คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ในตอนนี้จะขอกล่าวถึงการปฏิรูปราชอาณาจักรสวีเดนหลังการสถาปานาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดต่อจากตอนที่แล้ว
สำหรับ กลุ่มอภิชน ได้มีการแต่งตั้งนายทหารและข้าราชการจำนวนมากเข้าสู่ฐานันดรอภิชน และการเลื่อนลำดับชั้นยศในกองทัพก็เน้นที่ความรู้ความสามารถและอายุราชการเป็นหลัก (meritocracy) กระนั้น อภิชนยังมีช่องทางพิเศษที่เอื้อให้สามารถเติบโตในราชการได้เร็วกว่าชนชั้นอื่น อย่างเช่นการรับราชการด้านอื่นแล้วโอนย้ายสังกัดมายังกองทัพ หรือการบรรจุรับราชการด้วยวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษา และอภิชนระดับสูงยังคงมีพื้นที่ในกองทัพและดำรงตำแหน่งระดับสูงในกองทัพ
อย่างไรก็ดี การเลื่อนลำดับชั้นของกลุ่มอภิชนที่กล่าวมานี้ก็ผสมไปกับปัจจัยด้านความรู้ความสามารถ และกองทัพก็เปิดกว้างให้แก่บุคคลหลากหลายภูมิหลัง ดังข้อมูลเปรียบเทียบที่ว่า หากก่อนหน้านั้น บุตรของอภิชนระดับสูงสามารถเป็นนายพันเอกได้ก่อนอายุ 30 ปีเป็นเรื่องปกติ แต่ในระหว่าง ค.ศ. 1682-1697 บรรดาบุตรของสมาชิกสภาบริหารในพระมหากษัตริย์ที่เข้ารับราชการในกองทัพจำนวน 62 คนนั้น มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่มีชั้นยศเป็นนายพันเอกก่อนอายุ 30 ปี
และขณะที่กลุ่มอภิชนเก่าสามารถมีพื้นที่ในกองทัพและมีสถานะความเป็นอยู่อย่างเหมาะสมพอประมาณ (modest aristocratic lifestyle) ได้ด้วยการรับราชการทหาร การปฏิรูปกองทัพก็เปิดช่องทางให้แก่อภิชนใหม่จำนวนมาก ดังข้อมูลที่ปรากฏว่าอภิชนใหม่ๆ รุ่นแรกมักส่งบุตรเข้ารับราชการทหาร ทั้งนี้ก็ด้วยเงื่อนไขหลักที่ว่า “ภายหลังปี ค.ศ.1680 การแต่งตั้งตำแหน่งทางทหารเป็นสิทธิอำนาจของพระมหากษัตริย์ และพระองค์ก็ทรงเอาใจใส่และคำนึงถึงความรู้ความสามารถเป็นหลัก”
ต่อไปจะขอกล่าวถึงประเด็นการสร้างความมั่นคงในการเมืองระหว่างประเทศระหว่าง ค.ศ. 1679-1686
บริบทการเมืองระหว่างประเทศในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจระหว่างมหาอำนาจและระหว่างรัฐต่าง ๆ การต่อสู้แข่งขันที่รุนแรงส่งผลให้รัฐยุโรปในช่วงเวลาก่อนยุคสมัยใหม่เป็นรัฐสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะมีความพยายามในการกำกับควบคุมการเมืองระหว่างประเทศผ่านกรอบกฎหมายหรือผ่านปทัสถานระหว่างประเทศก็ตาม
นโยบายระหว่างประเทศสวีเดนในช่วง ค.ศ. 1679-1686 มีสาระสำคัญคือการเปลี่ยนกลุ่มพันธมิตรโดยถอยห่างออกจากฝรั่งเศสพร้อมๆไปกับความลังเลที่จะเข้าร่วมมือในกิจการต่าง ๆที่ผูกมัดตัวเอง
พระมหากษัตริย์ในยุโรปศตวรรษที่ 17 เป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบายระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในกรณีของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด พระองค์ทรงคำนึงถึงลักษณะเฉพาะบางประการ อันได้แก่
1) กฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติของสวีเดนไม่ได้ให้พระราชอำนาจกษัตริย์เต็มที่ในเรื่องสงครามและการต่างประเทศ การทำสัตย์ปฏิญาณในพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ผูกมัดให้พระองค์ต้องปรึกษาหารือกับกลุ่มต่าง ๆ ในราชอาณาจักร สภาบริหารให้คำปรึกษาแก่องค์พระมหากษัตริย์จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และที่ที่ประชุมสภาฐานันดรก็จะต้องได้รับทราบกิจการระหว่างประเทศในหลักการและในรายละเอียดจาก ที่ประชุมของคณะกรรมาธิการลับ
