xs
xsm
sm
md
lg

การทับซ้อนและพลวัตของการเมืองสามรูปแบบในสังคมไทย: ชนชั้นนำ บ้านใหญ่ และพลเมือง (9) / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

ในสัปดาห์นี้ จะวิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนผ่านของการเมืองจากการเมืองแบบชนชั้นนำและบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองแบบพลเมือง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเปลี่ยนผ่านจากระบอบประชาธิปไตยที่อ่อนแอไปสู่การเป็นระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งนั่นเอง กระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้จำเป็นต้องมีการพัฒนาห้ามิติที่เชื่อมโยงกัน ได้แก่  สังคมพลเมือง (Civil Society) สังคมการเมือง (Political Society) หลักนิติธรรม (Rule of Law) ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ (Usable State Bureaucracy) และสังคมเศรษฐกิจ (Economic Society)

สำหรับในสัปดาห์นี้จะเริ่มจากสามมิติแรกก่อน จากนั้นในสัปดาห์หน้าจะเป็นตอนจบของบทความเรื่องนี้ ซึ่งจะวิเคราะห์ถึงสองมิติหลัง และความท้าทายของกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของไทย

1.สังคมพลเมือง

สังคมพลเมืองเป็นพื้นที่ที่กลุ่มและบุคคลสามารถแสดงความคิดเห็น รวมตัวกัน และดำเนินกิจกรรมโดยอิสระจากอำนาจรัฐและอิทธิพลของกลุ่มอำนาจท้องถิ่น การเติบโตของสังคมพลเมืองเป็นเงื่อนไขสำคัญในการท้าทายระบบอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่และชนชั้นนำ อักทั้งยังสร้างพื้นที่สำหรับการเมืองพลเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น ในสังคมไทย การเติบโตของสังคมพลเมืองมีพัฒนาการที่สำคัญหลายประการ

ประการแรก การเติบโตขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ได้มีส่วนสำคัญในการสร้างพื้นที่สาธารณะนอกเหนือจากโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม องค์กรพัฒนาเอกชนในไทยได้ขยายบทบาทจากการให้บริการและการพัฒนาไปสู่การรณรงค์เชิงนโยบาย การตรวจสอบอำนาจรัฐ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น ซึ่งท้าทายต่อโครงสร้างอำนาจแบบชนชั้นนำและบ้านใหญ่โดยตรง

ตัวอย่างเช่น เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมได้ทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการคัดค้านโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่มักเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและบ้านใหญ่ อาทิ กรณีการเคลื่อนไหวคัดค้านเขื่อนปากมูลในภาคอีสาน และการเคลื่อนไหวต่อต้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียในภาคใต้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ท้าทายอำนาจของชนชั้นนำ บ้านใหญ่และกลุ่มทุนในท้องถิ่น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมพลเมืองในระดับท้องถิ่นอีกด้วย

ประการที่สอง การขยายตัวของสื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ ๆ ได้เปิดพื้นที่สาธารณะแบบใหม่ที่ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และรวมตัวกันได้โดยไม่ต้องผ่านระบบอุปถัมภ์แบบเดิม สื่อสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการระดมพลังมวลชนในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีความตื่นตัวทางการเมืองและมีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์แบบดั้งเดิม

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักศึกษาและเยาวชนในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญในการระดมพลและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีลักษณะที่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบเดิมที่มักอาศัยโครงสร้างองค์กรและความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ โดยเน้นการมีส่วนร่วมแบบกระจายอำนาจและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม

ประการที่สาม การรวมกลุ่มของพลเมืองในประเด็นสาธารณะ เช่น สิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน และธรรมาภิบาล ได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสป.) และเครือข่ายองค์กรชุมชนต่าง ๆ ได้เติบโตขึ้นและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายสาธารณะและตรวจสอบอำนาจรัฐ ในระดับท้องถิ่น มีการก่อตัวของเครือข่ายชุมชนและกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมที่ทำงานในประเด็นเฉพาะ เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิที่ดิน และสิทธิแรงงาน

อย่างไรก็ตาม สังคมพลเมืองในไทยยังเผชิญกับข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ

ประการแรก การพัฒนาของสังคมพลเมืองมีความไม่สมดุลระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ในพื้นที่ชนบทหลายแห่ง โดยเฉพาะในภูมิภาคที่บ้านใหญ่มีอิทธิพลสูง สังคมพลเมืองยังคงอ่อนแอและขาดพื้นที่ในการแสดงออก ประชาชนในพื้นที่เหล่านี้ยังคงพึ่งพาระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการของรัฐ

ประการที่สอง สังคมพลเมืองไทยยังเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความยั่งยืนขององค์กร โดยองค์กรพัฒนาเอกชนและกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลายแห่งต้องพึ่งพาแหล่งทุนจากต่างประเทศหรือการสนับสนุนจากมูลนิธิ ซึ่งอาจส่งผลต่อความยั่งยืนในระยะยาว

นอกจากนี้ องค์กรภาคประชาสังคมยังเผชิญกับแรงกดดันและข้อจำกัดจากรัฐในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง

และประการที่สาม ความแตกแยกและการแบ่งขั้วทางการเมืองในสังคมไทยส่งผลให้สังคมพลเมืองมีความแตกแยกและขาดพื้นที่กลางในการสร้างฉันทมติ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ได้ส่งผลให้เกิดการแบ่งขั้วในสังคมพลเมือง ซึ่งทำให้การสร้างพันธมิตรและการผลักดันประเด็นร่วมเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

แม้จะมีข้อจำกัดและความท้าทายดังกล่าว แต่การเติบโตของสังคมพลเมืองในไทยได้สร้างพื้นที่ใหม่สำหรับการเมืองแบบพลเมืองที่นอกเหนือไปจากระบบอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่ การขยายตัวของพื้นที่สาธารณะ ทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและในสื่อสังคมออนไลน์ ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็น รวมตัวกัน และมีส่วนร่วมทางการเมืองได้มากขึ้นโดยไม่ต้องผ่านระบบอุปถัมภ์แบบเดิม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองแบบชนชั้นนำและการเมืองแบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมืองในระยะยาว

2. สังคมการเมือง

สังคมการเมือง หมายถึง พื้นที่ทางการเมืองที่ประชาชนแข่งขันกันอย่างชอบธรรมเพื่อสิทธิในการควบคุมอำนาจรัฐ ประกอบด้วยสถาบันและกระบวนการทางการเมืองที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับประชาชน เช่น พรรคการเมือง การเลือกตั้ง และรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระตามหลักประชาธิปไตย การพัฒนาสังคมการเมืองที่เข้มแข็งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนผ่านจากระบบอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมือง ในบริบทของสังคมไทย การเปลี่ยนผ่านในมิตินี้มีความซับซ้อนและเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

ประการแรก การปฏิรูปพรรคการเมืองในประเทศไทยยังคงเป็นกระบวนการที่ไม่สมบูรณ์ แม้จะมีความพยายามในการสร้างพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันมากขึ้นผ่านการปฏิรูปกฎหมายพรรคการเมืองและรัฐธรรมนูญ แต่พรรคการเมืองไทยส่วนใหญ่ยังคงมีลักษณะเป็นเครื่องมือของกลุ่มชนชั้นนำ กลุ่มทุนหรือบ้านใหญ่ พรรคการเมืองไทยมักมีลักษณะที่อ่อนแอในเชิงสถาบัน ขาดอุดมการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน และพึ่งพานักการเมืองที่มีฐานเสียงเฉพาะตัวมากกว่าการสร้างฐานสนับสนุนผ่านนโยบายหรืออุดมการณ์ ลักษณะดังกล่าวทำให้พรรคการเมืองไทยยังคงเป็นพื้นที่ที่กลุ่มอำนาจแบบบ้านใหญ่สามารถใช้เป็นช่องทางในการรักษาและขยายอิทธิพลทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีพัฒนาการที่สำคัญในการพัฒนาพรรคการเมืองในไทย พรรคการเมืองบางพรรคพยายามปรับตัวไปสู่การเป็นพรรคการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยนโยบายและอุดมการณ์มากขึ้น โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ในช่วงหลังปี 2557 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับนโยบายและการมีส่วนร่วมของสมาชิกมากกว่าพรรคการเมืองแบบดั้งเดิม

