xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“แพ(ทองธาร) กำลังพัง” “แม้ว-อิ๊งค์-หนู-ตุ๋ย” อาการหนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สภาพร่อแร่เต็มทีสำหรับ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” เพราะเต็มไปด้วยสารพัดปัญหา ด้วยตัวละครสำคัญของ “พรรคร่วมรัฐบาล” กำลังถูกเล่นงานหนัก ทั้งเล่นงานกันเองและถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นเกมกระซวกแรงๆ จนต้องแก้เกมเป็นการใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่า แต่ละคนจะผ่านพ้นวิบากกรรมไปได้หรือไม่

ถ้าจะใช้คำว่า “รัฐบาลแพกำลังพัง” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่

เริ่มตั้งแต่ “นายกฯ ตัวจริง” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ต้องกลับมานอนเอามือก่ายหน้าผากอีกครั้ง หลัง “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” รับ “คดีชั้น 14” มาดำเนินการเอง ด้วยถือเป็น “สัญญาณพิเศษ” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทั้งนี้ “ประจักษ์พยาน” สำคัญที่เชื่อเหลือกันว่ามีผลต่อการพิจารณาคดีก็คือ “มติของแพทยสภา” ในการสอบสวนจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ กรณีการพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่ออกมาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

กล่าวคือ บอร์ดแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ 3 ราย โดยรายที่ 1 เป็นกรณีว่ากล่าวตักเตือน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักในใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ราย ในกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง

อย่างไรก็ดี การบังคับใช้ยังไม่เป็นที่ยุติ เนื่องจากแพทยสภาจะต้องนำเสนอมติต่อสภานายกพิเศษคือ “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นขั้นตอนตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม 2525

หรือแปลไทยเป็นไทยคือ นายสมศักดิ์สามารถ “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย”

เช่นเดียวกับระยะเวลาในการพักใช้ใบอนุญาตนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะพักนานแค่ไหน เนื่องจากจะต้องรอฟังความเห็นจากนายสมศักดิ์เช่นกัน ซึ่งก็คงต้องวัดใจว่า นายสมศักดิ์จะกล้า “พลีชีพ” เพื่อนาย โดยสวนมติแพทยสภาหรือไม่ อย่างไร

ประโยคเด็ดที่ “ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 อธิบายต่อสังคมก็คือ “รายที่ถูกตักเตือนนั้นมีความผิดฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับการออกใบส่งตัว ส่วนอีก 2 รายที่ถูกพักใบอนุญาติประกอบวิธีอาชีพเวชกรรมเพราะให้ข้อมูลในเอกสารทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และข้อมูลไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤติเกิดขึ้น”

งานนี้ ทำเอาเครียดไปทั้ง “รัฐบาล พรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตร” เพราะโอกาสที่ “ทักษิณ” จะต้องกลับไปเข้าคุกจริงๆ มีสูงยิ่ง ส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องก็เตรียมตัวที่จะต้องเจอ “ดอกสอง” เพราะจะมีคนนำเรื่องนี้ไปดำเนินการตามกฎหมายในความผิดทางอาญา อย่างน้อยก็ตามมาตรา 157 คือปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ และไม่ใช่แค่ “แพทย์ 3 คน” หากแต่หมายรวมถึงบุคคลที่ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทางไปสู่ชั้น 14 ด้วย

โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ กระทรวงยุติธรรมและอาจลุกลามบานปลายทำให้รัฐบาลแพทองธาร “พัง” ตามไปด้วย เพราะมีการร้องเรียนฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าเอาไว้เช่นกัน