2) ตัวพระองค์เองไม่ทรงมีความถนัดด้านการต่างประเทศ พระองค์ไม่ได้แสดงความสนใจด้านการต่างประเทศเท่ากับกิจการภายในราชอาณาจักร พระองค์ไม่ได้มีวิธีคิดและความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองของพันธมิตร พระองค์ให้ความสนใจกิจการระหว่างประเทศเท่าที่เป็นผลประโยชน์เฉพาะหน้าแก่ราชอาณาจักร อาจจะด้วยอุปสรรคทางด้านภาษา พระองค์ทรงตรัสได้แต่เพียงภาษาสวีดิชและเยอรมัน ทำให้ไม่สามารถเจรจากับคณะทูตต่างชาติได้ดี พร้อมกันนี้ ประสบการณ์สงครามของพระองค์ในช่วงปี ค.ศ.1675-1679 ทำให้พระองค์ทรงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสงครามตลอดช่วงปี ค.ศ.1679-1686
3) การเปลี่ยนตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบการต่างประเทศ (Chancellor) ส่งเสริม ให้การเปลี่ยนทิศทางนโยบายต่างประเทศมีความชัดเจนขึ้น นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1630 ฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรหลักของสวีเดนและกลุ่มอภิชนชั้นสูงต่างก็นิยมฝรั่งเศส พอถึงปี ค.ศ.1679 Johan Gyllenstierna นำพาสวีเดนถอยห่างจากฝรั่งเศสและหันไปเจรจาร่วมมือกับเดนมาร์ก และถัดจากนั้น Bengt Oxenstierna นำพาสวีเดนเข้าเป็นพันธมิตรกับเนเธอร์แลนด์ (United Provinces) และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1660 บรรดาชนชั้นปกครองของสวีเดนมีฉันทามติร่วมกันในการต่างประเทศ นั่นคือ การยอมรับว่าสวีเดนไม่สามารถเป็นมหาอำนาจที่สามารถทำการรุกขยายดินแดนได้เช่นเดิม แต่เป็นประเทศที่พึงพอใจในสถานะอำนาจของตนเอง มุ่งรักษาสถานะเดิม (status quo) ตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่ทำไว้ในปี ค.ศ.1648 และปี ค.ศ.1660 และหากเกิดสงคราม ก็จะมุ่งเป็นกลาง เพื่อรอจังหวะเข้าเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
แต่นอกเหนือไปจากหลักการแล้ว สวีเดนเผชิญกับทางเลือกในทางปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกมหาอำนาจเป็นพันธมิตร ฝรั่งเศส เป็นพันธมิตรมาแต่เดิมเนื่องจากไม่มีผลประโยชน์ทางตรงในทะเลบอลติก แต่ฝรั่งเศสก็ต้องการมีพันธมิตรในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งยังมีความสามารถในการถ่วงดุลอำนาจในพื้นที่เยอรมันทางตอนเหนือได้อีกด้วย ความนิยมฝรั่งเศสจึงยังคงมีอยู่ในหมู่ชนชั้นนำตลอดรัชสมัย
ขณะที่สวีเดนไม่สามารถเข้าเป็นพันธมิตรกับ ราชวงศ์แฮบสเบริก (Habsburg) เพราะจะขัดกับสถานะของสวีเดนที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองนิกายโปรเตสแตนท์ตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย และไม่สามารถเข้าเป็นพันธมิตรกับ เนเธอร์แลนด์ ได้ เพราะเนเธอร์แลนด์กับสวีเดนต่างแข่งขันกันในควบคุมการค้าในทะเลบอลติก
ขณะเดียวกัน การเมืองภายในส่งผลให้สวีเดนเปลี่ยนฝั่งพันธมิตร ในขั้นแรก Gyllenstierna (ผู้ที่คัดค้านและวิพากษ์การเข้าร่วมกับฝรั่งเศสมาก่อนตั้งแต่ปี ค.ศ.1672) ได้นำสวีเดนเข้าทำความร่วมมือกับ เดนมาร์ก โดยหวังว่าความร่วมมือระหว่างทั้งสองจะสามารถแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน และสามารถกันคู่แข่งภายนอกบริเวณทะเลบอลติกได้
