xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โกกั้ง (6) กำเนิดโกกั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เล่าก์ก่าย เมืองหลักของโกกั้ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนเหนือของรัฐฉาน (ภาพ : วิกิพีเดีย)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

หลังจาก หย่งลี่  ถูกจับกุมตัวกลับไปสำเร็จโทษที่อวิ๋นหนันใน ค.ศ.1662 แล้ว พลพรรคของพระองค์ที่ไม่ได้ติดตามไปด้วย แต่ก็คงอยู่ในพม่านับแต่นั้นเรื่อยมา แต่หากนับตั้งแต่ที่ลี้ภัยมาที่พม่าแล้วก็อาจจะนานกว่านั้น

พลพรรคเดนตายของหย่งลี่ที่หนีรอดจากเงื้อมมือของศัตรูนั้น เป็นชาวจีนที่ยอมรับว่าตนเป็นราษฎรของราชวงศ์หมิงหรือชาวหมิง ด้วยในเวลานั้นชาวจีนยังมิได้เรียกตนว่าเป็นชาวจีนหรือที่ภาษาจีนเรียกว่า  จงกว๋อเหญิน (中国人)  แต่เรียกตนตามชื่อราชวงศ์ที่ตนสังกัดซึ่งในกรณีนี้ก็คือ ชาวหมิง 

ประเด็นในที่นี้ก็คือว่า ชาวหมิงหรือชาวจีนเหล่านี้มีภูมิหลังเป็นขุนนางของหมิง ซึ่งมีความรู้ความสามารถและเป็นชนชั้นสูงโดยพื้นเดิม เมื่อมาอยู่ในดินแดนพม่าแล้วคนกลุ่มนี้จึงถือเป็นคนที่มีความเจริญมากกว่าคนพื้นเมือง ซึ่งก็คือ ชนชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของตนมาช้านานแล้ว

ประเด็นก็คือว่า ตอนที่หย่งลี่ลี้ภัยในพม่านั้น ชาวหมิงที่ติดตามพระองค์มีอยู่หลักร้อยคน แต่เมื่อกองกำลังของพระองค์มิอาจต้านทัพของราชวงศ์ชิงได้ และพระองค์ยังถูกส่งตัวกลับไปสำเร็จโทษที่จีนแล้ว กองกำลังที่ยังเหลืออยู่จึงเข้ามาอยู่ร่วมกับชาวหมิงที่เป็นพลเรือนที่อยู่มาก่อน และทำให้ชาวหมิงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นหลักพัน

ในระยะแรกๆ ชาวหมิงเหล่านี้หลบซ่อนตัวกระจัดกระจายอยู่ตามป่าตามเขา และอยู่ร่วมกับชนพื้นเมืองชนชาติพันธุ์ต่างๆ หลายชนชาติ ครั้นเวลาผ่านไปชนชาติเหล่านี้จึงเรียกชาวหมิงตามชื่อเมืองที่อาศัยอยู่ว่า  โกกั้ง 

 กล่าวกันว่า คำว่า โกกั้ง (Kokang) เป็นคำที่มาจากภาษาพม่า โดยที่พม่าเองก็รับเอาคำนี้มาจากชนชาติไทยใหญ่ในรัฐฉานปัจจุบันอีกโสดหนึ่ง คำว่า โก คือคำว่า เกา แปลว่า เก้า และคำว่า กั้ง (บางที่เรียกว่า ก้าง) แปลว่า ผู้ปกป้องหรือยาม (guard) ดังนั้น คำว่า โกกั้ง ก็น่าจะแปลว่า เก้าผู้ปกป้องหรือเก้าผู้คุ้มครอง 

