ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตัวเลขผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในไทยเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยพบกลุ่มวัยรุ่นไทยมีแนวโน้มการติดเชื้อ เอชไอวี (HIV), ซิฟิลิส, หนองใน, เริม ฯลฯ อย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อันสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะทางเพศแก่ประชากรกลุ่มนี้
และประเด็นเด็นร้อนแรงที่ปลุกกระแสสังคมเกิดขึ้นหลังโซเซียลมีเดียมีการแชร์เรื่องราวพบการติดเชื้อซิฟิลิสในกลุ่มวัยรุ่นวัยเรียน จังหวัดมหาสารคาม โดยนักเทคนิคการแพทย์รายหนึ่งที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คแชร์เรื่องราว “คนไข้วอล์กอินเข้ามาตรวจเลือด พบว่าติดเชื้อซิฟิลิส 3 ราย โดย 1 ใน 3 ราย มีผล HIV เป็นบวก”
ทั้งนี้ คนไข้ทั้งหมดเป็นกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งพบลักษณะรอยโรคชัดเจน จากนั้นได้แนะนำแนวทางรักษาตามลำดับ ก่อนขออนุญาตินำเรื่องราวมาโพสต์แจ้งเตือนให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นตระหนักถึงเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
สำหรับสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของ จ.มหาสารคาม นพ.วัฒนะ ศรีวัฒนา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม ยอมรับว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการที่ทางกระทรวงสาธารณสุขมีการรณรงค์ให้ตรวจในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาจึงทำให้พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
ข้อมูลล่าสุดจากงานระบาดวิทยา ปี 2568 พบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมดถึงปัจจุบัน จำนวน 443 ราย แบ่งเป็น 5 โรคหลัก ได้แก่ โรค HIV จำนวน 136 ราย คิดเป็น 14.40 ต่อแสนประชากร โรคหนองใน จำนวน 102 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 10.80 ต่อแสนประชากร โรคซิฟิลิส จำนวน 85 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 9.00 ต่อแสนประชากร โรคไวรัสตับอักเสบบี จำนวน 51 ราย คิดเป็น 5.40 ต่อแสนประชากร และโรคหูด 25 ราย คิดเป็น 2.65 ต่อแสนประชากร
ขณะที่ นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นว่า พบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม แผลริมอ่อน กามโรคต่อมน้ำเหลือง ช่วงปี 2560 – 2565 โดยกลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี ยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราป่วยมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สาเหตุสำคัญเป็นพบมาจากอัตราการสวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นนั้นลดลงมาก ซึ่งอาจเพราะไม่ได้มีข่าวว่าพบผู้ป่วย คนส่วนใหญ่เลยคิดว่าไม่มีโรคนี้แล้ว จึงไม่ได้ป้องกัน ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อเอชไอวี โรคซิฟิลิส โรคหนองใน พบสูงขึ้นมากในกลุ่มวัยรุ่นเยาวชน โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสและโรคหนองใน อัตราเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยสูงถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับ 3 - 4 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ต้องทำความเข้าใจว่าจังหวัดมหาสารคามไม่ใช่จังหวัดที่ไม่เคยพบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เพียงแต่พบมากขึ้นในปีนี้ ดังนั้น ไม่ใช่จังหวัดเดียวที่ควรกังวล
ทั้งนี้ รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปี 2567 โดยกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่ามีผู้ป่วยติดโรคซิฟิลิส สะสมทั้งประเทศ 25,469 ราย โดย 5 จังหวัดที่มีผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 3,968 ราย 2.ชลบุรี 1,844 ราย 3.นครราชสีมา 864 ราย 4.บุรีรัมย์ 841 ราย และ 5.อุดรธานี 799 ราย
และพบผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี (HIV) สะสมทั้งประเทศ 26,053 ราย 10 จังหวัดที่มีผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 4,790 ราย 2.ชลบุรี 1,766 ราย 3.นครราชสีมา 920 ราย 4.สมุทรปราการ 854 ราย 5.เชียงใหม่ 778 ราย 6.ขอนแก่น 733 ราย 7.ปทุมธานี 613 ราย 8.สมุทรสาคร 596 ราย 9.อุดรธานี 596 ราย และ 10.ระยอง 573 ราย
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยสูงสุดอยู่ในกลุ่มอายุ 20 - 29 ปี รองลงมาคือ กลุ่ม 15 - 19 ปี และกลุ่มอายุ 30-39 ปี ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม กรณีโรคทางเพศสัมพันธ์ประเด็นที่สาธารณสุขไทยเฝ้าระวังมาโดยตลอด ณ เวลานี้ตัวเชื้อไวรัสไม่ได้มีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นทำให้เกิดการระบาดเพิ่มขึ้น แต่ที่เกิดการระบาดพุ่งนั้นเป็นเรื่องของพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีความรับผิดชอบจึงเพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อ