สนธิสัญญาแห่งลุนด์ (Treaty of Lund) ในปี ค.ศ.1679 เป็นพื้นฐานความร่วมมือดังกล่าว
กระนั้น ความระแวงต่อกันระหว่างสองประเทศเป็นที่ชัดเจนและเป็นที่รับรู้ทั่วกัน พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเองก็ไม่เคยไว้วางใจเดนมาร์กในฐานะที่เป็นศัตรูกันมาตลอดเวลาในประวัติศาสตร์โดยเฉพาะในช่วงสงครามปลดแอกสวีเดนจากสหภาพคาลมาร์ (the Kalmar Union) ที่มีเดนมาร์กเป็นผู้นำ
เบื้องหลังการเจรจาร่วมระหว่างสวีเดน-เดนมาร์กกับฝรั่งเศสคือสนธิสัญญาลับที่แต่ละประเทศทำกับฝรั่งเศสและมีผลประโยชน์ที่ขัดกันเอง ประเด็นปัญหาที่คั่งค้างคาระหว่างสองประเทศที่สำคัญคือ ประเด็น แคว้น Holstein-Gottorp ที่สวีเดนให้การสนับสนุนในการทัดทานอำนาจของพระมหากษัตริย์เดนมาร์ก ทั้งๆ สถาบันพระมหากษัตริย์เดนมาร์กยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างใกล้ชิดกับราชวงศ์สวีเดน
ซึ่งสำหรับพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดแล้วทรงมองว่าการคุ้มครอง ดยุคแห่งโฮลสไตน์-โกทอป (Duke of Holstein-Gottorp) ถือเป็นเกียรติในการรักษาพันธะสัญญาที่มีมาก่อนหน้า อีกทั้งยังเป็นความคิดที่ทรงได้รับมาจากพระราชมารดาของพระองค์ด้วย แต่ความพยายามกระชับความสัมพันธ์กับเดนมาร์กต้องพังลงด้วยเหตุการณ์ร่วมสมัย คือ
1) การทำสนธิสัญญาค้าขายระหว่างสวีเดนกับเนเธอร์แลนด์ที่ยิ่งขัดต่อผลประโยชน์ของกันและกันและความไว้เนื้อเชื่อใจของเดนมาร์ก และ 2) การแต่งตั้ง Bengt Oxenstierna เป็นผู้ควบคุมการต่างประเทศ (Chancellor) หลังการเสียชีวิตของ Gyllenstierna ในปี ค.ศ.1681 เพราะหลังรับตำแหน่ง Oxenstierna ได้ดำเนินการให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
นอกจากการถอยห่างจากเดนมาร์กแล้ว นโยบายการต่างประเทศของ Oxenstierna ยังหมายถึงการถอยห่างจากฝรั่งเศสด้วย เขาเห็นว่านโยบายเชิงรุกของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่สร้างความไม่มั่นคงและความปั่นป่วนให้กับดุลอำนาจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเวลาที่สวีเดนต้องการรักษาสถานะภาพเดิม
ทั้งนี้ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเองก็ทรงไม่พอพระทัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เป็นทุนเดิมอยู่ก่อนตั้งแต่หลังสงครามในปี ค.ศ.1679 และทรงไม่พอพระทัยยิ่งขึ้นเมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ทรงเข้าควบคุมดินแดน Zweibrücken ที่สวีเดนกำลังอ้างสิทธิอยู่ และความสัมพันธ์ดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อเกิดความขัดแย้งที่พระองค์ถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระองค์ในปี ค.ศ.1686 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงเรียกทูตสวีเดนกลับและไม่ได้แต่งตั้งทูตใหม่ไปประจำอีก ถือเป็นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตลง นอกจากนี้ Oxenstierna ยังประสบความสำเร็จในการจำกัดบทบาทและโดดเดี่ยวทูตฝรั่งเศสในสวีเดนในช่วงปี ค.ศ.1682 อีกด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไชยันต์ ไชยพร