ส่วนเสียงในภาษาจีนนั้นจะออกว่า กว๋อกั่น  เสียงนี้เป็นเสียงที่ผันวรรณยุกต์ตามหลักภาษาจีนจากเสียงที่ว่า กว่อกั่น (果敢)  ชื่อนี้เป็นชื่อทับศัพท์คำพื้นเมืองเดิม และเมื่อต้องเรียกตนตามชื่อในภาษาถิ่นแล้ว ชาวหมิงก็ย่อมตั้งให้มีความหมายในทางบวก

กล่าวคือ คำว่า กว่อ (果) มาจากคำว่า กว่อต้วน (果断) ที่แปลว่า เด็ดขาด เด็ดเดี่ยว ไม่ลังเล หรือเฉียบขาด ส่วนคำว่า กั่น มาจากคำว่า หยงกั่น (勇敢) ที่แปลว่า กล้าหาญ คำว่า กว๋อกั่น หรือ โกกั้ง จึงแปลว่า  ผู้มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ 

 แต่ก็ว่ากันว่า ชาวหมิงไม่ชอบชื่อโกกั้งของตนมากนัก แต่ชอบที่จะให้เรียกตนว่าเป็นชาวมาลีปา หรือที่ภาษาจีนออกเสียงว่า หม่าลี่ปา คำว่า มาลีปา (Malipa) นี้หมายถึง หุบเขาเกาลัด (Malipa Valley) โดยคำว่า มาลี (Mali) ก็คือ ต้นเกาลัด ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครเรียกชื่อนี้จนบัดนี้ และยังคงเรียกโกกั้งว่า โกกั้ง เรื่อยมา 

แต่ก็ด้วยเหตุที่เป็นชื่อที่โกกั้งนิยมชมชอบ เราจึงอาจเรียกโกกั้งตามที่โกกั้งนิยมชมชอบอย่างลำลองว่า ชาวเกาลัด ก็ย่อมได้

อย่างไรก็ตาม การที่ชาวจีนเหล่านี้อยู่ในพม่าท่ามกลางชนชาติต่างๆ (รวมทั้งพม่า) เป็นเวลานานอีกหลายร้อยปี คำเรียกขานชาวจีนเหล่านี้จึงมีการเรียกที่ต่างกันไป คำเรียกที่ต่างกันนี้ก็คือ โกกั้งตาโยก (Kongkang Tayoke) ชาวมาลีปา ชาวโกกั้ง ชาวอวิ๋นหนัน และชาวจีนโกกั้ง

คำว่า ตาโยก เป็นคำเรียกในภาษาพม่าหมายถึง ชาวพม่าเชื้อสายจีน เหมือนกับที่เราเรียกชาวจีนโพ้นทะเลในไทยว่า ชาวไทยเชื้อสายจีน ดังนั้น คำว่า โกกั้งตาโยกก็คือ ชาวพม่าเชื้อสายจีนโกกั้ง

ส่วนคำว่า ชาวมาลีปา ชาวโกกั้ง และชาวอวิ๋นหนันเป็นคำที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ใช้เรียกโกกั้ง ซึ่งก็คือคำว่า มาลีปาเหญิน (Malupa ren) กว่อกั้นเหญิน (Kokang ren) และอวิ๋นหนันเหญิน Yannan ren) ตามลำดับ ส่วนคำว่า ชาวจีนโกกั้ง (Chinese Kokang) เป็นคำที่เรียกโกกั้งในปัจจุบัน

จะเห็นได้ว่า ทุกคำเรียกขานที่มีต่อโกกั้งจะปรากฏความเป็นจีน (Chineseness) อยู่ด้วยเสมอ ในแง่นี้จึงเท่ากับสะท้อนภูมิหลังที่มีเชื้อสายจีนของโกกั้งไปด้วยในตัว

