ปธน.ทรัมป์ได้วางแผนจะเดินทางไปเยือนตะวันออกกลางเป็นดินแดนแห่งแรกเหมือนดังที่เขาได้กระทำในวาระแรกที่เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็เพราะตะวันออกกลางคือดินแดนที่มั่งคั่งที่สุดในโลกนี้ จากบ่อน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมหาศาล ที่ได้ครอบครองและส่งออกไปทั้งโลกเมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว และยังจะคงปั๊มเงินจากทรัพยากรล้ำค่านี้ไปอีกนานแสนนาน เพราะโลกเรายังจะพึ่งพาวัตถุดิบจากฟอสซิลนี้ในการดำรงชีวิตอยู่ ไม่ว่าจากการผลิตไฟฟ้า, หรือวัสดุอุปกรณ์จากพลาสติกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในการก่อสร้างและยานพาหนะ ตลอดจนเป็นส่วนผสมของยาทางการแพทย์และเครื่องอุปโภคบริโภคเช่น แชมพู, สบู่, ยาสีฟัน เป็นต้น
เป้าประสงค์ของทรัมป์คือ การทำข้อตกลงการค้าการลงทุน (ดีล) กับแหล่งเจ้าของบ่อน้ำมันและธุรกิจสืบเนื่องเพื่อลงทุนร่วมกับเหล่านักธุรกิจของสหรัฐฯ เพื่อนำการลงทุนมาสู่สหรัฐฯ และจะเป็นการสร้างงานในสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ก็จะสร้างตะวันออกกลางให้เติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งทรัมป์ได้ประกาศในสุนทรพจน์ยาว 1 ชม. ท่ามกลางเวทีสหรัฐฯ-ซาอุฯ เพื่อการลงทุนว่า เขตตะวันออกกลางนี้จะต้องเป็นเขตแห่งการค้าขายและการลงทุน(Commerce)แทนที่เขตแห่งการทิ้งระเบิดประหัตประหารกันและชุลมุนวุ่นวาย (Chaos) น่าจะเหมือนวลีที่สั้นๆ กระชับและกินใจของอดีตนายกฯ ชาติชาย ชุณหะวัณ ว่า “เปลี่ยนสนามรบ-ให้เป็นสนามการค้า” ในช่วงสงครามอินโดจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานั่นเอง
หรืออย่างที่นายพลมาร์แชลล์ ได้ดำเนินการหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ยุโรปที่ทุ่มการลงทุนจากสหรัฐฯ เพื่อแปลงสนามรบในยุโรปให้เป็นสนามการค้าการลงทุน สร้างความมั่งคั่งให้ยุโรป ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ยุโรปเติบโตออกดอกออกผลส่งผลประโยชน์กลับสหรัฐฯอย่างมหาศาลในที่สุด
เพื่อปูทางก่อนการเดินทางครั้งสำคัญนี้ ทรัมป์ได้สร้างผลงานอย่างน้อยก็เพื่อหยุดการรบระหว่างกลุ่มฮูตีกับสหรัฐฯโดยทำข้อตกลงหยุดยิงโดยฮูตีจะไม่ยิงเรือสินค้าและเรือรบของสหรัฐฯ ในย่านทะเลแดงอีกต่อไป
ซึ่งข้อตกลงนี้ไม่ได้แจ้งหรือปรึกษาหารือกับฝ่ายบริหารของอิสราเอลก่อนแต่อย่างใด ทำเอานายกฯ เนทันยาฮู ตั้งตัวไม่ทัน และเข้าอาการ “ถูกเท” จากสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ตั้งแต่ปี 1948 เมื่อเริ่มตั้งรัฐอิสราเอล นโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ จะถูกจูงจมูกจากฝ่ายบริหารของอิสราเอลมาตลอด ตั้งแต่ปธน.ทรูแมนซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีให้เกิดรัฐอิสราเอล โดยนำเรื่องยอมรับรัฐอิสราเอลเข้าพิจารณาในสหประชาชาติ
และในการรุกรานเพื่อเข้าครอบครองดินแดนปาเลสไตน์หลายครั้งหลายหนตั้งแต่ 1948 อิสราเอลจะได้รับเงินช่วยเหลือสนับสนุน รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ในนามของ “อิสราเอลจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง”จากการรุมโจมตีของเหล่าประเทศอาหรับรอบข้าง
ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวได้ทำการเจรจาโดยตรงกับกลุ่มฮามาสเพื่อขอให้ปล่อยตัวนายเอดาน อเล็กซานเดอร์ เชลยชาวอเมริกัน(คนสุดท้ายที่ยังถูกกักตัวอยู่) ที่ถือสองสัญชาติ ทั้งอเมริกัน-อิสราเอล ซึ่งเดินทางมาจากสหรัฐฯ อายุเพียง 19 ปี มาเป็นทหารของ IDF และถูกจับตัวไปเมื่อ 7 ตุลาคม 2023