ขณะที่ “นายกฯ ตามกฎหมาย” อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” ที่นอกจากจะเห็นได้ชัดว่า ออกอาการ “ใจเสีย” ไม่น้อยกับ “คดีของพ่อ” ก็ต้องมาเครียดกับกรณีที่ “นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์” และคณะ ที่ประกอบด้วย นายสมชาย แสวงการ นายเจษฎ์ โทณะวณิก และนายนิติธร ล้ำเหลือ ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน ป.ป.ชให้เป็นความปรากฏต่อ ด้ยคณะรัฐมนตรี (ครม.) และกรรมาธิการงบประมาณของ สส. และ สว. กระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ไปตัดงบประมาณ เกี่ยวกับเรื่องของการให้เงินกู้ ที่กฎหมายมีการบังคับเอาไว้

กล่าวคือ หลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ผ่านวาระแรกไปแล้ว ครม.กลับมีมติตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่เป็นส่วนของการเงินชำระเงินต้นของเงินกู้ และเป็นเงินกู้ตาม ม.28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว จากนั้นได้นำเงินงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ที่ปรับลดมาแล้วไปเป็นงบกลางเพื่อใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต

ขณะที่กรรมาธิการงบประมาณฯ สส. และ สว. ก็เห็นด้วยกับมติครม.ดังกล่าวเช่นเดียวกัน

ว่ากันว่า นี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ “การแจกเงินหมื่นเฟส 3” ต้องหยุดชะงักไป ซึ่งแม้ตัว “นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์” จะยืนยันว่า ไม่ได้เลิก หากแต่มีปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายรีดภาษีของทรัมป์มาเป็นตัวแปรสำคัญ แต่ก็มิอาจมองข้ามปัญหาข้างต้นไปได้


ยิ่งบอกว่า อยู่ระหว่างการรอความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยิ่งแปลก เพราะก่อนหน้าไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้ ที่สำคัญคือโครงการนี้ถือเป็นโครงการเรือธงของรัฐบาลที่คุยโวโอ้อวดมามีการศึกษามาเป็นอย่างดี ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ชักไม่แน่ใจเสียมากกว่าถ้าหากจะดันทุรังเดินหน้าต่อไป

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคนมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า โอกาสที่จะ “พัง” ตามที่คณะของนายชาญชัยแจกแจงออกมาก็มีความเป็นได้สูง

ส่วน “พรรคร่วมรัฐบาล” ระยะหลังๆ ก็ออกในทรง “แปลกๆ” จนมีคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” โดยเฉพาะกับ “2 พรรคร่วม” สำหรับคือ “พรรคภูมิใจไทย” กับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ด้วยแต่ละแผลที่เปิดออกมาล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น

แถมแต่ละแผลนอกจากถูกเปิดจาก “ฝ่ายค้าน” และ “ฝ่ายแค้น” แล้ว ยังมีความชัดเจนว่า “ฝ่ายเดียวกัน” ก็ร่วมผสมโรงในเกมนี้ด้วยเช่นกัน
เริ่มจาก “ค่ายสีน้ำเงิน” ที่โดนกระซวกหนัก ไล่มาตั้งแต่ตัว “หัวหน้าหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” ไปจนถึง “สว.สายสีน้ำเงิน” ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ “เสี่ยวี-พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เล่นงานหนัก

กล่าวสำหรับเสี่ยหนูนั้น โดนหนักๆ มาตั้งแต่เรื่อง “เอกสารสิทธิ์ที่ดินสนามกอล์ฟโคราช” แต่ที่หนักเสียยิ่งกว่าก็คือ อยู่ๆ ก็มีกระแสข่าวเกี่ยวกับเอกสารประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงในราชอาณาจักร ในรอบ 1 ปี ห้วงเวลา 1 ต.ค. 2567-30 ก.ย. 2568 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีรายชื่อของนายอนุทิน ปรากฏอยู่ในหมวดหมู่บุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์ โดยแอบอ้างสถาบัน จนเจ้าตัวถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้า

จากนั้นก็โพสต์อย่างดุเดือดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ขออย่าได้ออกข่าวหรือทำรายงานชุ่ยๆ ว่า ผมเป็นผู้ที่ชอบแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ควรกลั่นกรองข้อมูลก่อนว่า ผู้ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าและเหรียญรัตนาภรณ์ จะต้องดำรงตนด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพื่อรักษาไว้ซึ่งความจงรักภักดีอย่างสูงสุดต่อองค์พระมหากษัตริย์ จะต้องไม่อ้างถึงพระองค์ท่านไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

