั่วคราว” และหันกลับมาจับมือกันเพื่อให้รัฐนาวาแพทองธาร ชินวัตร สามารถยืนอยู่ในอำนาจจนกว่าจะหมดวาระการดำรงตำแหน่ง รวมกระทั่งถือวางยุทธศาสตร์ทางการเมืองใหม่เพื่อรับมือกับ “ฝ่ายตรงข้าม” ที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ดังที่ “ทักษิณ” กล่าวเอาไว้ว่า “การปั่นกระแสจากทั้งซ้ายและขวาไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และยืนยันจะอยู่ครบวาระ ไม่มีการยุบสภา”
อย่างไรก็ดี “ทักษิณ” เองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า มิอาจไว้วางใจ “ค่ายสีน้ำเงิน” ได้สนิทใจ ด้วยพวกเขามีแผนการใหญ่ในการปักธงเป็นแกนนำของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” พร้อมกับส่ง “เสี่ยหนู-อนุทิน” ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” ตามที่นายเนวินประกาศเอาไว้ต่อหน้าสาธารณชน
ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวถูกปล่อยออกมาอย่างหนาหูในทุกทิศทุกทางว่า เป้าหมายแรกของ “นายใหญ่บ้านจันทร์ฯ” ก็คือการจัดการกับ “ครูใหญ่เน” ส่วน “เสี่ยหนู” วางแผนว่าจะให้ทำให้ตัดสินใจย้ายมาร่วมชายคา ซึ่งในทางทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์ในทางการเมืองใดๆ ด้วยจะว่าไป “เสี่ยหนู” นั้นก็ตัวเปล่าเล่าเปลือย มิได้มี สส.ในสังกัดของตัวแต่อย่างใด
ส่วนจะเป็นการปล่อยข่าวออกมาเพียงเพื่อให้เกิดความขัดแย้งกันเองหรือไม่ ก็ไม่อาจทราบได้
ส่วนแผนที่จะใช้ “พรรคผู้กอง” ไปสู้รบปรบมือกับ “พรรคส้ม” นั้น ในทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติบอกว่า ยังเทียบไม่ได้กับ “ค่ายสีน้ำเงิน” ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
แต่ที่แน่ๆ คือ เป้าหมายสำคัญของ “ทักษิณ” มีเพียงหนึ่งเดียวคือทำให้รัฐบาลลูกสาวอยู่ต่อจนครบวาระ เว้นเสียแต่ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงอย่างปัจจุบันทันด่วน
เมื่อประมวลภาพ “กอด” ทั้ง 2 ครั้ง จึงไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า ฉากทัศน์การเมืองไทยได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ส่วนสถานการณ์จะพลิกผันไปในลักษณะไหน...โปรดติดตามอย่างไม่กระพริบตา