ขณะที่กรมควบคุมโรคบ่งชี้สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส เพิ่มขึ้นจากอัตราป่วย 11 ต่อประชากรแสนคนในปี 2561 เป็น 28.1 ต่อประชากรแสนคนในปี 2566 ในกลุ่มเยาวชนอัตราป่วยเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จาก 27.9 เป็น 91.2 ต่อประชากรแสนคน และผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิสมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี สูงขึ้นถึง 5-9 เท่า ในปี 2565 ขณะที่ มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ประมาณ 9,230 คน โดยกลุ่มอายุ 25-49 ปี มีสัดส่วนสูงสุด ร้อยละ 51 รองลงมาคือกลุ่มอายุ 20-24 ปี ร้อยละ 34 และกลุ่มอายุ 15-19 ปี ร้อยละ13
ผลสำรวจพฤติกรรมทางสุขภาพเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยในกลุ่มเด็กและเยาวชน ปี 2567 โดยกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 15,425 คน พบว่าเด็กและเยาวชนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเฉลี่ย 16.5 ปี และอายุต่ำสุดที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุ 12 ปี ขณะที่จำนวนมีการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งในการมีเพศสัมพันธ์ 43% ใช้บางครั้ง และเกือบทุกครั้ง 33% และไม่ใช้เลย 24% นอกจากนี้ ยังพบว่าพวกเขามีเพศสัมพันธ์กับคนรู้จักผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ 7% และคนรู้จักในสถานบันเทิง (One Night Stand) 8%
น.ส.มะลิ ไพฑูรย์เนรมิต ผู้อำนวยการกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่าการมีเพศสัมพันธ์ของกลุ่มเด็กและเยาวชนไทยที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ ไม่สามารถควบคุมได้ โดยมองว่าสิ่งสำคัญคือการส่งเสริมให้มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (Safe Sex) เป็นเรื่องของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในมิติของสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาที่ต้องร่วมกันส่งเสริมให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยผ่านการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และตรวจคัดกรองเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
สอดคล้องกับรายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ หรือ Sexually transmitted infections – STIs กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะซิฟิลิสที่มีการระบาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการตั้งเป้าหมายลดการติดเชื้อซิฟิลิสในผู้ใหญ่ภายในปี 2573 แต่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาและแอฟริกา นอกจากนี้ ยังพบการเพิ่มขึ้นของการติดเชื้อเอชไอวี โดย WHO แนะนำให้ประเทศต่างๆ เร่งดำเนินการตามแผนความยั่งยืนในการกำจัดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยการใช้วิธีการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานและการเสริมสร้างการเข้าถึงบริการสุขภาพ
ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ ปี 2560 – 2573 ดำเนินการเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา โดยมีเป้าหมายลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่ให้เกิน 1,000 คนต่อปี ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ไม่เกิน 4,000 รายต่อปี และลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวี และเพศภาวะลง เหลือไม่เกินร้อยละ 10
อย่างไรก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติที่ห้ามกันได้ยาก แต่สามารถป้องกันโรคที่ติดมาจากเพศสัมพันธ์ได้ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากมีความเสี่ยงให้รีบมาตรวจเพื่อทำการรักษาทันที รักษาได้หายขาด แต่มีโอกาสกลับมาเป็นได้ซ้ำหากมีความเสี่ยงเช่นเดิม
สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชนของประเทศไทยกำลังเผชิญกับแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง อัตราการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะทางเพศ
การแก้ไขปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เริ่มตั้งแต่การส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาวะทางเพศและสร้างทัศนคติที่ถูกต้องการเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างรับผิดชอบแก่เด็กและเยาวชน