xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เบื้องลึกฟ้าผ่า “กยศ.” คลังสั่งชะลอรีด “หนี้” มั่วซั่ว งามไส้ไล่คืนเงินเก็บมาเกิน “3 แสนบัญชี”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 บรรดาผู้เป็นหนี้ กยศ.ซึ่งเดินทางมาให้ข้อมูลกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่บ้านพระอาทิตย์
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  อาจกล่าวได้ว่าหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ “สุดมั่ว” และการบริหารที่ “สุดเละเทะ” ตัวเลข “หนี้เสีย” ก็สูงที่สุดกว่า 60-70% ส่วนลูกหนี้ที่พอมีแรงผ่อนชำระ กลับเจอบีบทุกทาง ซ้ำยังมีเรื่องสุดเหลือเชื่อคือยอดหนี้ ยิ่งผ่อน ยิ่งเพิ่ม 

ความ  “มั่วบรม”  ของ กยศ. ที่สั่งสมปัญหามานาน ยังคงรักษาความมั่วเอาไว้อย่างคงเส้นคงวา ล่าสุด  นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องออกโรงสั่งการให้ กยศ. ชะลอการหักเงินเดือนเพิ่มสำหรับผู้กู้ยืมจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน ออกไปก่อน จนกว่าการคำนวณการปรับปรุงยอดหนี้ใหม่จะแล้วเสร็จ

“ช่วงคำนวณหนี้ใหม่ ผู้กู้ยืมบางคนยังไม่รู้ยอด ก่อนหน้านี้ กยศ. ก็ได้ขอเก็บ 3,000 บาทต่อเดือนไปก่อน ผมให้สั่งการไปว่าไหน ๆ ก็จะรู้ยอดหนี้ใหม่หลังการคำนวณอยู่แล้ว ก็ควรจะรอให้นิ่งก่อน ดังนั้นถ้าตรงนี้ยังไม่เสร็จก็ให้ชะลอการเก็บ หยุดการเก็บ 3,000 บาทตรงนี้ไปก่อน หลังจากนั้นอีก 1-2 เดือนเมื่อคำนวณแล้วเสร็จค่อยมาว่ากันใหม่ เมื่อทุกคนรู้ยอดหนี้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว” นายพิชัยกล่าว

 ข้อสั่งการของขุนคลังครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นปัญหาการบริหารจัดการหนี้ กยศ. ซึ่งเอาแต่ตั้งตาตั้งตารีดหนี้ ทั้งที่ไม่ชัดเจนว่ายอดหนี้ของผู้กู้ยืมมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ และต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ เงินจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน เป็นการ “รีดหนี้เพิ่ม” จากตัวเลขหนี้ที่เก็บปกติ โดยเริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2568  

ยกตัวอย่างเช่น เดิม กยศ. แจ้งนายจ้างหักเงินเดือนลูกหนี้ กยศ. เพื่อชำระหนี้ 1,000 บาท ก็บวกหักเพิ่มอีก 3,000 บาท รวมหนี้ที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 4,000 บาท ใครฐานเงินต่ำก็เป็นอันหมดตูด

การเก็บหนี้เพิ่มทำให้ลูกหนี้ กยศ.ที่ถูกหักเงินเดือนเพิ่ม เดือดร้อนกันถ้วนหน้า และนี่คือส่วนหนึ่งของลูกหนี้ที่ร้องเรียนเข้ามายังรายการ  “สนธิทอล์ก” 

“Supawadee Singmat” ร้องเรียนเรื่อง กยศ.หักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาทเอาไว้ว่า ปกติก็หักผ่านบัญชีอยู่แล้ว ลูกกำลังจะเปิดเทอม หักเพิ่มแบบนี้จะอยู่ยังไง ...ช่วยหนูด้วยนะคะ ทำงานแลกกับการหักเงินแบบนี้ก็แย่พอแล้ว แทบไม่เหลืออะไรเลยค่ะ หักเพิ่ม 3,000 จาก 1,000 เท่ากับจ่าย 4,000 บาทเลยค่ะ เดือดร้อนจริง ๆ ค่ะ”

