ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยเปรี้ยงลงมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ให้ “พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง” หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เฉพาะในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษและรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญไม่น้อยใน “คดีฮั้วเลือกตั้ง สว.” ระหว่าง “สายสีน้ำเงิน” กับ “สายสีแดง”
เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ “สายสีน้ำเงิน” กลับมาเป็นต่ออีกครั้งหลังเจอเกมรุกหนักจาก กกต.และดีเอสไอที่ออกหมายเรียก “สว.สายสีน้ำเงิน” ล็อตแรก 54 คน รับทราบข้อกล่าวหาว่าได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ทำให้การเลือก สว. ปี 2567 มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือ “มาโดยการฮั้ว”
แถมกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ “เล่นใหญ่” ด้วยการนำ “หมายเรียก” ไปแปะหน้าบ้าน สว.อย่างน้อย 6 คนคือนายอลงกต วรกี นายโชคชัย กิตติธเนศวรนายจิระศักดิ์ ชูความดี นายพิบูลย์อัฑฒ์ หฤหรรษ์ปราการ นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร และนายพิศูจน์ รัตนวงศ์ จนสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ถึงกับต้องออกปากว่า “เกินเบอร์” เพราะปกติ ฝ่ายสืบสวนก็เคยมีหมายเรียกแบบนี้ เป็นพัน เป็นหมื่นราย ก็ใช้ส่ง จม. ลงทะเบียนถึงผู้ถูกเรียกเท่านั้น
ทั้งนี้ เอกสารเผยแพร่ของศาลรัฐธรรมนูญที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 อธิบายขยายความเอาไว้ชัดเจนว่า “ผู้ถูกร้องที่ 2 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่และอำนาจในการสั่งและปฏิบัติราชการในฐานะผู้บังคับบัญชาข้าราชการกระทรวงยุติธรรมอันรวมไปถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามคำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ ปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 มีกรณีตามที่ถูกร้อง...”
แปลไทยเป็นไทยถึงคำว่า “ปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 มีกรณีตามที่ถูกร้อง” ก็คือ มีการใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็น ฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม
ที่สำคัญเป็นคำสั่งที่ต้องถือเป็น “สัญญาณอันไม่ธรรมดา” เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า พ.ต.อ.ทวีนั้นคือสายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันที่ทำงานในคดีนี้อย่างแข็งขัน คล้ายๆ กับ “คดีป่วยทิพย์ ชั้น 14” ของอดีตนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองรับมาดำเนินการเอง
นอกจากนั้นยังถือเป็นคำสั่ง “อัมพฤกษ์” มิใช่ “อัมพาต” ดังที่ “เสี่ยเต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี บอกว่า “พูดบ้านๆ คือ ที่แล้วมาสั่งให้เป็นอัมพาต หยุดเต็มตัวเต็มตำแหน่ง แต่คราวนี้สั่ง รมว.ยุติธรรมให้เป็นอัมพฤกษ์ เคลื่อนไหวไม่ได้เป็นบางส่วน”
หรือจะเรียกว่าเป็นบรรทัดฐานใหม่ก็ว่าได้ เพราะไม่เคยมีคดีเหมือนกับกรณี พ.ต.อ.ทวีมาก่อน
ขณะที่เจ้าตัวคือ “พ.ต.อ.ทวี” ก็ให้สัมภาษณ์ไปในเชิงบวกกับตัวเองว่า “ขอสงวนไม่พูดในรายละเอียด โดยส่วนตัวมองว่าคำสั่งดังกล่าวส่งผลในทางบวก เพราะทำให้ทุกฝ่ายสบายใจในเรื่องกระบวนการสอบสวนคดีฮั้ว สว. รวมทั้งมองว่ายิ่งเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านนิติธรรมและความโปร่งใส โดยปกติแล้วรัฐมนตรีไม่สามารถที่จะแทรกแซงกระบวนการสอบสวนคดีได้อยู่แล้ว คดีจะเดินหน้าหรือถอยหลังไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรี เพราะกระบวนการเป็นไปตามกฎหมายและพนักงานสอบสวนก็มีความเป็นอิสระ ส่วนตัวก็ไม่เคยคุยกับ กกต. และไม่เคยเข้ามาแทรกแซงอะไรในกระบวนการสอบสวนคดีนี้ ซึ่งหลังจากนี้ตนก็เตรียมทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามขั้นตอนต่อไป”
