xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองภาคใต้แห่งยุคสมัย: ปฏิสัมพันธ์ของอุดมการณ์ ศักดิ์ศรี เครือข่าย และเงินตรา / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ภูมิทัศน์ทางการเมืองของภาคใต้ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นักการเมืองภาคใต้หลายจังหวัดในยุคปัจจุบันมีลักษณะ “สีเทา” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนชาวใต้อย่างน่าสนใจ


ในอดีต ประชาชนส่วนใหญ่มักเลือกพรรคการเมืองด้วยความยึดมั่นในอุดมการณ์และศักดิ์ศรี โดยอิทธิพลทางการเงินมีผลต่อการตัดสินใจไม่มากนัก แต่ในยุคปัจจุบัน กลับพบว่าประชาชนจำนวนมากได้ “วางศักดิ์ศรีลงที่พื้น” และ “ยื่นมือรับเงิน” จากนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์สีเทา ส่งผลให้กลุ่มคนที่ยังคงยืนหยัดในอุดมการณ์ดั้งเดิมกลับรู้สึกอับอายและถูกทอดทิ้ง

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนชาวใต้ โดยพิจารณาทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และเศรษฐศาสตร์การเมือง เพื่อให้เข้าใจถึงรากเหง้าและนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างลึกซึ้ง

ในบริบททางประวัติศาสตร์การเมืองไทย ภาคใต้เคยได้รับการพิจารณาว่าเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะโดดเด่นด้านอุดมการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังเหตุการณ์ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งสังเกตได้ว่าประชาชนในหลายจังหวัดทางภาคใต้ได้แสดงแนวโน้มในการให้ความสำคัญกับ “พรรคการเมือง” ในฐานะสถาบันทางการเมือง มากกว่า “ตัวบุคคล” ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการยึดมั่นในหลักการและนโยบายของพรรคเป็นสำคัญ

พรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของปรากฏการณ์นี้ โดยสามารถธำรงรักษาฐานเสียงที่แข็งแกร่งในแทบทุกจังหวัดของภาคใต้ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าองค์ประกอบของผู้สมัครรับเลือกตั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวาระ แต่ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของพรรคยังคงได้รับการยอมรับจากฐานผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ

ที่ชัดเจนคือในการเลือกตั้งหลายครั้งในอดีต แม้ผู้สมัครหน้าใหม่ที่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญ เพียงเพราะ “ชื่อพรรค” เป็นที่ยอมรับและผูกโยงกับความเชื่อมั่นของประชาชน

มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ประชาชนในภาคใต้ในอดีตเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ปัจจัยแรกคือโครงสร้างและวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของภาคใต้ในห้วงเวลานั้น ซึ่งประกอบด้วย

1.อัตลักษณ์ทางภูมิภาคและแนวคิดการต่อต้านอำนาจนิยม การเมืองของภาคใต้มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงจิตวิญญาณการต่อต้านอำนาจรวมศูนย์และการปกครองแบบเผด็จการ ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้ได้หล่อหลอมให้ประชาชนภาคใต้มีค่านิยมทางการเมืองที่เน้นการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบอำนาจรัฐ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงแรกของการก่อตั้งนำเสนอแนวคิดเสรีประชาธิปไตย การกระจายอำนาจ และการต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจของรัฐ จึงได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนภาคใต้ที่มีวิสัยทัศน์การเมืองสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว
 
ความไม่ไว้ใจต่อรัฐรวมศูนย์ของชาวใต้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของอดีต แต่ยังคงมีความหมายในบริบทร่วมสมัย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้อำนาจรัฐอย่างกดขี่หรือไม่โปร่งใส ภาคใต้มักจะแสดงออกถึงการต่อต้านผ่านกลไกทางการเมืองการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ดีผ่านการวางตำแหน่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เสนอทางเลือกให้กับผู้มีอำนาจ