หรืออีกรายหนึ่งที่บอกว่า “นั่ง งง ในวงเหล้า” เรื่องหัก กยศ. เราค้างยอดจริงครับ แต่หัก 3,000 มันเยอะไป ภาระของแต่ละคนไม่เท่ากัน จากเดิมหัก 513 บาท เดือนเมษาฯ โดนไป 3,513 บาท ก่อนหักไม่มีการแจ้งอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น จากเดิมที่หักรอบแรกก็ไม่มีการแจ้ง เราก็ยินยอมให้หักทุกเดือน แต่ครั้งนี้มาหักทีเดียว 3,000 มันหนักไปจริง ๆ ครับ”
……
การเจอใบสั่งจากคลังให้ชะลอรีดหนี้เพิ่ม เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงความมั่วข้อที่หนึ่ง ส่วนความมั่วข้อที่สอง ซึ่งเป็นผลจากความั่วข้อแรก ที่ กยศ. ต้องรีบแก้ไขเพื่อไถ่บาป ก็คือ ต้องเร่งคืนหนี้ในส่วนที่เก็บมาเกินจากลูกหนี้ นับเป็นชะตากรรมสุดสลดของลูกหนี้ กยศ. ที่ดิ้นรนจ่ายหนี้เพื่อตัดจบ แต่ กยศ.กลับไม่ยอมจบ

 ความอัปยศอดสูที่ กยศ.ทำกับลูกหนี้เช่นนี้ ปรากฏตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการปรับปรุงยอดหนี้ที่พบความชัดเจนว่า มีผู้กู้ยืมที่จ่ายหนี้เกินประมาณ 2-3 แสนบัญชี ในส่วนนี้ นายพิชัยไล่บี้ กยศ. จะต้องเร่งติดต่อทั้งการส่งข้อความ (SMS) และโทรศัพท์หาเพื่อให้มาติดต่อรับเงินคืน 

ที่ผ่านมา กยศ. โพนทะนาว่าพร้อมเคลียร์คืนเงินให้ แต่เอาเข้าจริงกลับโยกโย้ไปมาด้วยสารพัดเหตุผล ดังเช่นเสียงสะท้อนจากลูกหนี้ กยศ. รายหนึ่งที่มีเข้ามายังรายการสนธิทอล์ก

“Jongjit Sutjaarywat” “หลังจากมี พ.ร.บ.ปรับลดเบี้ยปรับ กยศ. มีเงินส่วนเกินที่จ่ายแล้ว กยศ.ต้องคืนเงิน ทวงถามมาตลอดไม่ได้รับเงินคืน อ้างว่ายังคำนวณยอดหนี้ใหม่ไม่เสร็จ แต่กลับออกข่าวแจ้งข่าวว่าคำนวณเสร็จแล้วพร้อมจ่าย ออกข่าวกับการกระทำสวนทางกัน ไม่เป็นความจริงค่ะ ล่าสุดเข้าไปทวงถามเงินที่จ่ายเกินก็บอกว่ายังคำนวณยอดหนี้ใหม่ไม่แล้วเสร็จค่ะ”

นอกจากนั้น นายพิชัยยังสั่งการเพื่อแก้ไขความมั่วบรมของ กยศ. เป็นความมั่วข้อที่สาม คือ ให้ระงับการฟ้องร้องออกไปก่อน โดยให้เร่งดำเนินการในส่วนต้องทำให้เรียบร้อยก่อน ส่วนถ้าจะมีการฟ้องร้องก็เป็นเรื่องเก่าไม่กี่ร้อยคดี ส่วนใหญ่เป็นคดีจะขาดอายุความ

กรณีตัวอย่างลูกหนี้ กยศ. ที่ถูกดำเนินคดี – “Nichar TheBest” –“ร้องเรียนเรื่องโดนยึดทรัพย์จาก กยศ. ทำเรื่องระงับที่บังคับคดี ปี 67 พอจะขอถอนบังคับ บอกต้องชำระให้หมด ปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว เป็นหนี้ 470,000 ชำระไป 3 แสนกว่าบาท ตอนนี้กลับมาเป็นหนี้ใหม่ 5 แสนกว่า ตายคงชำระไม่หมดแน่ ๆ กยศ.หักผ่านบริษัท”