ส่วน “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร” หนึ่งในสว.ที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “เขาคงเห็นว่าการออกมาแหกปากให้สังคมเกลียดชัง สว. มันไม่ชอบ ถ้ามีของจริง ไม่ต้องไปแหกปากหรอก เดี๋ยวเจอคิดบัญชีแน่”
พร้อมตอบคำถามกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรียกไปชี้แจงว่า “ขอถามว่า กกต.ไหน ชุดใหญ่หรืออนุ กกต. ที่กเฬวราก กกต.ชุดใหญ่มีหลักในการพิจารณา แต่อนุ กกต.ที่อยู่ภายใต้การกำกับของดีเอสไอ ถ้าเอาสิ่งที่ไม่เป็นธรรมเข้ามา แล้วมาเรียก สว. มันชอบทำ มันเป็นกลางหรือ มันเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ จิตใจบริสุทธิ์พอที่จะเรียกหรือไม่”
เป็นคำตอบที่ดุเดือดเลือดพล่านชนิด “ฉุดไม่อยู่” จริงๆ
ไม่รู้ว่า พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ พุ่งเป้าไปที่ใคร แต่ก็รับรู้โดยถ้วนทั่วว่า เป็นปฏิบัติการร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่สำนักงาน กกต. และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้กลไกคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ที่มี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธาน
ขณะเดียวกันคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญคงทำให้ “พ.ต.อ.ยุทธนา แพรดำ” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หนาวๆ ร้อนๆ อยู่ไม่น้อย เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่า จะมีสว.รายใดไปขยายความฟ้องร้องลามไปถึงตนเองหรือไม่ เพราะเคยมีบทเรียนจาก “อธิบดีรุ่นพี่” คือ “นายธาริต เพ็งดิษฐ” ที่เป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว
รวมทั้งกระทบกระเทือนต่อการทำคดีฮั้วสว.อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยดีเอสไอทราบดีว่าการทำคดีฮั้ว ส.ว.นั้นเป็นการต่อสู้กับนายใหญ่ค่ายสีน้ำเงินที่ยืนทะมึนคอยกำกับอยู่เบื้องหลัง แถมเมื่อตกอยู่ในสภาวะไร้หัวก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังแม้จะมีหลักฐานอยู่ในมือก็ตามที ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เดินหน้ารุกหนักจน สว.สายสีน้ำเงินแทบไปไม่เป็นและต้องมีการระดมสมองเพื่อ “เอาคืน” ที่เซฟเฮาส์ย่านซอยรางน้ำ
นอกจากนั้น อีกประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามกันต่อไปก็คือ “ใคร” จะได้รับมอบหมายจาก “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีให้มากำกับกรมสอบสวนคดีพิเศษแทน พ.ต.อ.ทวี จะเป็น “สหายอ้วน-ภูมิธรรม เวชชยชัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า หรือไม่ ตามกระแสข่าวที่ถูกปล่อยออกมา
ทว่า เปอร์เซ็นต์ที่จะออกมาเป็นนายภูมิธรรมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะก็เป็นที่รับรู้กันว่าเขามีบทบาทสำคัญในคดีดังกล่าวไม่เป็นรองจาก พ.ต.อ.ทวีเช่นกัน ซึ่งการให้นายภูมิธรรมมารับหน้าที่ก็จะกลายเป็นเป้าในการฟ้องร้อง แต่ก็ใช่ว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะนายภูมิธรรมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บ้านจันทร์ส่องหล้าไว้วางใจขั้นสุด
ขณะที่เมื่อย้อนไปดู “แกนนำระดับบน” ของทั้งสองค่าย ก็พบว่า ยังคงเล่นละครหวานฉ่ำเข้าใส่กันจนอดขำไม่ได้ โดยเฉพาะตัว “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระหว่างพำนักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลว่า “ท่านนายกแพทองธารกรุณาส่งชุดอาหารกลางวันมาเยี่ยมอาการป่วย ขอกราบขอบพระคุณเจ้านายแสนใจดีคร้าบ”