ในตอนนี้จะขอกล่าวถึงการปฏิรูปราชอาณาจักรสวีเดนหลังการสถาปานาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดต่อจากตอนที่แล้ว
สำหรับ กลุ่มอภิชน ได้มีการแต่งตั้งนายทหารและข้าราชการจำนวนมากเข้าสู่ฐานันดรอภิชน และการเลื่อนลำดับชั้นยศในกองทัพก็เน้นที่ความรู้ความสามารถและอายุราชการเป็นหลัก (meritocracy) กระนั้น อภิชนยังมีช่องทางพิเศษที่เอื้อให้สามารถเติบโตในราชการได้เร็วกว่าชนชั้นอื่น อย่างเช่นการรับราชการด้านอื่นแล้วโอนย้ายสังกัดมายังกองทัพ หรือการบรรจุรับราชการด้วยวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษา และอภิชนระดับสูงยังคงมีพื้นที่ในกองทัพและดำรงตำแหน่งระดับสูงในกองทัพ
อย่างไรก็ดี การเลื่อนลำดับชั้นของกลุ่มอภิชนที่กล่าวมานี้ก็ผสมไปกับปัจจัยด้านความรู้ความสามารถ และกองทัพก็เปิดกว้างให้แก่บุคคลหลากหลายภูมิหลัง ดังข้อมูลเปรียบเทียบที่ว่า หากก่อนหน้านั้น บุตรของอภิชนระดับสูงสามารถเป็นนายพันเอกได้ก่อนอายุ 30 ปีเป็นเรื่องปกติ แต่ในระหว่าง ค.ศ. 1682-1697 บรรดาบุตรของสมาชิกสภาบริหารในพระมหากษัตริย์ที่เข้ารับราชการในกองทัพจำนวน 62 คนนั้น มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่มีชั้นยศเป็นนายพันเอกก่อนอายุ 30 ปี
และขณะที่กลุ่มอภิชนเก่าสามารถมีพื้นที่ในกองทัพและมีสถานะความเป็นอยู่อย่างเหมาะสมพอประมาณ (modest aristocratic lifestyle) ได้ด้วยการรับราชการทหาร การปฏิรูปกองทัพก็เปิดช่องทางให้แก่อภิชนใหม่จำนวนมาก ดังข้อมูลที่ปรากฏว่าอภิชนใหม่ๆ รุ่นแรกมักส่งบุตรเข้ารับราชการทหาร ทั้งนี้ก็ด้วยเงื่อนไขหลักที่ว่า “ภายหลังปี ค.ศ.1680 การแต่งตั้งตำแหน่งทางทหารเป็นสิทธิอำนาจของพระมหากษัตริย์ และพระองค์ก็ทรงเอาใจใส่และคำนึงถึงความรู้ความสามารถเป็นหลัก”
ต่อไปจะขอกล่าวถึงประเด็นการสร้างความมั่นคงในการเมืองระหว่างประเทศระหว่าง ค.ศ. 1679-1686
บริบทการเมืองระหว่างประเทศในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจระหว่างมหาอำนาจและระหว่างรัฐต่าง ๆ การต่อสู้แข่งขันที่รุนแรงส่งผลให้รัฐยุโรปในช่วงเวลาก่อนยุคสมัยใหม่เป็นรัฐสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะมีความพยายามในการกำกับควบคุมการเมืองระหว่างประเทศผ่านกรอบกฎหมายหรือผ่านปทัสถานระหว่างประเทศก็ตาม
นโยบายระหว่างประเทศสวีเดนในช่วง ค.ศ. 1679-1686 มีสาระสำคัญคือการเปลี่ยนกลุ่มพันธมิตรโดยถอยห่างออกจากฝรั่งเศสพร้อมๆไปกับความลังเลที่จะเข้าร่วมมือในกิจการต่าง ๆที่ผูกมัดตัวเอง
พระมหากษัตริย์ในยุโรปศตวรรษที่ 17 เป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบายระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในกรณีของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด พระองค์ทรงคำนึงถึงลักษณะเฉพาะบางประการ อันได้แก่
1) กฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติของสวีเดนไม่ได้ให้พระราชอำนาจกษัตริย์เต็มที่ในเรื่องสงครามและการต่างประเทศ การทำสัตย์ปฏิญาณในพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ผูกมัดให้พระองค์ต้องปรึกษาหารือกับกลุ่มต่าง ๆ ในราชอาณาจักร สภาบริหารให้คำปรึกษาแก่องค์พระมหากษัตริย์จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และที่ที่ประชุมสภาฐานันดรก็จะต้องได้รับทราบกิจการระหว่างประเทศในหลักการและในรายละเอียดจาก ที่ประชุมของคณะกรรมาธิการลับ