 เห็นแล้วใช่ไหมว่า “ใส้ใน” ของ กยศ. มีสภาพเป็น “ใส้เน่า” เพียงไหน และเป็นเรื่องผิดปกติเอามาก ๆ ที่คณะกรรมการ กยศ. และ คณะผู้บริหาร กยศ. ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอาแต่กล่าวคำสวยหรูว่าผู้กู้ต้องเร่งคืนเงินกู้เพื่อสานต่อกองทุนฯ ให้รุ่นน้องได้มีเงินทุนเพื่อการศึกษา ฯลฯ กลบเกลื่อนความสุดเละเทะในการบริหารกองทุนฯ ที่มาพร้อมกับคำถามว่ามีนอกมีในอะไรกันหรือไม่ อย่างไร ถึงทำกับลูกหนี้ที่ “ไม่หนี ยินดีจ่าย” ถึงเพียงนี้ ขณะที่ “กลุ่มหนี้เน่า” กลับบริหารจัดการไม่ได้ ปล่อยให้ “ดินพอกหางหมู” จนบัดนี้ 

ก่อนหน้าที่นายพิชัยจะมีคำสั่งออกมาให้ชะลอการเก็บหนี้ กยศ. เอาไว้ก่อนนั้น ทาง กยศ. ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้กู้ยืมที่ได้รับแจ้งการหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาท เร่งเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ เพื่อระงับการหักเงินเพิ่ม 3,000 บาท หรือดำเนินการยื่นขอปรับลดจำนวนเงินหักเงินเดือนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ภายในเวลา 16.00 น. ที่เว็บไซต์ กยศ. เพื่อลดยอดชำระรายเดือน ในเดือนพฤษภาคม 2568

หลังหมดเวลาดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้กู้ยืมที่ยังไม่ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และขอลดยอดชำระรายเดือน ประมาณ 224,000 ราย จากจำนวนผู้กู้ยืมที่ กยศ. แจ้งหักเงินเดือนเพิ่มทั้งหมด 500,000 ราย กยศ. จึงมีความจำเป็นต้องแจ้งหักเงินเดือนเพิ่มจากผู้กู้ยืมกลุ่มนี้ต่อไป จนกว่าจะไม่มียอดค้างชำระ เว้นแต่จะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ และแจ้งให้นายจ้างทราบ หรือยื่นขอปรับลดจำนวนหักเงินเดือนให้แล้วเสร็จ

กยศ. ยังแจ้งว่า ผู้กู้ยืมที่ถูกหักเงินเดือนเพิ่มยังคงสามารถทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ เพื่อระงับการหักเงินเพิ่มได้โดยจะได้รับประโยชน์ 2 ต่อ คือ ยอดหนี้ผ่อนชำระรายเดือนลดลง และปลดผู้ค้ำประกันทันที อีกทั้งยังได้ขยายเวลาผ่อนชำระออกไปอีก 15 ปี

หรือหากผู้กู้ยืมยังไม่ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ก็สามารถยื่นขอปรับลดจำนวนหักเงินเดือนสำหรับเดือนมิถุนายน 2568 ได้จนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่เว็บไซต์ กยศ. ซึ่งจะทำให้ยอดหักเงินเดือนมิถุนายน 2568 ลดลง

  นั่นหมายความว่า ขณะที่การปรับปรุงยอดหนี้ยังไม่แล้วเสร็จ หรือ ยอดหนี้ยังไม่นิ่ง และผู้กู้ยังไม่ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ ทาง กยศ.ก็จะขอเก็บหนี้เพิ่มขึ้น 3,000 บาทต่อเดือน ต่อไปเรื่อย ๆ หากพบว่าเก็บเกินไปก็จะคืนในภายหลังตามเงื่อนไขที่ กยศ. กำหนด 

สำหรับการคืนเงินส่วนที่ชำระหนี้เกินนั้น กยศ. จะคืนเงินผ่านระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ที่ผูกบัญชีธนาคารด้วยเลขประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืมเท่านั้น และแบ่งการคืนเงินให้ผู้กู้ยืมแต่ละรายเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก กยศ. จะคืนให้ในอัตรา 70% ของยอดเงินที่คำนวณได้

น้ำตาลูกหนี้ กยศ.