2. อิทธิพลของวัฒนธรรมชุมชนที่เน้นย้ำคุณค่าของเกียรติยศและความซื่อสัตย์ สังคมภาคใต้มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณลักษณะของความซื่อตรง (integrity) ศักดิ์ศรี (dignity) และการรักษาคำมั่นสัญญา (commitment) ซึ่งคุณค่าเหล่านี้ได้ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกตั้ง โดยโน้มเอียงไปสู่การสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีความมั่นคงในหลักการและอุดมการณ์ มากกว่าการพิจารณาจากผลประโยชน์เฉพาะหน้าในระยะสั้น

ในอดีต การกล่าวหาเรื่องการทุจริตหรือการผิดคำพูดของนักการเมืองในภาคใต้อาจส่งผลกระทบต่อความนิยมและการสนับสนุนอย่างรุนแรง แม้ว่านักการเมืองผู้นั้นจะมีฐานเสียงส่วนตัวที่เข้มแข็งก็ตาม การให้ความสำคัญกับ “คำไหนคำนั้น” และการรักษา “เกียรติ” ของวงศ์ตระกูล มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกผู้แทนที่ประชาชนเชื่อว่าจะดำรงตนอย่างมีศักดิ์ศรีและซื่อสัตย์ต่อผลประโยชน์ส่วนรวม

3. สภาวะการแข่งขันทางการเมืองที่ไม่ถูกครอบงำโดยปัจจัยทางทุนนิยมอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงเวลาดังกล่าว กลไกการแข่งขันทางการเมืองยังมิได้ถูกกำหนดโดยอำนาจของเงินทุนเป็นปัจจัยชี้ขาดหลัก ทำให้พรรคการเมืองที่นำเสนออุดมการณ์ที่ชัดเจนและนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของความน่าเชื่อถือและนโยบายสาธารณะ

การเลือกตั้งในอดีต เราอาจพบว่าผู้สมัครจากพรรคที่มีอุดมการณ์ชัดเจน สามารถชนะการเลือกตั้งได้ แม้จะมีคู่แข่งที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ร่ำรวยกว่าและสามารถใช้ทรัพยากรทางการเงินในการหาเสียงได้อย่างกว้างขวางกว่า การเน้นย้ำนโยบายที่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของท้องถิ่น และการสร้างความไว้วางใจผ่านการทำงานอย่างต่อเนื่อง มีความสำคัญมากกว่าการทุ่มเงินเพื่อซื้อเสียงหรือสร้างอิทธิพลทางการเงิน

4. การต่อต้านอิทธิพลภายนอกระบบและกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะ ประชาชนในภาคใต้มีประวัติศาสตร์ของการแสดงออกถึงการต่อต้านกลุ่มผู้มีอิทธิพลนอกระบบ (extra-systemic influence) ทุนสีเทา (grey capital) หรือกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการรักษากลไกการทำงานของระบบการเมืองบนพื้นฐานของความชอบธรรมและความโปร่งใส

การเคลื่อนไหวทางสังคมและการประท้วงในอดีตหลายครั้งในภาคใต้ มีเป้าหมายเพื่อต่อต้านการเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือกลุ่มอิทธิพลที่ใช้อำนาจนอกกฎหมายในการควบคุมการเมืองท้องถิ่น การให้ความสำคัญกับหลักการ "หนึ่งสิทธิ์ หนึ่งเสียง" และการไม่ยอมจำนนต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรม เป็นลักษณะเด่นของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในภูมิภาคนี้

นอกจากปัจจัยด้านโครงสร้างและวัฒนธรรมแล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกประการคือ อัตลักษณ์และบทบาทของพรรคและนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีประเด็นสำคัญดังนี้
1.การสร้างการเมืองแห่งอัตลักษณ์ “ประชาธิปัตย์คือเรา” ในระบบการเมืองแบบรัฐเดี่ยวที่มีลักษณะรวมศูนย์อย่างไทย เสียงจากภูมิภาคมักถูกลดทอนหรือกลืนกลายไปกับ “วาระแห่งชาติ” ที่กำหนดจากส่วนกลาง การที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถสถาปนาตนเองเป็น “ตัวแทนทางการเมืองของภาคใต้” ได้ จึงเป็นการสร้าง “การเมืองแห่งอัตลักษณ์” (Politics of Identity) ที่ทรงพลัง