“ข้อกล่าวหาดังกล่าวถือว่าเลื่อนลอย ปราศจากความจริง ขอให้แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง เราเป็นพสกนิกรของในหลวงด้วยกัน #อย่าดึงฟ้าต่ำ” ดูน้อยลง”

อย่างไรก็ดี แม้ทาง กอ.รมน.หรือกองทัพบกจะออกโรงมายืนยันว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมระบุด้วยมีบางบุคคลแอบนำไปเผยแพร่ ตีความหมายแบบผิดๆ ไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในตัวบุคคลและองค์กรนั้น แต่ก็ยังมีคำถามอยู่ว่า ใครเป็นคนทำ เพราะงานนี้มีเป้าประสงค์ชัดเจนว่า ต้องการดิสเครดิตและโจมตีนายอนุทินในห้วงยามที่ “พรรคภูมิใจไทย” ประกาศตัวว่าต้องการถือธงนำของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม”

สัญญาณที่ตรวจพบมีคำยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า “ค่ายสีแดง” มีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน ส่วน “ใครเป็นคนสั่ง” คงไม่ต้องคาดเดา เพราะเรื่องใหญ่ระดับนี้ ถ้า “หัวไม่สั่ง หางไม่กระดิก” แน่นอน


นอกจากนี้ “คดีฮั้ว สว.สายสีน้ำเงิน” ก็ดุเดือดเลือดพล่าน โดยหลังจาก “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ” รับเป็น “คดีฟอกเงินและอั้งยี่ซ่องโจร” ก็เกิดประเด็นร้อน เมื่อ “ณรงค์ เทพเสนา” ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ทำหนังสือลับด่วนที่สุด ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องรายงานเหตุกลุ่มบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ลงพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ

เป็น “หนังสืบลับ” แต่ถูกนำมาเปิดเผยอย่างเอิกเกริก ซึ่งคงไม่ต้องหาคำตอบว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ทว่า ก็มีคำตอบโต้อย่างดุเดือดกับมาจาก “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” และ “กระทรวงยุติธรรม” โดยเฉพาะจากตัวเจ้ากระทรวงเอง ในฐานะหัวหน้าพรรคสาขาย่อยของค่ายสีแดง

“พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสอบที่จังหวัดอำนาจเจริญ และพยานบุคคลกว่า 10 ปากจริง มิได้เป็นการแอบอ้างแต่อย่างใด


ส่วนเรื่องหนังสือของผู้ว่าฯ นั้น กำลังตรวจสอบ เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ มี พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 22 ถ้าเป็นคดีพิเศษผู้ว่าฯ มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน หากมีการประสานงานไปต้องให้ความร่วมมือ ถ้าไม่ร่วมมือจะมีโทษที่เกี่ยวข้องจำคุก 1-10 ปี ซึ่งได้ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ใช้กฎหมายและข้อบังคับ เพราะที่อำนาจเจริญมีพยานกว่า 300 ปาก แต่ไม่จำเป็นต้องสอบทั้งหมด เนื่องจากได้หลักฐานที่เป็นพยานวัตถุ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ สามารถย้อนกลับไปดูในที่เกิดเหตุได้ รวมถึงร่องรอยทางโทรศัพท์ ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีอุปสรรคในการสืบสวนสอบสวน แต่ถ้ามีอุปสรรคก็ขอให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ใช้กฎหมายและข้อบังคับ ที่ออกในปี 2547 ดำเนินคดีได้ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด

อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไม “อำนาจเจริญ” จึงกลายเป็นสมรภูมิร้อนของคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.ขึ้นมาได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปดูก็จะพบความผิดปกติในการเลือกตั้งสว.มาตั้งแต่เริ่มแรก ดังที่ “iLAW” แจกแจงเอาไว้ 2 ประเด็นด้วยกันคือ