ส่วนที่สอง จะคืนให้เมื่อ กยศ. ดำเนินการคำนวณยอดหนี้ผ่านระบบ DSL แล้วเสร็จ หากยังมีเงินส่วนที่ชำระเกินเพิ่มเติม กยศ. จะคืนเงินส่วนที่เหลือให้ทั้งหมดตามสิทธิ สามารถเข้าระบบตรวจสอบสถานะบัญชีผู้กู้ยืมเงินที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th หากมีสิทธิได้รับเงินคืนจะสามารถลงทะเบียนขอรับเงินคืนได้

 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ พ.ศ. 2566 เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมลดภาระหนี้ เพิ่มโอกาสการศึกษา พบว่า มีผู้กู้ยืมมาทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งสิ้น 598,334 บัญชี

ขณะนี้ กยศ.ได้คำนวณยอดหนี้ใหม่ให้แก่ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืน จำนวน 3,835,213 บัญชี โดยเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้ ตัดชำระเงินต้นเฉพาะส่วนที่ครบกำหนด ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับ ตามลำดับ คิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ต่อปี และลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี

ผลจากการคำนวณ พบว่า มีผู้กู้ยืมที่มียอดหนี้ลดลง 3,548,016 บัญชี กลุ่มที่มียอดหนี้เท่าเดิม 755 บัญชี และกลุ่มที่ไม่มีหนี้คงเหลือ (ปิดบัญชี) 80 บัญชี มีผู้กู้ยืมที่มีสิทธิขอรับคืนเงินที่ชำระหนี้เกิน จำนวน 286,362 บัญชี ซึ่งปัจจุบันมีผู้กู้ยืมลงทะเบียนขอรับเงินคืนแล้ว จำนวน 26,463 บัญชี และได้รับการโอนคืนแล้ว จำนวน 2,602 บัญชี เป็นเงินรวม 73.70 ล้านบาท

 จากตัวเลขที่ถูกรีดหนี้เกินต้องคืนเงินที่มากถึง 286,362 บัญชี ก็เห็นแล้วว่า กยศ.ทำตัวเป็น “แก๊งเงินกู้” รีดดอก รีดเบี้ยปรับมหาโหดเพียงใด 

ปัญหาและความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่มีมาหลายปี เกี่ยวข้องกับประชาชนผู้กู้รายย่อย 3.6 ล้านคน และผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน ยอดหนี้รวม 4.83 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้เสียสูงถึง 60-70% สูงสุดในบรรดาหนี้เสียทั้งหมด

หากมองผิวเผินอาจมาจากลูกหนี้ กยศ. ผิดนัดชำระหนี้ หรือเจตนาไม่จ่ายหนี้คืน แต่ลึกลงไป คือ ความผิดพลาดจากข้อกำหนดและเงื่อนไขการชำระหนี้คืนที่กำหนดให้คืนเงินในอัตราต่ำในปีแรกเพียง 1.5% ของยอดเงินต้น แต่จะเพิ่มสูงขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เมื่อค่างวดเพิ่มขึ้น บวกกับลูกหนี้ส่วนมากมีปัญหาเศรษฐกิจ ส่งผลต่อกระทบต่อการชำระหนี้ เมื่อผิดนัดชำระหนี้ ก็เจอค่าปรับสุดโหดในอัตราสูงถึง 18%

และหากลูกหนี้ขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ ก็เจอข้อกำหนดต้องนำมาหักค่าปรับก่อน ตามด้วยดอกเบี้ย และเงินต้น เป็นลำดับสุดท้าย ก็ยิ่งซ้ำเติมลูกหนี้ที่จ่ายไปเท่าไหร่ เงินต้นก็แทบไม่ลด เมื่อทดท้อ สิ้นหวังที่จะปลดหนี้ ก็เลิกจ่ายปล่อยให้เป็นหนี้เสีย