2) ตัวพระองค์เองไม่ทรงมีความถนัดด้านการต่างประเทศ พระองค์ไม่ได้แสดงความสนใจด้านการต่างประเทศเท่ากับกิจการภายในราชอาณาจักร พระองค์ไม่ได้มีวิธีคิดและความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองของพันธมิตร พระองค์ให้ความสนใจกิจการระหว่างประเทศเท่าที่เป็นผลประโยชน์เฉพาะหน้าแก่ราชอาณาจักร อาจจะด้วยอุปสรรคทางด้านภาษา พระองค์ทรงตรัสได้แต่เพียงภาษาสวีดิชและเยอรมัน ทำให้ไม่สามารถเจรจากับคณะทูตต่างชาติได้ดี พร้อมกันนี้ ประสบการณ์สงครามของพระองค์ในช่วงปี ค.ศ.1675-1679 ทำให้พระองค์ทรงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสงครามตลอดช่วงปี ค.ศ.1679-1686
3) การเปลี่ยนตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบการต่างประเทศ (Chancellor) ส่งเสริม ให้การเปลี่ยนทิศทางนโยบายต่างประเทศมีความชัดเจนขึ้น นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1630 ฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรหลักของสวีเดนและกลุ่มอภิชนชั้นสูงต่างก็นิยมฝรั่งเศส พอถึงปี ค.ศ.1679 Johan Gyllenstierna นำพาสวีเดนถอยห่างจากฝรั่งเศสและหันไปเจรจาร่วมมือกับเดนมาร์ก และถัดจากนั้น Bengt Oxenstierna นำพาสวีเดนเข้าเป็นพันธมิตรกับเนเธอร์แลนด์ (United Provinces) และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1660 บรรดาชนชั้นปกครองของสวีเดนมีฉันทามติร่วมกันในการต่างประเทศ นั่นคือ การยอมรับว่าสวีเดนไม่สามารถเป็นมหาอำนาจที่สามารถทำการรุกขยายดินแดนได้เช่นเดิม แต่เป็นประเทศที่พึงพอใจในสถานะอำนาจของตนเอง มุ่งรักษาสถานะเดิม (status quo) ตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่ทำไว้ในปี ค.ศ.1648 และปี ค.ศ.1660 และหากเกิดสงคราม ก็จะมุ่งเป็นกลาง เพื่อรอจังหวะเข้าเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
แต่นอกเหนือไปจากหลักการแล้ว สวีเดนเผชิญกับทางเลือกในทางปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกมหาอำนาจเป็นพันธมิตร ฝรั่งเศส เป็นพันธมิตรมาแต่เดิมเนื่องจากไม่มีผลประโยชน์ทางตรงในทะเลบอลติก แต่ฝรั่งเศสก็ต้องการมีพันธมิตรในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งยังมีความสามารถในการถ่วงดุลอำนาจในพื้นที่เยอรมันทางตอนเหนือได้อีกด้วย ความนิยมฝรั่งเศสจึงยังคงมีอยู่ในหมู่ชนชั้นนำตลอดรัชสมัย
ขณะที่สวีเดนไม่สามารถเข้าเป็นพันธมิตรกับ ราชวงศ์แฮบสเบริก (Habsburg) เพราะจะขัดกับสถานะของสวีเดนที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองนิกายโปรเตสแตนท์ตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย และไม่สามารถเข้าเป็นพันธมิตรกับ เนเธอร์แลนด์ ได้ เพราะเนเธอร์แลนด์กับสวีเดนต่างแข่งขันกันในควบคุมการค้าในทะเลบอลติก
ขณะเดียวกัน การเมืองภายในส่งผลให้สวีเดนเปลี่ยนฝั่งพันธมิตร ในขั้นแรก Gyllenstierna (ผู้ที่คัดค้านและวิพากษ์การเข้าร่วมกับฝรั่งเศสมาก่อนตั้งแต่ปี ค.ศ.1672) ได้นำสวีเดนเข้าทำความร่วมมือกับ เดนมาร์ก โดยหวังว่าความร่วมมือระหว่างทั้งสองจะสามารถแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน และสามารถกันคู่แข่งภายนอกบริเวณทะเลบอลติกได้
