ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตลาดแรงงานไทยระส่ำ ขณะที่ตัวเลขคนไทยว่างงานพุ่ง 3.58 แสนคน แต่จำนวนแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายสูงทุบสถิติ ยังไม่นับรวมแรงงามข้ามชาติผิดกฎหมายที่ใช้ “วีซาฟรี (Visa free)” เข้ามาแย่งอาชีพสงวนคนไทย และขบวนการใช้ “วีซ่านักศึกษา” เพื่อหางานทำในประเทศไทยที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขการว่างงานของประชากรไทยในไตรมาส 4 ปี 2567 พบผู้ว่างงานรวม 3.58 แสนคน แม้ต่ำกว่าผู้ว่างงานจำนวน 4.14 แสนคน ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าผู้ว่างงานจำนวน 3.29 แสนคน ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยพิจารณาตามระดับการศึกษา พบว่าผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษายังคงมีจำนวนผู้ว่างงานสูงสุดถึง 9.1 หมื่นคน รองลงมา คือผู้จบระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า 8.5 หมื่นคน และระดับ ปวช./ปวส. 5.4 หมื่นคน
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ เกินกว่าครึ่งของผู้ว่างงานหรือ 1.68 แสนคน เป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ขณะที่ผู้เคยมีประสบการณ์ทำงานมีจำนวน 1.51 แสนคน โดยผู้ว่างงานที่เคยทำงานส่วนใหญ่มาจากภาคบริการและการค้า 9.6 หมื่นคน ภาคการผลิต 4.5 หมื่นคน และภาคเกษตรและประมง 2.7 หมื่นคน
ยิ่งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่หลากหลากสำนักคาดการณ์เอาไว้ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้เหลือเพียง 1.8% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเติบโตต่ำลงเหลือเพียง 1.6% เช่นเดียวกับ “ธนาคารโลก” ที่ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ในปี 2568 เหลือเพียง 1.6% 8 หรือมูดี้ส์ที่ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่เชิงลบ(Negative) จากเดิมที่มีเสถียรภาพ (Stable) ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจไทยมีความเสี่ยงในการประกอบกิจการค่อนข้างสูง ซึ่งนั่นหมายความว่า โอกาสที่คนไทจะเผชิญกับภาวะ “ตกงาน” ก็จะยิ่งน่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้นต่อเนื่องจากปี 2568 ถึงปี 2569 อย่างแน่นอน
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย นายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ว่า การเข้ามาของแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ยังส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานไทย โดยแรงงานต่างชาติเหล่านี้มักจะมีทักษะเฉพาะทางที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ทำให้แรงงานไทยที่จบใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ตัวเลขแรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมายในไทย ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2568 มีจำนวน 3.35 ล้านคน ถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 1 ปี ซึ่งเป็นผลจากนายจ้างมีการนำเข้าหรือมีการจ้างงานแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการเพิ่มขึ้น
ขณะที่ กระทรวงแรงงานเผยผลดำเนินการปีงบประมาณ 2568 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 18 เมษายน 2568 มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างชาติทั่วประเทศแล้ว จำนวน 38,734 แห่ง ดำเนินคดี 1,329 แห่ง และตรวจสอบแรงงานต่างชาติ จำนวน 523,706 คน มีการดำเนินคดีกับแรงงานต่างชาติทั้งสิ้น 2,575 คน
โดยพบแรงงานต่างชาติหลายสัญชาติ อาทิ เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม จีน รัสเซีย และอินเดีย ซึ่งเข้ามาประกอบอาชีพแข่งขันกับแรงงานไทยในหลายพื้นที่ เช่น ตลาดนัด ตลาดสด ร้านทำเล็บ อู่ซ่อมรถ แผงค้าขาย รถเข็น รวมถึงสถานบันเทิงตามแหล่งท่องเที่ยวและย่านการค้าสำคัญ