1.อำนาจเจริญเป็นจังหวัดที่มีผู้สมัครติด Top 8 เข้ารอบไขว้ระดับประเทศมากที่สุด

2. สว. ที่มาจากจังหวัดอำนาจเจริญ 2 คน เป็น “ดาวค้างฟ้า - นอนมาตั้งแต่ระดับจังหวัด”

3. แดง กองมา และสมพาน พละศักดิ์ สว. จากอำนาจเจริญ มาจากกลุ่มเดียวกันและอำเภอเดียวกัน

4. ทั้งแดง กองมา และสมพาน พละศักดิ์ส่อขาดคุณสมบัติเพราะคุณสมบัติไม่ตรงกับกลุ่มที่สมัคร

5. จากข้อมูลเรื่องการ “พลีชีพ” พบว่าผู้สมัคร สว. จากจังหวัดอำนาจเจริญ 12 คนที่มีคะแนนสูงในรอบเลือกกันเอง แต่มามีคะแนนต่ำในรอบเลือกไขว้

และ6. ผู้สมัครจากอำนาจเจริญที่เข้าสู่ระดับประเทศ 39 คน 16 คนลงสมัครในกลุ่มเดียวกัน-จากอำเภอเดียวกันเป็นคู่ และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาของจังหวัดอำนาจเจริญทั้งห้าคนมาจากอำเภอเมืองทั้งหมด

ตามต่อด้วย “ดอกที่สอง” จาก “คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)” ที่อยู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวเช่นกั้น โดยออกมาให้ข้อมูลว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของกกต. ซึ่งมี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการกกต. เป็นประธาน และมีกรรมการจาก ดีเอสไอ รวม 7 ราย ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐาน เกี่ยวกับการเลือกสว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 กระทั่งวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน การสอบสวนปากคำพยาน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวของกลุ่มคณะบุคคล , การตรวจสอบเส้นทางการเงินที่สะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ตั้งแต่การเลือกสว. ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ , การกาคะแนน การนับผลคะแนน ที่มีการเลือกหมายเลขเดียวกันซ้ำๆ กันหลายชุด เป็นต้น

ทั้งนี้ เมื่อได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์แล้ว พบการกระทำที่เข้าข่ายมีกระบวนการ หรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริต หรือเที่ยงธรรม พบการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 จึงส่งหลักฐานและข้อมูลทั้งหมด ให้สำนักงานกกต. ประกอบการพิจารณาตามกฎหมายเลือกตั้ง อาทิ การพิจารณาเพิกถอนสิทธิ สว. และจะมีการทยอยเรียกแจ้งข้อกล่าวหาบรรดาสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ล็อตแรก จำนวน 60 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นสว.คนดัง


สำหรับบทกำหนดโทษ มาตรา 70 ผู้สมัครผู้ใดไม่ปฏิบัติตามวิธีการ หรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดตาม มาตรา 36 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี

มาตรา 77 ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใดๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี (1) จัด ทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด

รายงานข่าว ระบุอีกว่า ซึ่งบุคคลที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหา ล้วนมีพฤติการณ์ และพยานหลักฐานชัดเจนว่า กระทำความผิด ไม่ได้ถูกเลือกเป็น สว.โดยสุจริตเที่ยงธรรม หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ คือ มาโดยการฮั้ว ซึ่งกระบวนการหลังจากนั้น สว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา จะต้องเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับ กกต. เพื่อชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เนื่องจาก กกต. เป็นระบบไต่สวน ฉะนั้นหากเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแล้วไม่มาพบเจ้าหน้าที่ ก็ถือว่าประสงค์ไม่ให้การชี้แจง แต่จะไม่ถึงขั้นขอศาลออกหมายจับ แต่กกต. จะเป็นผู้ดำเนินการพิจารณา เรื่องการทุจริตเพื่อออกใบแดง และส่งเรื่องเพิกถอนสิทธิสว. ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต่อไป