การมีผู้นำพรรคอย่างนายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นคนใต้โดยกำเนิด ไม่เพียงเป็นการยืนยันตัวตนของภาคใต้ในระดับชาติ แต่ยังกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งความภูมิใจ” ของชาวใต้ที่รู้สึกว่าคนในพื้นที่ของตนสามารถก้าวขึ้นไปมีบทบาทในระดับประเทศได้โดยไม่ต้องยอมจำนนต่ออำนาจส่วนกลาง

แนวคิดเรื่อง “การเป็นตัวแทน” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นตัวแทนในเชิงกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแทนค่าทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชุมชน (symbolic representation) พรรคประชาธิปัตย์แสดงบทบาทนี้ผ่าน การใช้ภาษาท้องถิ่นในเวทีหาเสียง การแต่งกายและบุคลิกภาพของผู้นำพรรคที่สะท้อน “ความเรียบง่าย” แบบชาวใต้ การสื่อสารด้วยน้ำเสียงและภาษาที่เป็นมิตรใกล้ชิดกับชุมชน สิ่งเหล่านี้กลายเป็น “วัฒนธรรมทางการเมืองเฉพาะถิ่น” ที่ทำให้ประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพียงพรรคการเมืองระดับชาติ แต่คือ “พรรคของพวกเรา” ในสายตาของคนใต้

2. เครือข่ายทางการเมืองที่ฝังรากลึกและระบบอุปถัมภ์ระดับท้องถิ่น ความสำเร็จของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเพียงปัจจัยเชิงอุดมการณ์เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงระบบเครือข่ายทางการเมืองที่สร้างขึ้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายทศวรรษ พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างสรรค์เครือข่ายการเมืองระดับท้องถิ่นที่มีลักษณะของระบบอุปถัมภ์ ผ่านการดำเนินงานของอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำท้องถิ่น และนักการเมืองระดับจังหวัดที่มีบทบาทเป็น “ตัวกลาง” ระหว่างประชาชนกับรัฐ

เครือข่ายเหล่านี้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงบริการสาธารณะ การแก้ไขปัญหาส่วนบุคคล และการเป็นตัวแทนในการต่อรองกับหน่วยงานรัฐ ตัวอย่างที่เด่นชัดของเครือข่ายการเมืองประเภทนี้ คือการมีอิทธิพลของตระกูลการเมืองในแต่ละจังหวัด เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี “ตระกูลพริ้งศุลกะ” ตระกูลการเมืองที่ครองตำแหน่ง ส.ส.เขตของสุราษฎร์หลายสมัย และ นครศรีธรรมราช ก็มี “ตระกูลบุณยเกียรติ” อย่างชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีตส.ส.เขตหลายสมัยและมีบทบาทสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์

ระบบเครือข่ายดังกล่าวช่วยสร้างความต่อเนื่องของการสนับสนุนทางการเมือง เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำการเมืองกับประชาชนไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของนโยบายหรือแนวคิดเท่านั้น แต่รวมถึงความสัมพันธ์เชิงบุคคลและการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม

3. การใช้วาทกรรมต่อต้านทุนนิยมพรรคพวกและการต่อต้านประชานิยม ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การเมืองไทยด้วยการเกิดขึ้นของกระแสประชานิยมและการเมืองแบบไทยรักไทย ได้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ปรับกลยุทธ์โดยการใช้วาทกรรมต่อต้านระบอบที่ถูกนิยามว่าเป็น “ทุนผูกขาด” หรือ “เครือข่ายอุปถัมภ์ที่บิดเบือนประชาธิปไตย” วาทกรรมนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนภาคใต้เนื่องจากหลายเหตุผล