ปัญหาดังกล่าว ทำให้รัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.กยศ.มีผลเมื่อวันที่ 21มีนาคม 2566 โดยลดอัตราค่าปรับจาก 18% เหลือ 0.5% และจัดลำดับการชำระหนี้ ตัดเงินต้นเป็นอันดับแรกสุด กฎหมายใหม่นี้ทำให้ กยศ.ต้องคำนวณหนี้ใหม่ทั้งหมด

ทว่า กยศ. สมัย  นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์  เป็นผู้จัดการ กลับทำงานล่าช้าเป็นปี อ้างอยู่ระหว่างติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ และลูกหนี้มีจำนวนมาก แต่กลับเร่งรัดให้ลูกหนี้ กยศ.เร่งปรับโครงสร้างหนี้ ปิดยอด และทำเรื่องส่งฟ้องศาล ลูกหนี้บางรายถูกยึดทรัพย์

ในการปรับโครงสร้างหนี้ ยังสร้างความสับสนให้ลูกหนี้ มีปัญหายอดหนี้จากแต่ละที่ไม่ตรงกัน ที่มาของยอดหนี้ในส่วนเงินต้น ค่าปรับ ดอกเบี้ย ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระบบ “กยศ. Connect” เว็บไซต์ www.studentloan.or.th และ Loan Statement Report  และเมื่อลูกหนี้บุกไปถึงสำนักงาน เจ้าหน้าที่ก็เร่งรัดให้ผู้กู้ “ปรับโครงสร้างหนี้” เพื่อให้เป็นหนี้ไปอีก 180 เดือน หรือ 15 ปี ลูกเดียว

ขณะเดียวกัน การเร่งรัดลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้กลับดำเนินไปอย่างเข้มข้น ทั้งการแจ้งหักเงินเพิ่ม 3,000 บาทต่อเดือน และการฟ้องร้อง ท่ามกลางกระแสข่าวว่าในการดำเนินคดี กยศ. ส่งงานให้สำนักงานกฎหมายบางแห่ง เป็นผู้ติดตามทวงหนี้ ฟ้องร้อง รายละ 7,500 บาท หากคิดจากฐาน 3.6 ล้านบัญชี จะตกเป็นเงินสูงถึง 27,000 ล้านบาท คำถามคือ มีผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นของจำนวนหนี้ที่ทวงได้ ใช่หรือไม่?

 ความหมักหมมเรื้อรังของปัญหาหนี้ กยศ. เพราะมีคนได้ประโยชน์มหาศาล และไม่อยากให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากวงจรหนี้อุบาทว์ ใช่หรือไม่ ตอนนี้นายพิชัย ชุณหวชิร รู้ใส้ กยศ.หมดแล้ว รอดูกันว่าเขาจะจัดการอย่างไร. 

 “ปรับโครงสร้างหนี้” หรือ “ยัดหนี้เพิ่ม” กันแน่ ?

การเร่งรัดปรับโครงสร้างหนี้ของ กยศ. ที่ได้ผลลัพธ์คือหนี้เพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง มีกรณีตัวอย่างของ น.ส.เอ (นามสมมุติ) ลูกหนี้ กยศ.รายหนึ่งที่ร้องเรียนมายังรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เธอเล่าว่า ได้กู้ยืมเงิน กยศ.มาเรียนหนังสือ เป็นเงินต้น จำนวน 209,900 บาท

ต่อมา มีปัญหาชำระหนี้ ต้องขึ้นศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลตัดสินให้ชำระเงินต้นดอกเบี้ย และค่าปรับ รวมทั้งสิ้น 395,298.52 ล้านบาท และให้ทยอยชำระเดือนละ 4,200 บาท ในเวลา 9 ปี ตั้งแต่ 5 มกราคม 2562 – 4 ธันวาคม 2570 โดยการแจ้งไปยังสังกัดเพื่อหักเงินเดือน ซึ่งเธอทยอยชำระตามศาลสั่งต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปีกว่า

กระทั่งปี 2565 เธอมีปัญหาการเงินอีก จึงเจรจาและได้รับการผ่อนผัน ลดการผ่อนชำระเหลือเดือนละ 1,000 บาท และชำระหนี้ต่อเนื่องจนถึง 25 มีนาคม 2568 ตลอดการผ่อนชำระรวมยอดเงินคืน กยศ. ไปแล้ว 172,785 บาท จากเงินต้น 209,900 บาท

จากนั้น เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 เธอได้รับแจ้งผ่านไลน์ของ กยศ.ว่า การคำนวณหนี้ใหม่ ตามกฎหมาย กยศ.ใหม่ ปี 2566 เธอมียอดหนี้คงค้างชำระเหลืออยู่เพียง 84,959.44 บาท (ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) เป็นยอดหนี้ที่ลดลงและควรดีใจ

แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เธอได้รับแจ้งจากฝ่ายบุคคลว่า ทาง กยศ.ได้ส่งยอดหักเงินเดือนเพิ่มอีกเดือนละ 3,000 บาท ทำให้ถูกหักเงินเดือนรวม 4,000 บาท พร้อมแนะนำให้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้

“น.ส.เอ” จึงดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์ของ กยศ. กลับพบยอดหนี้ตั้งต้นสูงถึง 279,445.10 บาท ต้องผ่อนชำระเดือนละ 1,620 บาท เป็นเวลา 180 เดือน หรือ 15 ปี รวมยอดชำระทั้งสิ้น 291,600 บาท

คำถามข้อแรก คือ ทำไมยอดหนี้ที่แจ้งจึงไม่ตรงกัน ทั้งที่ กยศ.มีประกาศคำนวณยอดหนี้ใหม่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2567 และพยายามชักชวนให้ลูกหนี้เข้าสู่ระบบการปรับโครงสร้างหนี้

คำถามข้อที่สอง ลูกหนี้รายนี้มียอดเงินต้น 209,900 บาท ทยอยจ่ายคืนหนี้แล้ว 172,785 บาท ขณะที่ยอดหนี้คำนวณใหม่ที่แจ้งลูกหนี้คงเหลือ 84,959.44 บาท แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ยอดเงินตั้งต้น (คงเหลือ) กลับดีดขึ้นไปสูงถึง 279,445.10 บาท ซึ่งหากยอมรับการปรับโครงสร้างหนี้จะต้องจ่ายหนี้อีก 291,600 บาท ไม่รวมที่จ่ายไปก่อนหน้านี้แล้ว 172,785 บาท

จากเงินต้นที่ “น.ส.เอ” กู้เงินมาเรียน 209,900 บาท สรุปแล้วผ่อนไปผ่อนมา ต้องจ่ายเงินคืน กยศ.มากถึง 464,385 บาท หรือเกือบ 500,000 บาท

ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น คือ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 หลังได้รับแจ้งยอดหนี้ที่คำนวณใหม่จาก กยศ. ลูกหนี้ได้เดินทางไปสำนักงาน กยศ. เพื่อขอปิดบัญชีตามยอดที่ได้รับแจ้ง 84,959.44 บาท แต่ กยศ.กลับปฏิเสธ ไม่สามารถปิดบัญชียอดดังกล่าวได้ โดยยืนยันต้องปิดตามยอดในแอปพลิเคชัน “กยศ.connect” จำนวน 280,228.90 บาท หรือยอดตาม Loan Statement Report ณ วันที่ 29 มกราคม 2568 จำนวน 279,024 บาท แล้วค่อยทำเรื่องขอคืนภายหลัง

กรณีตัวอย่างแบบ “น.ส.เอ” ใช่หรือไม่ ที่ทำให้การปรับปรุงหนี้พบความชัดเจนว่ามีผู้กู้ยืมที่จ่ายหนี้เกินประมาณ 2-3 แสนบัญชี และนายพิชัย ชุณหวชิร ไล่บี้ให้รีบคืนเงิน แต่ กยศ.ยังเล่นบทยื้อ สร้างเงื่อนไขการคืนเงินเยอะแยะ และยากจะได้คืนง่าย ๆ

แบบนี้ ถ้าไม่เรียกว่าปล้นซึ่งหน้า ก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรดี.


กำลังโหลดความคิดเห็น