สนธิสัญญาแห่งลุนด์ (Treaty of Lund) ในปี ค.ศ.1679 เป็นพื้นฐานความร่วมมือดังกล่าว
กระนั้น ความระแวงต่อกันระหว่างสองประเทศเป็นที่ชัดเจนและเป็นที่รับรู้ทั่วกัน พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเองก็ไม่เคยไว้วางใจเดนมาร์กในฐานะที่เป็นศัตรูกันมาตลอดเวลาในประวัติศาสตร์โดยเฉพาะในช่วงสงครามปลดแอกสวีเดนจากสหภาพคาลมาร์ (the Kalmar Union) ที่มีเดนมาร์กเป็นผู้นำ
เบื้องหลังการเจรจาร่วมระหว่างสวีเดน-เดนมาร์กกับฝรั่งเศสคือสนธิสัญญาลับที่แต่ละประเทศทำกับฝรั่งเศสและมีผลประโยชน์ที่ขัดกันเอง ประเด็นปัญหาที่คั่งค้างคาระหว่างสองประเทศที่สำคัญคือ ประเด็น แคว้น Holstein-Gottorp ที่สวีเดนให้การสนับสนุนในการทัดทานอำนาจของพระมหากษัตริย์เดนมาร์ก ทั้งๆ สถาบันพระมหากษัตริย์เดนมาร์กยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างใกล้ชิดกับราชวงศ์สวีเดน
ซึ่งสำหรับพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดแล้วทรงมองว่าการคุ้มครอง ดยุคแห่งโฮลสไตน์-โกทอป (Duke of Holstein-Gottorp) ถือเป็นเกียรติในการรักษาพันธะสัญญาที่มีมาก่อนหน้า อีกทั้งยังเป็นความคิดที่ทรงได้รับมาจากพระราชมารดาของพระองค์ด้วย แต่ความพยายามกระชับความสัมพันธ์กับเดนมาร์กต้องพังลงด้วยเหตุการณ์ร่วมสมัย คือ
1) การทำสนธิสัญญาค้าขายระหว่างสวีเดนกับเนเธอร์แลนด์ที่ยิ่งขัดต่อผลประโยชน์ของกันและกันและความไว้เนื้อเชื่อใจของเดนมาร์ก และ 2) การแต่งตั้ง Bengt Oxenstierna เป็นผู้ควบคุมการต่างประเทศ (Chancellor) หลังการเสียชีวิตของ Gyllenstierna ในปี ค.ศ.1681 เพราะหลังรับตำแหน่ง Oxenstierna ได้ดำเนินการให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
นอกจากการถอยห่างจากเดนมาร์กแล้ว นโยบายการต่างประเทศของ Oxenstierna ยังหมายถึงการถอยห่างจากฝรั่งเศสด้วย เขาเห็นว่านโยบายเชิงรุกของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่สร้างความไม่มั่นคงและความปั่นป่วนให้กับดุลอำนาจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเวลาที่สวีเดนต้องการรักษาสถานะภาพเดิม
ทั้งนี้ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเองก็ทรงไม่พอพระทัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เป็นทุนเดิมอยู่ก่อนตั้งแต่หลังสงครามในปี ค.ศ.1679 และทรงไม่พอพระทัยยิ่งขึ้นเมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ทรงเข้าควบคุมดินแดน Zweibrücken ที่สวีเดนกำลังอ้างสิทธิอยู่ และความสัมพันธ์ดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อเกิดความขัดแย้งที่พระองค์ถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระองค์ในปี ค.ศ.1686 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงเรียกทูตสวีเดนกลับและไม่ได้แต่งตั้งทูตใหม่ไปประจำอีก ถือเป็นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตลง นอกจากนี้ Oxenstierna ยังประสบความสำเร็จในการจำกัดบทบาทและโดดเดี่ยวทูตฝรั่งเศสในสวีเดนในช่วงปี ค.ศ.1682 อีกด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)