ทั้งนี้ อาชีพที่พบแรงงานต่างชาติแย่งอาชีพคนไทยมากที่สุด ได้แก่ 1.งานเร่ขายสินค้า 2. งานตัดผม 3. งานขับขี่ยานพาหนะ และ 4. งานนวด
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ชุดเฉพาะกิจของกรมการจัดหางาน ดำเนินการตรวจสอบและกวาดล้างแรงงานต่างชาติที่ประกอบอาชีพแข่งขันกับคนไทยอย่างเข้มงวดและไม่เลือกปฏิบัติ
“แรงงานต่างชาติต้องมีเอกสารประจำตัวบุคคลและใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง รวมทั้ง ต้องทำงานตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายที่ระบุไว้ในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มีทั้งสิ้น 40 ประเภท”
ตามกฎหมาย แรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ
ขณะที่ส่วนของนายจ้างหรือสถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจาก “นโยบายฟรีวีซ่า” ชาวต่างชาติสบช่องเข้าประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว ลักลอบประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย อีกทั้ง เกิดปัญหานักท่องเที่ยวคุณภาพต่ำก่อความไม่สงบก่อปัญหาอาญชากรรม
ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 15 ประจำปี 2568 ให้ศึกษาถึงความเหมาะสมในปรับมาตรการวีซ่าฟรี จากการที่รัฐบาลมีมาตรการในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในการให้วีซ่าฟรี กับบางประเทศ เป็นจำนวน 60 วัน และ 90 วัน เพราะที่ผ่านมาเกิดปัญหา พบนักท่องเที่ยวบางกลุ่มใช้สิทธิดังกล่าวในการทำผิดกฎหมาย เช่น การอยู่เกินเวลา และการเข้ามาทำงานแบบผิดกฎหมาย จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งกวดขันและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่กระทำผิด
รวมทั้งให้พิจารณาศึกษาและรวบรวมผลกระทบของมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะความเหมาะสมของระยะเวลาในการอยู่ในประเทศ เพื่อปรับเปลี่ยนมาตรการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ให้เข้ามาลงทุนและท่องเที่ยวในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังพบพฤติการณ์ “สวมวีซ่านักศึกษา” โดยมี “ขบวนการออกวีซาให้นักศึกษาจีนในไทย” ซึ่งเพจเฟซบุ๊ก “รู้ทันจีน" ได้แฉพฤติกรรมคนจีนขอวีซาทั้งประเภทปริญญาและเรียนภาษาระยะสั้น โดยมีการโฆษณาขายแพ็กเกจวีซาว่า สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเข้าเรียนจริง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เรียนทิพย์” จนกลายเป็นประเด็นร้อนทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้าและดำเนินการตรวจสอบเป็นการใหญ่
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจก็คือ การที่ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” รองหัวหน้าพรรคประชาชน ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เพื่อให้กระทรวงตรวจสอบมหาวิทยาลัยทุกแห่งกรณีการรับนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาในทุกคณะวิชา แต่ใช้กลไกดังกล่าวในการลักลอบเข้าทำงาน ตลอดจนวางแนวทางในการควบคุมคุณภาพทางการศึกษา การป้องกันการเปิดวิทยาลัยนานาชาติหรือเปิดหลักสูตรขึ้นมาบังหน้า แต่เบื้องหลังอาจเข้าข่ายการขายวุฒิการศึกษา
นายวิโรจน์กล่าวว่า เหตุการณ์โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ พังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นำมาซึ่งการตั้งคำถามต่อความเชื่อมั่นในวิชาชีพวิศวกรที่รับผิดชอบโครงการและการควบคุมงานก่อสร้างที่อาจไม่มีใบประกอบวิชาชีพที่ต้องได้รับจากสภาวิศวกร