การที่โกกั้งเป็นชาวจีนที่มีความรู้ความสามารถสูงก็ดี หรือมีวัฒนธรรมจีนในยุคสมัยหมิงก็ดี ทำให้โกกั้งยังคงสืบทอดสืบทอดรูปแบบวัฒนธรรมจีนในยุคราชวงศ์หมิงเอาไว้ ซึ่งรวมถึงภาษาจีนที่ใช้กันก็เป็นภาษาจีนในยุคที่ว่า ครั้นโกกั้งสืบสายกระจายพันธุ์ในชั้นหลัง วัฒนธรรมจีนสมัยหมิงที่ใช้กันก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงเห็นร่องรอยของยุคสมัยที่ว่าอยู่เช่นกัน

 ดังนั้น หากใครอยากจะรู้ว่าวัฒนธรรมจีนสมัยหมิงเป็นอย่างไร ก็อาจดูได้จากโกกั้ง 

ที่นี้ก็มาถึงประเด็นคำถามที่ว่า ในเมื่อโกกั้งคือชาวจีนในยุคราชวงศ์หมิงแล้ว อะไรเล่าที่ทำให้วัฒนธรรมจีนในยุคหมิงเปลี่ยนแปลงไปได้ คำตอบคือ เป็นเพราะในเวลาต่อมาโกกั้งได้มีการแต่งงาน หรืออยู่กินกับชนชาติต่างๆ ที่อยู่แวดล้อมตน โดยที่โกกั้งเป็นผู้ที่มาขออาศัยเขาอยู่เท่านั้น

ถ้าเช่นนั้นแล้วชนชาติต่างๆ ที่ว่านี้มีใครบ้าง?

จะว่าไปแล้วก็มีหลายชนชาติเลยทีเดียว นั่นคือ ชาวไทยใหญ่น้ำ ชาวพยูหรือปยู ชาวปะหล่อง ชาวม้ง ชาวว้า และชาวคะฉิ่น

ชาวไทยใหญ่น้ำเป็นชนชาติที่นิยมสร้างบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำลำธาร เช่นที่หมู่บ้านปางหลง น้ำฮู น้ำลี่ น้ำก้อ และน้ำปา เป็นต้น บริเวณที่เอ่ยชื่อมานี้ล้วนเคยเป็นถิ่นฐานเดิมของชาวไทยใหญ่ทั้งสิ้น ส่วนชาวพยู ชาวปะหล่อง ชาวว้า และคะฉิ่นนั้น นิยมตั้งบ้านเรือนบนภูเขาสูงและมีอาชีพเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์

จนเมื่อชาวจีนหรือที่ต่อมาคือโกกั้งอพยพมาอยู่ด้วย และใช้ความรู้ความสามารถของตนสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีฐานะที่ดีขึ้น ชนชาติต่างๆ ที่แม้จะรู้สึกแปลกแยกด้วยผิดไปจากวัฒนธรรมของตน แต่ก็ทำอะไรชาวจีนเหล่านี้ไม่ได้ ชนชาติเหล่านี้จึงมีทางเลือกเพียงสองทาง

ทางหนึ่ง อยู่ร่วมกับชาวจีนโกกั้งแล้วผสมกลมกลืนไปกับโกกั้ง ซึ่งรวมถึงการแต่งงานกับโกกั้งด้วย อีกทางหนึ่ง อพยพไปอยู่ในที่ห่างไกลตามป่าตามเขา

ไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดว่า ทางไหนมีมากกว่ากัน แต่กับทางแรกแล้วก็ได้ทำให้วัฒนธรรมจีนสมัยราชวงศ์หมิงที่โกกั้งสืบทอดกันมาต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้อยู่ได้กับสภาพแวดล้อมใหม่ท่ามกลางชนชาติเหล่านี้

แต่ก็ด้วยภูมิหลังที่เป็นกลุ่มชนที่มีความรู้สูง ครั้นเวลาผ่านไปโกกั้งก็ได้สร้างระบบการปกครองของตนขึ้นมา แล้วตระกูลที่ทรงอิทธิพลของโกกั้งก็ปรากฏเงาร่างให้เราได้เห็นได้รู้จัก


กำลังโหลดความคิดเห็น