ทั้งๆ ที่ความจริงดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม ด้วย “เสี่ยหนู” ก็รู้อยู่แก่ใจว่า เจ้านายแสนดีคนั้น ก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าตัวเองสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับผู้นำทางจิตวิญญาณอย่าง “ครูใหญ่เน” ที่มักแสดงออกต่อหน้าว่า พร้อมหมอบ แต่ในทางปฏิบัติก็พร้อมปะทะในทุกรูปแบบและไม่ยอมลดราวาศอกให้อีกต่างหาก ด้วยรู้ไส้รู้พุงว่า ฝ่ายตรงข้ามหมายมั่นปั้นมือจะทลายเครือข่ายของตัวเองให้จงได้
ขณะที่ “ฝ่ายสีแดง” เองก็คงไม่ยอมหยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าจัดการต่อไปเพราะเสียเปรียบเกมการเมืองในสภาทุกด้าน โดยเฉพาะเมื่อต้องการผลักดันกฎหมายสำคัญเหมือนเช่นที่ผ่านมา ด้วยจำนวน “สว.” ที่มีสายสัมพันธ์กับค่ายสีแดงนั้นมีน้อยนิดไม่เกิน 10 คน ต่างจาก “สายสีน้ำเงิน” ที่มี สว.อยู่ในมือเกือบ 70 คน ส่วนที่เหลือก็เป็นเครือข่ายพรรคส้มราว 20 คน
เพียงแต่คงต้องมาระดมสมองกันแทบระเบิดอีกครั้งว่า จะเอาคืนด้วยวิธีไหนถึงจะได้ผลมากที่สุด เพราะเห็นแล้ว สายสีน้ำเงินเต็มไปด้วยพิษสงรอบกาย
แต่จะว่าไป “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” ก็ต้องโทษตัวเองในเรื่องการเลือกตั้ง สว.ด้วย เพราะไม่ให้ความสำคัญจนทำให้อีกฝ่ายสามารถวางกลยุทธ์จนสามารถเข้ามาในสภาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จะใช้คำว่าเสียท่าหรือเสียเชิงให้กับลูกน้องเก่าตัวดีก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
อีกเรื่องที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นคือ การพบปะกันระหว่าง “เสี่ยหนู” และ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติที่เดินทางไปเยี่ยม โดยโพสต์ว่า “กราบขอบพระคุณท่านพีระพันธุ์ สารีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ที่กรุณามาเยี่ยมไข้ในวันนี้ แถมยังมีเวลานั่งคุยเสวนาหารือถึงเรื่องราวต่างๆ หลายชั่วโมง จนคุณพยาบาลมาจับแยก”
มีการตีความกันว่า เป็นโพสต์ที่มีนัยทางการเมือง ด้วยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งสองคนคุยอะไรกันนานขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องการเมือง ที่ทั้งสองคนกำลังเจอปัญหาในลักษณะใกล้เคียงกัน
เสมือนต้องการแสดงให้เห็นว่า ตนเองก็มีของอยู่ในมือเช่นกัน ไม่ใช่จะปล่อยให้ย่ำยีบีฑาง่ายๆ และพร้อมที่จะผนึกกำลังสู้ร่วมกัน
ขณะเดียวกันแต้มต่อของสายสีน้ำงเงินที่เกิดขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ พ.ต.อ.ทวีหยุดปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวของกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ยังส่งผลกระทบต่อแผนการของนายใหญ่สายสีแดงที่ต้องการปรับคณะรัฐมนตรีดังที่ปรากฏมาก่อนหน้านี้ว่า ต้องการยึด “กระทรวงมหาดไทย” คืนจากพรรคภูมิใจไทย หรือ “กระทรวงพลังงาน” คืนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ถึงเวลานี้ “เสี่ยหนู ครูใหญ่เนและหัวหน้าตุ๋ย” คงไม่ยอมแน่ๆ
ขณะที่ตัว “ทักษิณ” เองก็คงไม่กล้าพอที่จะไล่ทั้งสองพรรคให้พ้นจากรัฐบาล เพราะติดเงื่อนไขสำคัญคือไม่สามารถไปดึง “พรรคส้ม” มาแทนที่ได้ แถมจะตัดสินใจล้างไพ่ด้วยการยุบสภา ก็ยิ่งไปกันใหญ่เหตุไม่มีความพร้อมด้วยประการทั้งปวง แถมสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งก็ไม่ใช่ว่า จะดีสักเท่าไหร่
ที่สำคัญคือ รัฐบาลลูกสาวก็ไม่ได้มีผลงานอะไรที่โดดเด่นเข้าตาประชาชน
เมื่อถึงตรงนี้ เป็นที่คาดเดายากยิ่งว่า การปะทะกันระหว่าง “สายสีน้ำเงินและสายสีแดง” จะมีบทสรุปเยี่ยงไร จะมีลิมิตในการตบจูบถึงขั้นไหน รวมถึงว่าสุดท้ายแล้ว “ศึกฮั้วเลือกตั้ง สว” จะดำเนินไปในทิศทางใด แต่ที่แน่ๆ คือ ความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้น “ติดดาบปลายปืน” และ “ฉุดไม่อยู่” อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้.