เช่น พรรคอนาคตใหม่ แม้ว่าไม่นานนักพรรคอนาคตใหม่ถูกชนชั้นนำอาศัยอำนาจศาลรัฐธรรมนูญยุบไป แต่กลุ่มแกนนำพรรคก็จัดตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาสืบทอดอุดมการณ์ ได้แก่ พรรคก้าวไกล และสามารถชนะการเลือกตั้งได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นลำดับ 1 ในการเลือกตั้งปี 2566 แต่พรรคก้าวไกลก็ถูกสกัดกั้นการเป็นรัฐบาลจากการร่วมมือกันของกลุ่มชนชั้นนำและพรรคการเมืองแบบบ้านใหญ่ และต่อมาก็ถูกยุบในปี 2567 อย่างไรก็ตามแกนนำพรรคที่เหลืออยู่ก็ยังคงมีความมุ่งมั่นทางการเมือง และจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาสืบทอดเจตจำนงทางการเมืองภายใต้ชื่อว่า พรรคประชาชน

ประการที่สอง การปฏิรูปการเลือกตั้งในประเทศไทยมีพัฒนาการที่สำคัญนับตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม แต่การทำงานของ กกต.มีประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ การปฏิรูปดังกล่าวจึงแทบไม่มีส่วนช่วยในการลดการซื้อสิทธิขายเสียงและการทุจริตการเลือกตั้งแต่อย่างใด อิทธิพลของเงินและระบบอุปถัมภ์ในกระบวนการเลือกตั้งยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นแม้จะมีการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการเลือกตั้ง แต่นักการเมืองและเครือข่ายอุปถัมภ์ได้ปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ในการรักษาอิทธิพลในกระบวนการเลือกตั้ง ตัวอย่างเช่น การใช้เครือข่ายในท้องถิ่นและความสัมพันธ์ส่วนตัวแทนการซื้อเสียงโดยตรง การใช้อิทธิพลผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้นำชุมชนที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ และการใช้ทรัพยากรของรัฐในการสร้างความนิยมทางการเมือง

ประการที่สาม การขยายตัวของการเมืองภาคพลเมืองในประเทศไทยได้เปิดพื้นที่ใหม่สำหรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่นอกเหนือไปจากช่องทางดั้งเดิม การเมืองภาคพลเมืองในไทยได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีความตื่นตัวทางการเมืองและใช้พื้นที่ออนไลน์และพื้นที่สาธารณะในการแสดงออกทางการเมืองมากขึ้น การเกิดขึ้นของกลุ่มการเมืองที่ไม่ได้มาจากฐานอำนาจแบบดั้งเดิม เช่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา กลุ่มวิชาชีพ และกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ได้ช่วยสร้างความหลากหลายในภูมิทัศน์ทางการเมืองไทย

กลุ่มเหล่านี้มักมีวิธีการและเป้าหมายทางการเมืองที่แตกต่างไปจากการเมืองแบบดั้งเดิมที่อิงกับระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายอำนาจท้องถิ่น โดยเน้นการผลักดันนโยบายและการปฏิรูปเชิงโครงสร้างมากกว่าการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านในมิตินี้ยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ

ประการแรก สถาบันทางการเมืองในไทย โดยเฉพาะพรรคการเมืองและรัฐสภา ยังคงถูกแทรกแซงโดยกลุ่มอำนาจนอกระบบ ทั้งในรูปแบบของกลุ่มทุน กลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น และสถาบันทางการเมืองนอกรัฐธรรมนูญ การแทรกแซงดังกล่าวส่งผลให้สถาบันทางการเมืองยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างแท้จริง

ประการที่สอง วัฒนธรรมทางการเมืองไทยยังคงมีลักษณะของการพึ่งพาผู้นำที่เข้มแข็งและการยอมรับความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ วัฒนธรรมดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมืองแบบมีส่วนร่วมและการสร้างความรับผิดชอบทางการเมือง (Political Accountability) ที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเมืองพลเมืองที่เข้มแข็ง

ประการที่สาม ความไม่ต่อเนื่องของระบอบการเมืองและรัฐธรรมนูญในประเทศไทย โดยเฉพาะการเกิดรัฐประหารและการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญบ่อยครั้ง ส่งผลให้การพัฒนาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองขาดความต่อเนื่องและความมั่นคง ความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้การปฏิรูปสังคมการเมืองเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่สมบูรณ์

แม้จะมีความท้าทายดังกล่าว แต่การเปลี่ยนแปลงในสังคมการเมืองไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการขยายตัวของการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเกิดขึ้นของกลุ่มการเมืองใหม่ๆ ได้สร้างโอกาสสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองแบบบ้านใหญ่ไปสู่การเมืองพลเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีความสำคัญต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสถาบันในระยะยาว

3. หลักนิติธรรม

หลักนิติธรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยที่มีความเป็นสถาบัน ประชาธิปไตยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายที่ชัดเจนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน หลักนิติธรรมจะป้องกันการใช้อำนาจตามอำเภอใจและสร้างความมั่นใจในกติกาประชาธิปไตย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการท้าทายระบบอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่ที่มักอาศัยการใช้อำนาจนอกระบบและความสัมพันธ์ส่วนตัวในการครอบงำกระบวนการทางการเมืองและเศรษฐกิจ

การพัฒนาหลักนิติธรรมของไทยมีความก้าวหน้าที่สำคัญในหลายด้าน ประการแรก การปฏิรูปกฎหมายในประเทศไทยนับตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ได้มีความพยายามในการปรับปรุงกฎหมายให้มีความเป็นธรรมและลดช่องว่างที่เอื้อต่อการใช้อำนาจโดยมิชอบ รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวและฉบับต่อ ๆ มา ได้บัญญัติหลักการสำคัญเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของหลักนิติธรรม

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้อำนาจรัฐ เช่น พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กฎหมายเหล่านี้มีเป้าหมายในการป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบและการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่กลุ่มอำนาจแบบบ้านใหญ่มักใช้ในการรักษาและขยายอิทธิพล

ประการที่สอง การก่อตั้งองค์กรอิสระต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้สร้างกลไกสำคัญในการตรวจสอบการใช้อำนาจและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน องค์กรเหล่านี้มีอำนาจในการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง ซึ่งรวมถึงกลุ่มอำนาจในท้องถิ่นและเครือข่ายการเมืองแบบบ้านใหญ่ ตัวอย่างที่สำคัญ ได้แก่ การสอบสวนและดำเนินคดีกับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ การยุบพรรคการเมืองที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนักการเมืองที่กระทำผิด

การดำเนินการดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการใช้อำนาจและความรับผิดชอบทางการเมือง แม้ว่าจะยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นอิสระและความเป็นกลางขององค์กรเหล่านี้ในหลายกรณีก็ตาม

ประการที่สาม การพัฒนาในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน มีความก้าวหน้าที่สำคัญในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและการส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชน ตัวอย่างเช่น การจัดตั้งศาลปกครองซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ การพัฒนาระบบยุติธรรมชุมชนและกระบวนการยุติธรรมทางเลือก และการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ด้อยโอกาส

การพัฒนาเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนทั่วไปและชุมชนท้องถิ่นสามารถต่อสู้กับการใช้อำนาจโดยมิชอบของกลุ่มอิทธิพลและเครือข่ายการเมืองในท้องถิ่น ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ กรณีชุมชนต่าง ๆ ที่ใช้กระบวนการทางกฎหมายในการต่อสู้กับโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต ซึ่งมักเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและการเมืองท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาหลักนิติธรรมในไทยยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ

ประการแรก การบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยยังคงมีปัญหาในเรื่องของความไม่เท่าเทียมและการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นนำ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นและเครือข่ายการเมืองแบบบ้านใหญ่ ในหลายกรณี การบังคับใช้กฎหมายกับผู้มีอำนาจและอิทธิพลยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากเครือข่ายความสัมพันธ์และการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เครือข่ายชนชั้นนำ การเมืองท้องถิ่นและบ้านใหญ่มักมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ ในบางกรณี การบังคับใช้กฎหมายยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและรักษาอำนาจของกลุ่มการเมืองที่ครองอำนาจอยู่

ประการที่สอง ความไม่เป็นอิสระและการแทรกแซงองค์กรในกระบวนการยุติธรรมยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ทั้งในแง่ของการแทรกแซงจากอำนาจทางการเมืองและกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ในหลายกรณี องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมและหลักนิติธรรมในสายตาของประชาชน

ประการที่สาม การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนยังคงมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและชุมชนห่างไกล ข้อจำกัดดังกล่าวรวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและกระบวนการทางกฎหมาย และการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปยังคงเสียเปรียบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจและทรัพยากรมากกว่า

แม้จะมีความท้าทายดังกล่าว แต่การพัฒนาหลักนิติธรรมในประเทศไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการปฏิรูปกฎหมายและการสร้างกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจ ได้มีส่วนสำคัญในการท้าทายระบบอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่และเปิดพื้นที่สำหรับการเมืองพลเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมมากขึ้น การพัฒนาดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากการเมืองที่อิงกับความสัมพันธ์ส่วนตัวและอำนาจนอกระบบไปสู่การเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎกติกาที่ชัดเจนและเป็นธรรม

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)


กำลังโหลดความคิดเห็น