ส่วนกรณีที่ดีเอสไอ ดำเนินการเรื่องความผิดคดีอาญาอื่น คือฐานฟอกเงินและอั้งยี่นั้น สำนวนนี้ดีเอสไอ คือหัวเรือหลัก ในการสอบสวนบุคคลที่ร่วมกระทำทุจริต รับเงิน เป็นกลุ่มโหวตเตอร์ พลีชีพ จัดฮั้ว ซึ่งเบื้องต้นมีจำนวนหลายร้อยคน ดังนั้น เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้น ดีเอสไอ ต้องสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่ออัยการส่งศาลอาญารัชดาภิเษก ซึ่งฐานความผิดอาญานี้ ผู้ถูกกล่าวหาสามารถสู้ได้ถึง 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ และศาลฎีกา

งานนี้ เห็นได้ชัดว่า “ค่ายสีแดง” เอาจริงเอาจังกับเรื่องคดีฮั้ว สว.เป็นอย่างมาก ขณะที่ “ค่ายสีน้ำเงิน” ก็พร้อมจะเปิดปฏิบัติการตอบโต้เช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามว่า จะเล่นละครตบจูบกันไปได้อีกสักกี่มากน้อย

เช่นเดียวกับ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่สาหัสไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวหน้าหน้าพรรค “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ถูกเปิดปมฉาวซึ่งต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งกรณีใช้อำนาจหน้าที่ไปก้าวก่ายงานจัดซื้อจัดจ้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.

ต่อด้วยเรื่อง “ถุงยังชีพ” ที่ต้องบอกว่า ใช้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองเพื่อประโยชน์ของตนเอง อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กระทำขัดต่อผลประโยชน์ทับซ้อน งานนี้เรื่องไปไกลถึง ป.ป.ช.

จากนั้นก็มีเรื่องเกี่ยวพันกับหุ้น 3 บริษัท ที่สถานะปัจจุบันยังเป็นกรรมการอยู่ ก็ปูดขึ้นมา

กระทั่งวันก่อน นักร้องมือไม่ธรรมดา “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบเพื่อจะนำไปสู่การพิจารณา ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ “พีระพันธุ์” มีอันสิ้นสุดจากเหตุนี้ หรือไม่

ต่อกันรัวๆ ก็มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เมื่อวานนี้ ก็ปรากฏกลุ่มบุคคล นำโดย “ว่าที่ร้อยเอกไตรภพ นครชัยกุล” อดีตหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ , นายอาทิตย์ ตั้งธรรม อดีตกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ , นายอัมรัน เจ๊ะเลาะ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และประธาน สาขาพรรครวมไทยสร้างชาติ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เดินทางมา เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้นายกรัฐมนตรี ปลด “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ และรมว.พลังงาน

หนังสือดังกล่าวระบุว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลที่ยืนยันแน่ชัดว่า “พีระพันธุ์” ถูกกล่าวหากรณี แจกถุงยังชีพ ถือครองหุ้นและ เป็นกรรมการบริษัทดังกล่าว

เหล่าบรรดาอดีตคนพรรคเดียวกันกับ "พีระพันธุ์" จึงขอให้ “แพทองธาร” ในฐานะนายกรัฐมนตรีปรับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน

โดยใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 171 เพื่อให้พ้นจากรัฐมนตรีเฉพาะราย มิให้กระทบถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจกระทบต่อรัฐมนตรีทั้งคณะ เพราะความปรากฏแล้วว่า “พีระพันธุ์” มีการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด

เห็น “ป่าทั้งป่า” ของการเมืองไทยในห้วงเวลานี้แล้ว บอกตรงๆ ว่า สนุกจริงๆ โดยเฉพาะ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่เข้าขั้นเละเทะ และทำท่าว่าใกล้จะ “พัง” ไปทุกที


กำลังโหลดความคิดเห็น