ประการแรก ภาคใต้ในฐานะพื้นที่ที่มีฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและไม่พึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐมากนัก จึงไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยมแบบการแจกเงินหรือการให้สวัสดิการโดยตรงเท่าที่ควร ในขณะที่ต้องแบกรับภาระภาษีเพื่อสนับสนุนนโยบายเหล่านั้น

ประการที่สอง วาทกรรมต่อต้านทุนนิยมพรรคพวกสอดคล้องกับค่านิยมทางการเมืองของชาวใต้ที่เน้นความยุติธรรม ความโปร่งใส และการได้มาซึ่งอำนาจผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง ไม่ใช่ผ่านการใช้เงินหรืออิทธิพลในทางที่ผิด

ประการที่สาม การที่พรรคประชาธิปัตย์วางตำแหน่งตนเองเป็นผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยและสถาบันชาติ สร้างความรู้สึกภาคภูมิใจและความมั่นใจให้กับประชาชนที่เห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีจิตสำนึกทางการเมืองที่ถูกต้อง

ประการที่สี่ ความรู้สึกถูก “ละเลย” จากนโยบายประชานิยม เพราะนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในขณะนั้น มุ่งเน้นการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปยังกลุ่มฐานเสียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือเป็นหลัก ประชาชนในภาคใต้จำนวนมากมองว่าตนไม่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากนโยบายเหล่านี้ และรู้สึกว่าถูก “ละเลย” หรือถูก “มองข้าม” จากรัฐบาล การนำเสนอ “ระบอบทักษิณ” ในฐานะที่เป็น “ศัตรูร่วม” ได้ช่วยระดมฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่รู้สึกว่าถูก “ละเลย” หรือถูก “คุกคาม” จากรัฐบาลในขณะนั้น

ประการที่ห้า นโยบายประชานิยมและรูปแบบการบริหารราชการของรัฐบาลในขณะนั้น ถูกมองว่าเป็นการสร้าง “วัฒนธรรมการเมือง” แบบใหม่ที่เน้นการใช้เงินและอำนาจเพื่อสร้างความนิยม ซึ่งขัดแย้งกับค่านิยมดั้งเดิมของสังคมภาคใต้ที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมและภาวะผู้นำ ประชาชนในภาคใต้บางส่วนมีความกังวลต่ออิทธิพลของกลุ่มทุนทางการเมืองที่อาจเข้ามาครอบงำระบบการเมืองและบิดเบือนหลักการประชาธิปไตย การที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคที่ต่อต้าน “ทุนนิยมพรรคพวก” จึงได้รับการตอบรับจากผู้ที่ต้องการปกป้องระบบการเมืองจากอิทธิพลเหล่านี้

กล่าวโดยสรุป การเมืองภาคใต้ในอดีตมีลักษณะที่โดดเด่นจากภูมิภาคอื่น คือการที่ประชาชนให้ความสำคัญกับ “พรรคการเมือง” มากกว่า “ตัวบุคคล” และยึดมั่นในอุดมการณ์และศักดิ์ศรีเป็นหลัก ชาวใต้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณการต่อต้านอำนาจนิยมและการปกครองแบบเผด็จการ พรรคประชาธิปัตย์จึงสามารถรักษาฐานเสียงที่แข็งแกร่งในภาคใต้ได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสอดคล้องกับค่านิยมของชาวใต้ที่เน้นความซื่อตรง ศักดิ์ศรี และการรักษาคำมั่นสัญญา

 อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์การเมืองที่เคยมั่นคงนี้กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นักการเมืองภาคใต้หลายจังหวัดในยุคปัจจุบันมีลักษณะ “สีเทา” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้เริ่มปรากฏชัดเจนในการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่แสดงให้เห็นถึงการสลายตัวของรูปแบบการเมืองดั้งเดิมและการเกิดขึ้นของพลวัตทางการเมืองแบบใหม่ในภาคใต้ที่จำเป็นต้องได้รับการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งเพื่อทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยร่วมสมัยต่อไป

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)






กำลังโหลดความคิดเห็น