นี่ก็เช่นเดียวกันคือ ทำเนียบขาวไม่ได้ปรึกษาหรือแจ้งให้นายกฯ เนทันยาฮู ได้ทหารก่อน...นับเป็นการเสียหน้านายกฯ เนทันยาฮู มาก ซึ่งเขาก็ต้องรีบแถลงว่า การปล่อยตัวนายเอดานเป็นผลมาจากการกดดันอย่างหนักโดยกองกำลัง IDF ของรัฐบาล ซึ่งเป็นการดำเนินการทางทหารที่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก
ขณะเดียวกัน นายกฯ เนทันยาฮู ก็แถลงแก้เกี้ยวว่า การปล่อยตัวนี้ เป็นผลการทำงานด้านการทูตด้วยจากทางสหรัฐฯ...ทั้งสองแรงทำให้เกิดการปล่อยตัวประกันชาวอเมริกันคนนี้
สาเหตุที่ทรัมป์ตัดสินใจ “เท” นายกฯ เนทันยาฮู ก็เพราะเนทันยาฮูกลับ “ยื้อ”ที่จะยังดันทุรังยกพลโจมตีชาวปาเลสไตน์ในกาซาต่อไปอย่างเมามัน และหนักหน่วงยิ่งขึ้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อชาวอิสราเอล รวมทั้งบางส่วนของกองทัพ IDF ที่มองไม่เห็นการจบสิ้นของการใช้กำลังต่อชาวปาเลสไตน์ ซึ่งทำให้ทหารอิสราเอลก็บาดเจ็บ แต่ยังไม่ได้ชัยชนะตามที่นายกฯ เนทันยาฮู สัญญาไว้ ทั้งๆ ที่เวลาก็ล่วงเลยมาปีครึ่งแล้ว...และตัวประกันก็ดูจะเป็นประเด็นรองในการตั้งเป้าหมายของการรบครั้งนี้...ซ้ำประชามติโลก ก็ประณามหนักต่อรัฐบาลอิสราเอล (และที่สหรัฐฯ-โดยเหล่าปัญญาชนตามมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ออกมากดดันรัฐบาลอเมริกัน...เสมือนการกดดันรัฐบาลอเมริกันให้หยุดสงครามเวียดนามทีเดียว)
ยังมีการเจรจาที่ทรัมป์กำลังทำกับอิหร่าน เพื่อไม่ให้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการเลิกคว่ำบาตรอิหร่านจากสหรัฐฯ ซึ่งเนทันยาฮูเป็นฝ่ายที่ยุยงใส่ไฟต่อสหรัฐฯ ไม่ให้ไว้ใจอิหร่านมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โดยพยายามชี้นำให้สหรัฐฯ ถล่มอิหร่านถึงขนาดมีรายงานในหลายสื่อว่า นายไมค์ วอลซ์ (Mike Walz)ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทรัมป์ และอดีตเป็นนายทหารหน่วยรบพิเศษได้ติดต่อตกลงกับเนทันยาฮูว่า ทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอลจะร่วมกันโจมตีที่มั่นห้องทดลองนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งจะทำให้ตะวันออกกลางยิ่งลุกเป็นไฟร้อนฉ่าขึ้นมาหลายเท่า
นี่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทรัมป์ปลดนายไมค์ วอลซ์ ออกทันที แล้วจะแต่งตั้งให้เป็นทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น (ซึ่งต้องรอผ่านการอนุมัติเห็นชอบจากวุฒิสภา...และดูท่าทีเขาจะไม่รอดผ่านวุฒิสภาไปได้ เพราะมีเรื่องอื้อฉาวกรณี Signal Gate ที่เขาได้ทำผิดพลาดเอาไว้!)
ยังไม่รวมถึงการที่ทรัมป์ประกาศที่ริยาดว่า จะเลิกคว่ำบาตรรัฐบาลใหม่ของซีเรียซึ่งสหรัฐฯ ได้คว่ำบาตรมาตั้งแต่ 2011 ช่วงต้นของอาหรับสปริง
โดยขณะนี้ นายกฯ เนทันยาฮู ได้ส่งกองกำลังไปโจมตีหลายหมู่บ้านของซีเรีย ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ไม่เห็นด้วย...และการประกาศของทรัมป์ก็ทำเอานายกฯ เนทันยาฮู ตั้งตัวไม่ทันอีกเช่นกัน
และมีการตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์อาจประกาศยอมรับรัฐปาเลสไตน์ในการเดินทางครั้งนี้ด้วย เพื่อให้เกิดสองรัฐ-อิสราเอลและปาเลสไตน์-เป็นการปูทางสู่สันติภาพในตะวันออกกลาง
ซึ่งข้อเสนอนี้ ฝ่ายอาหรับกำลังร่วมกันเห็นชอบในแนวทางนี้...ต่างกับแต่ก่อน ซึ่งต่างคนต่างอยู่...และความเห็นร่วมกันนี้ กำลังกดดันให้สหรัฐฯ ยอมรับในแนวทางนี้
ไม่เพียงทรัมป์จะได้ดีลมหาศาลจากตะวันออกกลางในช่วงต้นที่เขาเข้ามาบริหาร แต่บางทีเขาอาจเล็งได้รับรางวัลสันติภาพโนเบลที่เขาปรารถนาก็เป็นได้