ดังนั้น จึงขอให้ รมว.อุดมศึกษาฯ ใช้อำนาจตามมาตรา 51 และให้คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษาตามมาตรา 55 แห่ง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา 2562 ตรวจสอบมาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษาของสถาบันการศึกษาที่อาจเข้าข่ายลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย ผ่านการออกวีซ่านักศึกษาให้กับชาวต่างชาติ เพื่อลักลอบเข้ามาประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม หรืออาชีพอื่นๆ ในประเทศไทย โดยผิดกฎหมาย
ก่อนหน้านี้นายวิโรจน์ยังได้ยื่นหนังสือต่อสภาวิศวกร ขอให้พิจารณาตรวจสอบรวมทั้งเปิดประชุมวิสามัญ เพื่อแก้ไขและวางกลไกป้องกันปัญหาวิศวกรต่างชาติอาศัยช่องว่างของวีซ่านักศึกษาเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทั้งตำแหน่งวิศวกรที่ต้องใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม (ใบ กว.) และวิศวกรโรงงานที่ไม่ต้องใช้ใบ กว. โดยมี โรงงานศูนย์เหรียญ ผู้รับเหมาศูนย์เหรียญ เปิดตำแหน่งไว้รองรับ และมี มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ เป็นกลไกในการนำเข้า
รวมทั้งการพิจารณาการควบคุมคุณภาพหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ ทั้งในระดับปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโทและปริญญาเอก) ที่เปิดการเรียนการสอนโดยวิทยาลัยนานาชาติ หรือสถาบันที่ตั้งขึ้นมาภายในมหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ โดยการเรียนการสอนทุกอย่างเป็นภาษาจีน คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์เป็นชาวจีน
“ผมได้รับรายงานถึงความกังวลถึงคุณภาพทางการศึกษา และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มทุนจีน ที่มีการจัดตั้งกลุ่มบริษัทในเครือข่ายขึ้นมาถือหุ้นข้ามกันไปมา เพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นนิติบุคคลไทยในทางนิตินัย แต่ในทางพฤตินัยแล้วหากพิจารณาสัดส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นรายบุคคล จะพบว่าเจ้าของมหาวิทยาลัยเป็นชาวจีนไปแล้ว”นายวิโรจน์กล่าว
ขณะที่ “นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เคยให้ข้อมูลในการอภิปรายก่อนหน้านี้ว่า ในพื้นที่ EEC จ.ระยอง วันนี้ธุรกิจชุมชน ร้านค้าของคนไทยรายเล็กรายน้อยแทบอยู่ไม่ได้ เพราะคนจีนที่เข้ามาจำนวนมากได้เปิดกิจการขายอาหารสด ขายของชำ คาราโอเกะ สถานบันเทิง ฯลฯ กลายเป็นว่า ประเทศไทยและคนไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย
แถมโรงงานต่างก็ขนขนมาทั้งห่วงโซ่อุปทาน ไม่ใช้วัสดุวัตถุดิบในประเทศ แข่งกับธุรกิจไทยในทุกอุตสาหกรรม ขยายซึมลึกไปในระดับธุรกิจชุมชน และถ้าเจาะลึกของที่ขายในร้าน จะพบว่าเป็นของนำเข้าแบบผิดกฎหมาย ไม่มีทั้ง อย. ไม่มีทั้ง มอก.
สอดรับกับเพจ “รู้ทันจีน” ที่นำเสนอข้อมูลเอาไว้ในทิศทางเดียวกัน โดยยกตัวอย่างเสียงสะท้อนจากผู้ที่อาศัยและทำงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีเอาไว้ว่า “นิคม 304 กบินทร์บุรีบ่อทอง จีนยึดหมดแล้วค่ะ”
ผู้ให้ข้อมูลบอกว่า “ยามเย็นเดินตลาด 304 พลาซ่า ภาพที่เห็นไม่ใช่ชุมชนไทยอีกต่อไป แต่กลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคนจีน...เมื่อทุนจีนเข้ามา พวกเขาไม่เลือกจ้างแรงงานไทย หากแต่หันไปใช้แรงงานพม่าที่ถูกกว่าแทน ตอนนี้ 304 เป็นเมืองต่างด้าวและจีนไปเรียบร้อยแล้ว
“ปราจีนบุรีเป็นจังหวัดที่สาหัสมากนะคะ คิดว่าหนักกว่าระยองค่ะ”
เป็นเสียงจากคนอาศัยจริงในพื้นที่นี้ คือสัญญาณเตือนถึงวิกฤตในระดับชุมชน ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และอธิปไตยที่กำลังสั่นคลอน
สถานการณ์จำนวนแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายสูงทุบสถิติ ยังไม่นับรวมแรงงามข้ามชาติผิดกฎหมายที่เข้ามาแย่งอาชีพสงวนคนไทย ตลอดจนการลอบเข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายของต่างชาติ สะท้อนการไหลทะลักของแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานไทย ขณะที่ตัวเลขการว่างงานของคนไทยยังคงพุ่งสูงต่อเนื่อง.