"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในสัปดาห์นี้จะกล่าวถึง มิติของโครงสร้างความสัมพันธ์ และมิติของกระบวนการทางการเมืองแบบพลเมือง การเมืองแบบพลเมืองมีโครงสร้างความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากการเมืองแบบชนชั้นนำและการเมืองแบบบ้านใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีลักษณะสำคัญที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความเท่าเทียมของประชาชนในกระบวนการทางการเมือง
มิติเชิงโครงสร้างความสัมพันธ์ มีลักษณะที่สำคัญสี่ประการ ได้แก่ การมีโครงสร้างแบบแนวราบ การกระจายอำนาจและการตัดสินใจ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน และความสัมพันธ์บนพื้นฐานของสิทธิและความรับผิดชอบร่วมกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ประการแรก การมีโครงสร้างแบบแนวราบ (Horizontal Structure) การเมืองแบบพลเมืองมีโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบแนวราบที่ลดทอนการจัดลำดับชั้นและความเหลื่อมล้ำทางอำนาจ การเมืองแบบพลเมืองมุ่งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองในแนวราบที่เน้นความเท่าเทียมและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเสรี โดยมองว่าประชาชนทุกคนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันในฐานะพลเมือง
โครงสร้างแบบแนวราบในการเมืองแบบพลเมืองมิได้หมายความว่าไม่มีความแตกต่างทางสถานะหรือบทบาทของผู้เล่นทางการเมือง แต่หมายถึงการสร้างพื้นที่สาธารณะ (public sphere) ที่ประชาชนสามารถเข้ามาปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างเท่าเทียม โดยไม่ถูกกีดกันด้วยสถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
โครงสร้างแบบแนวราบเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (participatory democracy) และประชาธิปไตยเชิงปรึกษาหารือ (deliberative democracy) ที่ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการหาฉันทามติร่วมกันของพลเมือง มากกว่าการใช้อำนาจจากบนลงล่างหรือการตัดสินใจโดยคนกลุ่มน้อย
ประการที่สอง การกระจายอำนาจและการตัดสินใจ (Decentralization of Power and Decision-Making) ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของโครงสร้างความสัมพันธ์ในการเมืองแบบพลเมืองคือการกระจายอำนาจและการตัดสินใจไปสู่หน่วยย่อยต่าง ๆ ในสังคม ทั้งในเชิงพื้นที่และในเชิงประเด็น
การเมืองแบบพลเมืองให้ความสำคัญกับหลักการย่อยที่สุดในการจัดการปัญหา (subsidiarity principle) ที่เชื่อว่าการตัดสินใจควรเกิดขึ้นในระดับที่ใกล้ชิดกับผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด การกระจายอำนาจในการเมืองแบบพลเมืองไม่ได้หมายถึงเฉพาะการกระจายอำนาจตามโครงสร้างการปกครองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกระจายอำนาจในการตัดสินใจไปสู่หน่วยทางสังคมต่าง ๆ เช่น ชุมชน องค์กรภาคประชาสังคม และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในประเด็นต่าง ๆ ด้วย
การกระจายอำนาจและการตัดสินใจในการเมืองแบบพลเมืองเป็นการเพิ่มโอกาสและช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจสาธารณะ ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะและจิตสำนึกความเป็นพลเมืองไปพร้อมกัน การกระจายอำนาจนี้ทำให้การตัดสินใจสาธารณะมีความหลากหลายและสอดคล้องกับบริบทและความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่และประเด็น
ประการที่สาม ลักษณะของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน (Interdependency) โครงสร้างความสัมพันธ์ในการเมืองแบบพลเมืองมีลักษณะของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependency) ระหว่างพลเมืองและระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม การเมืองแบบพลเมืองตั้งอยู่บนการตระหนักรู้ว่าปัญหาและความท้าทายในสังคมสมัยใหม่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน จึงไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือและการพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
การพึ่งพาซึ่งกันและกันในการเมืองแบบพลเมืองไม่ใช่การพึ่งพาในเชิงอำนาจหรือการอุปถัมภ์ แต่เป็นการพึ่งพาในเชิงปฏิบัติการ (functional interdependence) ที่แต่ละฝ่ายมีบทบาท ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันแต่เติมเต็มซึ่งกันและกันซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกรับผิดชอบร่วมกัน (collective responsibility) ต่อปัญหาและความท้าทายในสังคม ซึ่งต่างจากการพึ่งพาฝ่ายเดียวในระบบอุปถัมภ์ที่สร้างความรู้สึกพึ่งพาและรอคอยการช่วยเหลือ การพึ่งพาซึ่งกันและกันนี้ยังช่วยลดการผูกขาดอำนาจและทรัพยากรโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตย
ประการที่สี่ ความสัมพันธ์บนพื้นฐานของสิทธิและความรับผิดชอบร่วมกัน (Relationship Based on Rights and Shared Responsibilities) ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของโครงสร้างความสัมพันธ์ในการเมืองแบบพลเมืองคือการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของสิทธิและความรับผิดชอบร่วมกัน การเมืองแบบพลเมืองตั้งอยู่บนการยอมรับและเคารพสิทธิของกันและกันในฐานะพลเมือง พร้อมไปกับการตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกันต่อสังคมและส่วนรวม การเมืองแบบพลเมืองไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะสิทธิเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบและหน้าที่พลเมืองด้วย
ความสัมพันธ์บนพื้นฐานของสิทธิและความรับผิดชอบร่วมกันในการเมืองแบบพลเมืองช่วยสร้าง “จิตสำนึกสาธารณะ” (public consciousness) ที่ทำให้พลเมืองคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมและความยุติธรรมในสังคม นอกเหนือจากผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ
สำหรับ มิติของกระบวนการทางการเมืองแบบพลเมือง กระบวนการทางการเมืองแบบพลเมืองมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากการเมืองแบบชนชั้นนำและแบบบ้านใหญ่อย่างชัดเจน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับพลเมืองในฐานะผู้กระทำการทางการเมืองที่มีความเข้มแข็งและมีความรับผิดชอบ
กระบวนการทางการเมืองแบบพลเมืองมีลักษณะสำคัญ ได้แก่ การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนนโยบาย การเมืองเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการถกเถียง การเน้นการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะและนโยบาย และการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ประการแรก การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนนโยบาย (Participation in All Policy Stages) การเมืองแบบพลเมืองมีความโดดเด่นในการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอนของกระบวนการนโยบายสาธารณะ ไม่ใช่เพียงแค่การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งเท่านั้น การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายมี 5 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การกำหนดวาระและประเด็นปัญหา (agenda setting) การพัฒนาทางเลือกนโยบาย (policy formulation) การตัดสินใจเลือกนโยบาย (decision making) การนำนโยบายไปปฏิบัติ (implementation) และการติดตามประเมินผล (evaluation)
คุณภาพของนโยบายสาธารณะจะสูงขึ้นเมื่อประชาชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนอย่างมีความหมาย การมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนนโยบายไม่เพียงช่วยให้นโยบายสาธารณะสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ทางการเมืองที่สำคัญของพลเมืองด้วย ทำให้ประชาชนได้เรียนรู้ทักษะการคิดวิเคราะห์ปัญหา การรวบรวมข้อมูล การพัฒนาทางเลือก การตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและข้อมูล การทำงานร่วมกับผู้อื่น การจัดการความขัดแย้ง และการคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
การมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนนโยบายของการเมืองแบบพลเมืองไม่ได้ลดทอนบทบาทของรัฐหรือตัวแทนทางการเมือง แต่เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคพลเมืองในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมร่วมกัน โดยผู้แทนทางการเมืองและหน่วยงานรัฐมีบทบาทในการอำนวยความสะดวกและเสริมพลังให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สอง การเมืองเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการถกเถียง (Politics as Public Sphere for Deliberation) การเมืองแบบพลเมืองมองการเมืองในฐานะพื้นที่สาธารณะสำหรับการถกเถียงและการปรึกษาหารือร่วมกันของพลเมือง ไม่ใช่เพียงการแข่งขันเพื่อแย่งชิงอำนาจหรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ พลเมืองสามารถมาพบปะ พูดคุย ถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหาข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะต่าง ๆ โดยอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในเหตุผลและการยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
พื้นที่สาธารณะนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงพื้นที่ทางความคิดและการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย การถกเถียงในพื้นที่สาธารณะของการเมืองแบบพลเมืองไม่ใช่การโต้แย้งเพื่อเอาชนะกัน แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการหาฉันทามติร่วมกัน (deliberative consensus) มีเป้าหมายเพื่อหาทางออกร่วมกันที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ โดยอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ข้อมูล และการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งแตกต่างจากการถกเถียงในประชาธิปไตยแบบหาเสียงข้างมาก (majoritarian democracy) ที่มุ่งเน้นการชนะคะแนนเสียงหรือการโน้มน้าวให้ผู้อื่นคล้อยตาม
การสร้างพื้นที่สาธารณะสำหรับการถกเถียงที่มีคุณภาพเป็นความท้าทายสำคัญของการเมืองแบบพลเมืองในสังคมไทย เนื่องจากวัฒนธรรมทางการเมืองดั้งเดิมที่ไม่เปิดกว้างต่อความขัดแย้งและการวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและการศึกษา ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการถกเถียงบนพื้นฐานของเหตุผลและข้อมูล
ประการที่สาม การเน้นการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะและนโยบาย (Focus on Public Issues and Policy Advocacy) การเน้นการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะและนโยบายเป็นหัวใจสำคัญของการเมืองแบบพลเมือง ซึ่งแตกต่างจากการเมืองแบบเดิมที่มักวนเวียนอยู่กับตัวบุคคล พรรคการเมือง หรือการแข่งขันเพื่ออำนาจระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ การเมืองแนวใหม่นี้ขับเคลื่อนโดยพลเมืองที่รวมตัวกันเพื่อผลักดันประเด็นสาธารณะที่สะท้อนปัญหา ความต้องการ หรือความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม
การเมืองแบบพลเมืองมีลักษณะของ การเมืองเชิงประเด็น (issue-based politics) ซึ่งไม่ได้ผูกติดกับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดิม แต่เกิดจากการรวมตัวกันของคนที่ได้รับผลกระทบ หรือมีความกังวลต่อปัญหาเฉพาะด้าน เช่น สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือความยุติธรรมทางสังคม กลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ขับเคลื่อนเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม แต่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในนโยบายและกฎหมาย และการขับเคลื่อนในลักษณะนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลักดันให้เกิดนโยบายใหม่ หรือแก้ไขกฎหมาย แต่ยังหมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลง วิธีคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของคนในสังคม ด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงแต่เรียกร้องกฎหมายควบคุมการปล่อยมลพิษ แต่ยังรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงการบริโภคอย่างยั่งยืน หรือขบวนการเรียกร้องสิทธิทางเพศ ที่เปลี่ยนจากการต่อสู้เพื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมไปสู่การสร้างความเข้าใจและยอมรับในสังคม ในภาพรวม การเมืองแบบพลเมืองที่เน้นการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะและนโยบาย เป็นความพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและยั่งยืนกว่าการเมืองที่เน้นการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองแบบเดิม เพราะมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง ค่านิยม และการมีส่วนร่วมของประชาชนในระยะยาว
ประการที่สี่ การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วม (Technology for Enhanced Participation) การเมืองแบบพลเมืองในยุคดิจิทัลได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มช่องทางและประสิทธิภาพของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เทคโนโลยีดิจิทัลเปิดพื้นที่ใหม่และสร้างเครื่องมือใหม่สำหรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีความยืดหยุ่น รวดเร็ว และครอบคลุมมากขึ้น ช่องทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ สื่อสังคมออนไลน์ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็น แบ่งปันข้อมูล และระดมการสนับสนุนในประเด็นสาธารณะได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
แพลตฟอร์มการปรึกษาหารือออนไลน์ (online deliberation platforms) ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการถกเถียงและการหาฉันทามติร่วมกันของพลเมืองในประเด็นสาธารณะ แอปพลิเคชันมือถือสำหรับการมีส่วนร่วมทางการเมือง (civic engagement mobile applications) ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถรายงานปัญหา ติดตามการดำเนินงานของภาครัฐ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสาธารณะได้อย่างสะดวกเวทีรับฟังความคิดเห็นออนไลน์และการทำประชาพิจารณ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-consultation and e-public hearing) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายหรือนโยบายสาธารณะ และเครื่องมือการระดมทุนสาธารณะ (crowdfunding platforms) ที่ช่วยให้ภาคประชาสังคมและพรรคการเมืองสามารถระดมทรัพยากรสำหรับการดำเนินกิจกรรมสาธารณะได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งทุนแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมยังมีข้อจำกัดและความท้าทาย โดยเฉพาะในเรื่องของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี (digital divide) การแบ่งขั้วทางความคิดในพื้นที่ออนไลน์ (echo chambers) การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ (fake news) และความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล (privacy and data security) ซึ่งต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่เสริมสร้างคุณภาพประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ในบริบทของสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากการครอบงำของชนชั้นนำและบ้านใหญ่ การเมืองแบบพลเมืองได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นทางเลือกใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและพลังของประชาชน ในมิติโครงสร้างความสัมพันธ์ การเมืองพลเมืองนำเสนอแนวคิดของการสร้างสังคมที่เสมอภาคและมีส่วนร่วม โดยมีลักษณะสำคัญคือโครงสร้างอำนาจแบบแนวราบที่ลดทอนการจัดลำดับชั้นและการผูกขาดอำนาจ การกระจายอำนาจไปสู่หน่วยย่อยและชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีอิสระในการตัดสินใจในประเด็นที่ใกล้ตัวมากที่สุด ความสัมพันธ์ที่มีลักษณะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์บนพื้นฐานของสิทธิและความรับผิดชอบร่วมกัน ที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกสาธารณะและความมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเท่าเทียม
ขณะเดียวกัน ในมิติกระบวนการ การเมืองพลเมืองยังมีความโดดเด่นในการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งในทุกขั้นตอนของการกำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดวาระ การเสนอทางเลือก การตัดสินใจ การปฏิบัตินโยบาย ไปจนถึงการประเมินผล การเมืองในรูปแบบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การเลือกตั้ง แต่ครอบคลุมไปถึงการสร้างพื้นที่สาธารณะในการถกเถียงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยมีการขับเคลื่อนผ่านประเด็นสาธารณะที่ประชาชนให้ความสำคัญ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมีส่วนร่วมของพลเมือง
การเมืองพลเมืองจึงไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการทางสังคมที่ช่วยบ่มเพาะพลเมืองที่ตื่นตัวและมีความรับผิดชอบ สร้างสังคมที่ผู้คนสามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ และยังเป็นพลังสำคัญในการท้าทายอำนาจแบบเก่าและเปิดพื้นที่สำหรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงและยั่งยืน ในสัปดาห์หน้า ผมจะนำเสนอการเปรียบเทียบกับการเมืองแบบชนชั้นนำและการเมืองแบบบ้านใหญ่ต่อไปจะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นว่าการเมืองแบบพลเมืองมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้อย่างไร
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)