"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
สัปดาห์นี้เดินทางมาถึงปัจฉิมบทของบทความเรื่องการทับซ้อนและพลวัตของการเมืองสามรูปแบบในสังคมไทย: ชนชั้นนำ บ้านใหญ่ และพลเมือง สัปดาห์ที่แล้วเรากล่าวถึงกระบวนการเปลี่ยนผ่านของการเมืองจากการเมืองแบบชนชั้นนำและบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองแบบพลเมืองใน 3 มิติคือ สังคมพลเมือง สังคมการเมือง หลักนิติธรรม สำหรับในสัปดาห์นี้จะอรรถาธิบายถึงอีก 2 มิติที่เหลือ อันได้แก่ ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ และสังคมเศรษฐกิจ และความท้าทายของกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของไทย
ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
ประชาธิปไตยที่มีความเป็นสถาบันจำเป็นต้องมีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ เป็นมืออาชีพ และเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งสามารถให้บริการสาธารณะและนำนโยบายไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองแบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมือง เนื่องจากจะช่วยลดการพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ในการเข้าถึงบริการสาธารณะและทรัพยากรของรัฐ
ในสังคมไทย มีการปฏิรูประบบราชการไทยนับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา โดยเฉพาะภายใต้แผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐที่เริ่มต้นในปี 2540 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 การปฏิรูปดังกล่าวมีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและโครงสร้างของระบบราชการไทย โดยเน้นการพัฒนาความเป็นมืออาชีพ ประสิทธิภาพในการให้บริการ และการบริหารจัดการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการพัฒนาระบบการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) และการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ซึ่งช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและโอกาสในการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ การปรับปรุงเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการลดโอกาสสำหรับการแทรกแซงของระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นในการให้บริการของรัฐ
นอกจากนั้นก็ได้มีความพยายามในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งเริ่มต้นอย่างเป็นทางการหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 การกระจายอำนาจได้เพิ่มบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดบริการสาธารณะและการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งช่วยให้การบริการสาธารณะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสสำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจในระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเมืองพลเมือง
อย่างไรก็ตาม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนมากยังคงถูกครอบงำโดยกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นและเครือข่ายการเมืองแบบบ้านใหญ่ และหน่วยงานราชการส่วนกลางจำนวนมากก็พยายามที่จะรักษาอำนาจของตนเองไว้อย่างเหนียวแน่นและถ่วงรั้งการกระจายอำนาจเอาไว้
ปรากฎการณ์ที่สำคัญอีกอย่างคือ การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในระบบราชการไทยเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการภาครัฐ โดยเน้นหลักความโปร่งใส ความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วม และความคุ้มค่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้กำหนดแนวทางสำหรับการนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ได้ส่งผลให้เกิดการปรับปรุงในหลายด้าน เช่น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบราชการในประเทศไทยยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ
ประการแรก วัฒนธรรมองค์กรในระบบราชการไทยยังคงมีลักษณะของการรวมศูนย์อำนาจ ระบบอาวุโส และความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ลักษณะดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการปรับเปลี่ยนไปสู่วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นผลสัมฤทธิ์ ความเป็นมืออาชีพ และการบริการประชาชน แม้จะมีการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างและกระบวนการ แต่วัฒนธรรมองค์กรในระบบราชการไทยยังคงเปลี่ยนแปลงช้ากว่าที่ควร ซึ่งส่งผลให้การปฏิรูปในหลายกรณีเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบมากกว่าในเนื้อหาสาระ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ในระบบราชการยังคงเป็นช่องทางที่กลุ่มอำนาจแบบบ้านใหญ่และเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นใช้ในการเข้าถึงและแทรกแซงการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ
ประการที่สอง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการไทยยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ แม้จะมีความพยายามในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างต่อเนื่อง การทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการไม่เพียงแต่ลดประสิทธิภาพของการบริการสาธารณะ แต่ยังเป็นช่องทางที่กลุ่มทุนและเครือข่ายการเมืองใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์และรักษาอิทธิพลในโครงสร้างอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจและระบบอุปถัมภ์ในสังคม ทำให้การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยการปฏิรูปในหลายมิติ ทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการตรวจสอบ การสร้างวัฒนธรรมแห่งความโปร่งใสและความรับผิดชอบ และการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
ประการที่สาม ความไม่เป็นกลางทางการเมืองของระบบราชการไทย เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง ในหลายกรณี ระบบราชการถูกมองว่ามีความเอนเอียงทางการเมืองและถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมของการดำเนินงานของรัฐ
ความไม่เป็นกลางทางการเมืองของระบบราชการไทยมีรากฐานมาจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างข้าราชการ นักการเมือง และสถาบันอื่น ๆ ในสังคมไทย รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการเชื่อฟังผู้มีอำนาจมากกว่าการยึดหลักการและความถูกต้อง ความไม่เป็นกลางดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาระบบราชการที่ให้บริการประชาชนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
กล่าวได้ว่าระบบราชการไทยยังอยู่ในวังวนของปัญหาโครงสร้างอำนาจแบบสั่งการ ความไม่โปร่งใสในกระบวนการทำงาน ระบบอุปถัมภ์และการแทรกแซงทางการเมือง ประสิทธิภาพที่ไม่เพียงพอ การให้บริการที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่เหมาะสม ปัญหาเหล่าส่งผลให้เกิดการสูญเสียความไว้วางใจของประชาชนต่อภาครัฐ การลดลงของการมีส่วนร่วมทางการเมือง และความอ่อนแอของสถาบันประชาธิปไตยโดยรวม
สังคมเศรษฐกิจ
ประชาธิปไตยที่มีความเป็นสถาบันจำเป็นต้องมีสังคมเศรษฐกิจที่มีกลไกตลาดที่เสรีแต่มีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม และมีการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรม เศรษฐกิจที่มั่นคงและเป็นธรรมจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสนับสนุนเสถียรภาพของประชาธิปไตย ในบริบทของการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองแบบชนชั้นนำและแบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมือง โครงสร้างเศรษฐกิจมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากระบบชนชั้นนำและบ้านใหญ่มักตั้งอยู่บนพื้นฐานของการผูกขาดทรัพยากรทางเศรษฐกิจและการควบคุมโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับชาติและท้องถิ่น
ในสังคมไทย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบสำคัญต่อระบบการเมืองแบบชนชั้นนำและแบบบ้านใหญ่
ประการแรก การเติบโตของภาคธุรกิจ การศึกษา และเทคโนโลยีได้สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่นอกเหนือไปจากโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวช่วยลดการพึ่งพาระบบอุปถัมภ์แบบดั้งเดิมและสร้างชนชั้นกลางที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจนอกภาคเกษตรและการขยายตัวของการศึกษาในประเทศไทยได้สร้างกลุ่มชนชั้นกลางที่มีความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจและมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องสิทธิและการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการเมืองพลเมืองในระยะยาว
ประการที่สอง การกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจในประเทศไทยได้มีพัฒนาการที่สำคัญ แม้จะยังไม่เท่าเทียมกันในทุกภูมิภาคและทุกกลุ่มประชากร การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งทุน และการพัฒนาตลาดในภูมิภาคต่าง ๆ ได้เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ชนบทและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย การพัฒนาเศรษฐกิจในชนบทไทยได้สร้างกลุ่มชนชั้นกลางในชนบทที่มีความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์แบบดั้งเดิม กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องสิทธิและการมีส่วนร่วมทางการเมือง รวมถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมืองท้องถิ่นและเครือข่ายบ้านใหญ่
ประการที่สาม การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้นำไปสู่การปรับปรุงกฎระเบียบและการกำกับดูแลที่สำคัญในหลายภาคส่วน การปฏิรูปดังกล่าวรวมถึงการปรับปรุงระบบการเงินและการธนาคาร การกำกับดูแลบรรษัทภิบาล และการป้องกันการผูกขาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น
การปฏิรูปเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้ช่วยลดการผูกขาดและการแสวงหาผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางการเมืองในบางภาคส่วน แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์และยังคงมีช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย การปฏิรูปดังกล่าวมีความสำคัญต่อการลดการพึ่งพาระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายการเมืองในการดำเนินธุรกิจและการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสังคมเศรษฐกิจในประเทศไทยยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ
ประการแรก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งในแง่ของรายได้ ทรัพย์สิน และโอกาสทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาการเมืองพลเมืองที่เข้มแข็ง เนื่องจากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสยังคงต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นในการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่มทุนและเครือข่ายการเมืองที่มีอำนาจมักมีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ
ประการที่สอง ระบบเศรษฐกิจไทยยังคงมีปัญหาในเรื่องของการผูกขาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในหลายภาคส่วน การผูกขาดดังกล่าวมักเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจการเมืองและกลุ่มทุนที่มีความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งส่งผลให้การแข่งขันทางเศรษฐกิจไม่เป็นธรรมและเปิดโอกาสให้กับการแสวงหาผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางการเมือง แม้จะมีการปรับปรุงกฎหมายและการกำกับดูแลในหลายภาคส่วน แต่การบังคับใช้กฎหมายยังคงมีข้อจำกัด และกลุ่มทุนที่มีอำนาจยังคงสามารถใช้อิทธิพลทางการเมืองในการรักษาสถานะการผูกขาดและได้รับสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจ การผูกขาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเป็นธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเมืองพลเมือง
ประการที่สาม โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเปราะบางในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความเปราะบางดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและแรงงานนอกระบบ ยังคงต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างกระตือรือร้นและต่อเนื่อง แม้จะมีความท้าทายดังกล่าว แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเติบโตของภาคธุรกิจและการศึกษา การกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ และการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ได้สร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองแบบชนชั้นนำและการเมืองแบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมือง
ความท้าทายและทิศทางในอนาคตของการเปลี่ยนผ่าน
แม้สังคมไทยจะมีพัฒนาการที่สำคัญในหลายด้าน แต่การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวยังคงเป็นกระบวนการที่ไม่สมบูรณ์และเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ
ประการแรก ความเข้มแข็งของฐานอำนาจเดิมยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่าน กลุ่มชนชั้นนำและบ้านใหญ่ ที่มีเครือข่ายการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นยังคงมีทรัพยากรและเครือข่ายที่เข้มแข็ง และสามารถปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ได้โดยไม่สูญเสียฐานอำนาจ พวกเขาได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการใช้อำนาจแบบดั้งเดิมไปสู่การใช้กลไกทางเศรษฐกิจและการเมืองสมัยใหม่ในการรักษาและขยายอิทธิพล เช่น การควบคุมธุรกิจและการลงทุนในท้องถิ่น การใช้ระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง และการสร้างเครือข่ายในภาคประชาสังคมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การปรับตัวของกลุ่มชนชั้นนำและบ้านใหญ่เป็นความท้าทายสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเมืองพลเมือง เนื่องจากการปรับตัวดังกล่าวทำให้การแยกแยะระหว่างการเมืองแบบดั้งเดิมกับการเมืองสมัยใหม่เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น และกลุ่มชนชั้นนำและบ้านใหญ่สามารถใช้กลไกประชาธิปไตยในการสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจและอิทธิพลของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิผลไม่น้อยทีเดียว
ประการที่สอง ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาสังคมพลเมืองที่เข้มแข็ง ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวครอบคลุมหลายมิติ ทั้งในแง่ของรายได้และทรัพย์สิน การเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณะ และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้โอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเข้าถึงกระบวนการตัดสินใจสาธารณะมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างกลุ่มประชากรและพื้นที่ต่าง ๆ
ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมีรากฐานที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจและระบบอุปถัมภ์ ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยการปฏิรูปในหลายมิติ ทั้งการกระจายรายได้และทรัพย์สิน การปฏิรูประบบภาษีและสวัสดิการ การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทักษะ และการส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง
ประการที่สาม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยมที่ฝังรากลึกในสังคมไทย โดยเฉพาะวัฒนธรรมอุปถัมภ์และการพึ่งพาผู้นำที่เข้มแข็ง ยังคงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของคนจำนวนมาก วัฒนธรรมดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมืองแบบมีส่วนร่วมและการสร้างความรับผิดชอบทางการเมือง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเมืองพลเมือง วัฒนธรรมทางการเมืองไทยมีลักษณะของการยอมรับความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์และการเคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจ ซึ่งมีรากฐานมาจากโครงสร้างสังคมและประวัติศาสตร์การเมืองไทย
วัฒนธรรมดังกล่าวทำให้การพัฒนาความเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นไปได้ยาก และในหลายกรณี ประชาชนยังคงมองตนเองในฐานะผู้รับบริการหรือผู้พึ่งพามากกว่าในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิและความรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่สำคัญหลายประการที่อาจส่งผลเชิงบวกต่อการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองแบบชนชั้นนำและแบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมืองในอนาคต
ประการแรก การเติบโตของสื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ ๆ ได้สร้างพื้นที่สาธารณะแบบใหม่ที่ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และรวมตัวกันได้โดยไม่ต้องผ่านระบบอุปถัมภ์แบบเดิม พื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างการเมืองภาคพลเมืองที่นอกเหนือไปจากโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม สื่อสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการระดมพลังมวลชนในประเทศไทย
โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีศักยภาพในการสร้างพลเมืองที่มีความตื่นตัวและมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น รวมถึงการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรข้ามพื้นที่และข้ามกลุ่มสังคม ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาการเมืองพลเมืองในระยะยาว
ประการที่สอง การเติบโตของการศึกษาและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้สร้างประชากรที่มีความตระหนักรู้ทางการเมืองและมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องสิทธิและการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีศักยภาพในการสร้างพลเมืองที่มีความเป็นอิสระทางความคิดและไม่ยอมรับความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์แบบดั้งเดิม
การเมืองของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยมีลักษณะที่แตกต่างไปจากการเมืองแบบดั้งเดิม โดยเน้นการมีส่วนร่วมทางตรง การแสดงออกทางการเมืองผ่านวัฒนธรรมและศิลปะ และการเคลื่อนไหวในประเด็นที่หลากหลาย เช่น สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ และสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีศักยภาพในการสร้างการเมืองพลเมืองที่กระตือรือร้นและหลากหลายมากขึ้นในอนาคต
ประการที่สาม การปฏิรูปกฎหมายและสถาบันทางการเมืองในประเทศไทย แม้จะยังไม่สมบูรณ์และเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่ได้สร้างกรอบสำหรับการพัฒนาการเมืองที่เปิดกว้างและมีความรับผิดชอบมากขึ้น การปฏิรูปดังกล่าวรวมถึงการพัฒนากลไกตรวจสอบการใช้อำนาจ การส่งเสริมความโปร่งใสและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของรัฐ และการเพิ่มโอกาสสำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ
การปฏิรูปสถาบันและกระบวนการทางการเมืองในประเทศไทย แม้จะมีข้อจำกัดและความไม่ต่อเนื่อง แต่ได้สร้างช่องทางและโอกาสสำหรับการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การปฏิรูปดังกล่าวมีศักยภาพในการสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาการเมืองพลเมืองที่เข้มแข็งในระยะยาว หากได้รับการพัฒนาและต่อยอดอย่างต่อเนื่อง
กล่าวโดยสรุป การเปลี่ยนผ่านจากการเมืองแบบชนชั้นนำและแบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมืองในสังคมไทยเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต้องการการพัฒนาในหลายมิติ การเปลี่ยนผ่านที่สมบูรณ์จำเป็นต้องมีการพัฒนาทั้งห้าด้านไปพร้อมกัน ได้แก่ สังคมพลเมืองที่เข้มแข็ง สังคมการเมืองที่เปิดกว้างและมีความรับผิดชอบ หลักนิติธรรมที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้ ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และสังคมเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเป็นธรรม การพัฒนาดังกล่าวยังคงเป็นเป้าหมายระยะยาวสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย