ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ย้อนรอย “Gokoo (โกคู)” หรือ “悟空外卖” แพลตฟอร์ม Food Delivery สัญชาติจีน ที่เข้ามารุกตลาดเมืองไทย โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนในไทย แถมเปิดช่องแรงงานต่างด้าว “ไรเดอร์ไทใหญ่” ตั้งแก๊งสร้างอิทธิพลก่อเหตุไล่ฟันกลางเมือง เชื่อมโยง “ครัวศูนย์เหรียญ” หลบเลี่ยงภาษี ผิดกฎหมาย
สำหรับ Gokoo เป็นแพลตฟอร์ม Food Delivery ให้บริการคล้ายกับ Grab หรือ LINE MAN ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Gokoo รุกตลาด Food Delivery ในเมืองไทยได้นั้นคือ การเจาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนในไทย โดยทุกอย่างในแอปฯ เป็นภาษาจีนทั้งหมด เรียกว่าเป็นแอปฯ ยอดฮิตของชาวจีนที่อาศัยอยู่ในไทย โดยปัจจุบันตลาดผู้บริโภคในประเทศไทยมีผู้ลงทะเบียนใช้งาน Gokoo มากกว่า 1 แสนราย และมีร้านค้าพันธมิตรมากกว่า 25,000 ราย หลังเปิดให้บริการในไทยมาตั้งแต่ปี 2564
ประเด็นร้อนที่ทำให้ แอปฯ จีน อย่าง “Gokoo” เข้ามาอยู่ในกระแสสนใจของผู้คนสังคมไทย เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์แรงงานต่างข้ามชาติผิดกฎหมาย “ชาวไทใหญ่” ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยจำนวนหลายสิบคน และทำงานเป็น “ไรเดอร์” ของแอปฯ “Gokoo” ในย่านดินแดง - ห้วยขวาง
ที่ต้องกล่าวถึงเพราะ “ชาวไทใหญ่” กลุ่มนี้ตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพล รวมกลุ่มตั้ง “แก๊งไทใหญ่ 999" ล่าสุด ก่อเหตุทำร้ายร่างกายไล่ฟันชาวกะเหรี่ยงกลางเมือง อีกทั้งมีพฤติการณ์สร้างความเดือดร้อนหวาดกลัวให้กับคนไทยที่อยู่ในอาศัยในบริเวณดังกล่าว
จนเกิดคำถามว่า “แก๊งไทใหญ่ 999" ก่อวีรกรรมกร่างโดยไม่มีผู้มีอำนาจในท้องที่เข้ามากำกับดูแลอย่างเด็ดขาดจนเกิดเหตุรุนแรงครั้งล่าสุด เนื่องจากมีแบ็คใหญ่คอยหนุนหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นนำสู่การขยายผลจับกุมผู้ก่อเหตุชาวไทใหญ่มาดำเนินคดี โดยเสียงเรียกร้องจากประชาชนคนไทยให้ผลักดันคนต่างด้าวกลุ่มนี้ออกนอกประเทศและขึ้นแบล็กลิสต์
ประเด็นร้อนเปิดโดยเพจ “บิ๊กเกรียน” จั่วหัวความว่า #แอปจีนบุกไทย เปิดแอปฯ ส่งอาหารจีน Gokoo รับออเดอร์เฉพาะกลุ่มคนจีนในประเทศไทย “จ้างไทใหญ่ พูดจีนได้ อ่านภาษาจีนออก ขี่รับงาน” และ “โคฯ กับร้านจีนที่แอปฯ เปิด”
โดยระบุว่า แอปฯ Gokoo ซึ่งเปิดให้บริการในไทย โดยเน้นกลุ่มลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ ตัวแอปฯ เป็นภาษาจีนทั้งหมด เต็มไปด้วยเมนูของหนีภาษี sextoy บุหรี่ บริการรับ-ส่งลูกค้าเข้าบ่อน แนะนำร้านลับจีน
ใช้แรงงานคนไทใหญ่ขับขี่รับงาน สามารถพูดจีนได้ และอ่าน GPS ภาษาจีนล้วนได้ สวมใส่เครื่องโดยมีรถจักรยานยนต์พร้อมกล่องส่งอาหาร พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า แอปฯ Gokoo อาจเชื่อมโยงกับ “ครัวศูนย์เหรียญ” ร้านอาหารของจีนที่เปิดแบบหลบเลี่ยงกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาต ซึ่งร้านจำพวกครัวจีนศูนย์เหรียญ จะใช้วัตถุดิบจีน คนงานจีน จ่ายเงินผ่านระบบจีน จึงไม่สามารถตรวจสอบภาษีได้
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่าภาพรวมกำลังซื้อธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 อ่อนตัวค่อนข้างมาก โดยแนวโน้มไตรมาสแรกกำลังซื้อตกลงกว่า 40% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี รวมถึง ยังเผชิญกับร้านอาหารศูนย์เหรียญของจีนที่เข้ามาตีตลาดอีกด้วย โดยเปิดร้านในราคาต้นทุนและราคาขายที่ต่ำ ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารมีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน
สถานการณ์ “ครัวศูนย์เหรียญ” ส่งผลต่อภาคธุรกิจร้านอาหารของไทย กำลังแพร่ระบาดในหลายพื้นที่โดยทางการไทยเร่งกวาดล้าง ล่าสุด เดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดปฏิบัติการบุกจับร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง บริเวณ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง พบเจ้าของเป็นชาวจีนได้ว่าจ้างพนักงานต่างด้าวทั้งสัญชาติจีนและเมียนมาไม่ถูกต้องตามกฎหมายจำนวนมาก เพื่อบริการกลุ่มลูกค้าชาวจีนด้วยกัน
ร้านอาหารแห่งนี้มีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์ริมถนนใหญ่ ป้ายหน้าร้าน เมนูอาหาร ตัวอักษร อุปกรณ์ของใช้ภายในร้านต่างๆ เป็นภาษาจีนทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบว่าลูกค้าชาวจีนสามารถชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด (QR CODE) ระบบบัญชีธนาคารสัญชาติจีนได้เลย โดยปรากฎทั้งระบบ WECHAT PAY, ALIPAY และพบ QR CODE ชำระเงินระบบพร้อมเพย์บัญชีธนาคารไทย ชื่อบัญชีชาวจีน
เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบชาวจีนเดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยประเภทวีซ่า ผ.60-ม.17 สำหรับการท่องเที่ยว แต่ไม่สามารถแสดงใบอนุญาตทำงานได้ และกลุ่มพนักงานชาวเมียนมามีเอกสารใบอนุญาตทำงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ผบก.ตม.3 เปิดเผยว่าความผิดในข้อหาดังกล่าวมีโทษเพียงการปรับในชั้นศาล ซึ่งผู้ถูกจับจะต้องถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ถูกบันทึกเป็นบุคคลต้องห้าม หรือ blacklist ห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และถูกส่งกลับประเทศต้นทางต่อไป
การกลับมาของ “ครัวศูนย์เหรียญ” กระทบภาคธุรกิจร้านอาหารของไทยอย่างมาก น.ส.ประภัสสร รังสิโรจน์ นายกสมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด เปิดเผยไว้ความว่าการเข้ามาของกลุ่มทุนจีน ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนของภาคการท่องเที่ยวทั้งหมด รวมถึงธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย เนื่องจากทุนจีนที่เข้ามาจะมาทำเองเบ็ดเสร็จเหมือน “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” คือ มาเที่ยวและมากินอาหารในร้านของคนจีนด้วยกัน
ประเด็นการเข้ามาของกลุ่มทุนจีนในธุรกิจร้านอาหาร เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลไทยต้องเข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและกำลังซื้อที่หายไป ทำให้ธุรกิจร้านอาหารมีการปิดกิจการค่อยข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีปิดตัวลงแต่ก็มีรายใหม่เข้ามาตลอด เพราะธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่เปิดง่ายและขาดทุนง่ายเช่นเดียวกัน หากสายป่านไม่ยาวพอก็ยากที่จะไปต่อในธุรกิจร้านอาหาร
ขณะที่ นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกร้องไปยัง “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” ให้ตรวจสอบร้านอาหารและสถานบริการที่เป็นย่านที่คนจีนมาอาศัยจำนวนมาก โดยเฉพาะแถวรัชดาและอาร์ซีเอ เพราะได้รับการร้องเรียนร้านอาหารจำนวมากผู้ถือหุ้นคนไทยเป็นนอมินีของคนจีน
ที่ผ่านมา กมธ. ตำรวจ ลงพื้นที่สำรวจ ถ. รัชดาภิเษก พบร้านอาหารและสถานบริการหลายแห่ง รวมถึงร้านอาหารหมาล่า ชื่อ “ฉงชิ่ง” มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่ชัดเจนว่า มีคนจีนสีเทาเป็นเจ้าของกิจการ แต่ใช้คนไทยเป็นนอมินีในการถือหุ้น ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยไม่ได้รับผลประโยชน์ที่ควรจะได้ และกลายเป็นช่องทางที่เอื้อให้เกิดกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
โดย นายชัยชนะ เรียกร้องให้ทางการเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและจัดการกับกลุ่มผู้กระทำความผิดในลักษณะนี้อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ ถ.รัชดา ถ.เพชรบุรี และ ถ. อาร์ซีเอ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและมีธุรกิจที่ต้องสงสัยจำนวนมาก
“ประเทศไทยได้รับความเสียหายและเสียผลประโยชน์จากกลุ่มทุนจีนเทาเป็นอย่างมาก โดยอาศัยการตั้งนอมินีคนไทยมาดำเนินการถือหุ้นแทน ดังนั้น การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งตนขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบกรณีดังกล่าว และจะต้องนำคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้” นายชัยชนะ เดชเดโช ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ระบุ
ปัจจุบันทุนจีนเข้ามาแทรกซึมในอุตสาหกรรมอาหารของไทยอย่างต่อเนื่อง ขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในย่านเศรษฐกิจสำคัญ จำนวนไม่น้อยที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะ “ครัวศูนย์เหรียญ” จีนล้วนตั้งแต่ เจ้าของ ลูกจ้าง วัตถุดิบ ตลอดจนระบบรองรับการชำระเงิน
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ประเทศไทยไม่ได้รับผลประโยชน์ที่ควรจะได้ ตลอดจนกลายเป็นช่องทางที่เอื้อให้เกิดกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย.